คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
คนอย่างคุณ พูดตรงๆนะคะ ถ้าไม่ยอมปรับตัวไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก เก่งก็จริง แต่คนรอบข้างไม่ยอมรับหรอกคนแบบคุณน่ะ
อย่างเรื่องที่คุณอยากให้เปลี่ยนแปลงระบบให้มาตรฐานขึ้น อย่างน้อยคุณต้องลองใช้ ลองทำงานแบบเก่าให้รู้จริงๆซะก่อนว่าข้อดีมันคืออะไร ข้อเสียมันคืออะไร ถ้ามองในมุมมองของคนที่อยู่มาก่อนเค้าไม่ยอมรับหรอกค่ะ คนที่เข้ามาวันแรกแล้วก็เรียกร้องให้เปลี่ยนนู่นนี่นั่นใหม่เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า คุณยังเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรยังไม่หมดเลย คุณยังเรียนรู้งานที่คุณทำไม่ลึกซึ้งเลย ข้อดีข้อเสียของระบบเก่าก็ยังไม่รู้ ร้องแต่จะให้เปลี่ยนไปยังระบบใหม่ แล้วเหตุผลอะไรล่ะคะที่จะต้องทำให้คนที่เค้าใช้ระบบเก่ามาจนคุ้นชินต้องมาเปลี่ยนเพราะลมปากของคุณคนเดียว
เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คุณเสนอมันไม่ดีนะ แต่คุณทำผิดวิธีไปหน่อย -- อย่างน้อยคุณควรจะเรียนรู้ในสิ่งที่เค้าทำ หาจุดผิดพลาดของมันแล้วเอามาปรับปรุง ทดลองใช้อะไรที่คุณคิดว่าดีซะก่อน เทียบกับว่าอันนี้ดีกว่าแบบไหน อย่างไรบ้าง ก่อนที่จะนำไปปรึกษาคนอื่นๆ เสนอว่าควรจะเปลี่ยนเพราะมันดีกว่าจริง เพราะคุณได้ทดลองมาแล้วด้วยตัวของคุณเอง ถึงอย่างนั้นเค้าจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยนยังต้องปล่อยเป็นการตัดสินใจของเค้าเลยค่ะ ยกเว้นคุณขึ้นเป็นใหญ่วันไหนคุณก็ชี้นิ้วสั่งได้เลยว่าอยากให้ใครเปลี่ยนอะไรยังไง (แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วคนยี๊ก็ไม่มีใครเคารพนะคะ)
ลองคิดดูว่าพนักงานในแผนกทุกคนเค้าใช้ชีวิตการทำงานที่โอเคอยู่แล้ว พอคุณเข้ามา คุณควรจะเป็นคนปรับเข้าหางาน ปรับเข้าหาทุกคน หรือจะต้องให้ทุกคนปรับเข้าหาคุณ
อย่างเรื่องที่คุณอยากให้เปลี่ยนแปลงระบบให้มาตรฐานขึ้น อย่างน้อยคุณต้องลองใช้ ลองทำงานแบบเก่าให้รู้จริงๆซะก่อนว่าข้อดีมันคืออะไร ข้อเสียมันคืออะไร ถ้ามองในมุมมองของคนที่อยู่มาก่อนเค้าไม่ยอมรับหรอกค่ะ คนที่เข้ามาวันแรกแล้วก็เรียกร้องให้เปลี่ยนนู่นนี่นั่นใหม่เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า คุณยังเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรยังไม่หมดเลย คุณยังเรียนรู้งานที่คุณทำไม่ลึกซึ้งเลย ข้อดีข้อเสียของระบบเก่าก็ยังไม่รู้ ร้องแต่จะให้เปลี่ยนไปยังระบบใหม่ แล้วเหตุผลอะไรล่ะคะที่จะต้องทำให้คนที่เค้าใช้ระบบเก่ามาจนคุ้นชินต้องมาเปลี่ยนเพราะลมปากของคุณคนเดียว
เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คุณเสนอมันไม่ดีนะ แต่คุณทำผิดวิธีไปหน่อย -- อย่างน้อยคุณควรจะเรียนรู้ในสิ่งที่เค้าทำ หาจุดผิดพลาดของมันแล้วเอามาปรับปรุง ทดลองใช้อะไรที่คุณคิดว่าดีซะก่อน เทียบกับว่าอันนี้ดีกว่าแบบไหน อย่างไรบ้าง ก่อนที่จะนำไปปรึกษาคนอื่นๆ เสนอว่าควรจะเปลี่ยนเพราะมันดีกว่าจริง เพราะคุณได้ทดลองมาแล้วด้วยตัวของคุณเอง ถึงอย่างนั้นเค้าจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยนยังต้องปล่อยเป็นการตัดสินใจของเค้าเลยค่ะ ยกเว้นคุณขึ้นเป็นใหญ่วันไหนคุณก็ชี้นิ้วสั่งได้เลยว่าอยากให้ใครเปลี่ยนอะไรยังไง (แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วคนยี๊ก็ไม่มีใครเคารพนะคะ)
ลองคิดดูว่าพนักงานในแผนกทุกคนเค้าใช้ชีวิตการทำงานที่โอเคอยู่แล้ว พอคุณเข้ามา คุณควรจะเป็นคนปรับเข้าหางาน ปรับเข้าหาทุกคน หรือจะต้องให้ทุกคนปรับเข้าหาคุณ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
อ่านยากมาก แต่ผมก็พยายามอ่านว่าปัญหาคุณคืออะไร
ก่อนอื่นอยากบอกว่าเรือ่งที่คุณเล่า มันมีปัญหาการบริหาร จัดการ วัฒนธรรมองกรค์ แตกต่างกันไปทุกที่นั่นแหละครับ
ต้องดูว่าบทบาทของเราอยู่ที่ไหน เราเป็นพนักงานเข้าใหม่เล็กๆ เค้าไม่ได้จ้างมามั่วๆนะครับ เค้าก็มีหน้าที่ๆอยากจะให้คุณมาทำถึงได้เลือกคุณ
แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปสั่งให้ทุกคนปรับการทำงานให้ตามที่เราคิดว่าถูก เพราะเค้าทำกันมาเป็นอย่างนั้นหลายปี อาจจะไม่ถูก แต่ก็เป็นเรื่องของผู้บริหารจะสั่งการ ไม่ใช่เรา เช่นเอกสารที่ไม่เป็นระบบ อาจจะเพราะลูกค้าหรือหน่วยงานนี้ต้องใช้รูปแบบนึง ติดต่อกับอีกที่ก็อีกแบบ ไปเปลี่ยนไมไ่ด้เป็นต้น
ดังนั้นถ้าเรารับไมไ่ด้กับลักษณะการทำงานแบบนั้น ก็หาที่ใหม่ที่เหมาะกับเราครับไม่ยาก
ส่วนเรื่องรู้เงินเดือนไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าเป็นจริงก็ไม่ควรทำที่นั่นครับ เพราะเป็นความลับที่เค้าไม่บอกพนักงานอื่นกัน
วันแรกของการทำงาน เค้าไม่ให้เบอร์ติดต่อเหรอครับ ปกติแล้วหัวหน้าฝ่ายไม่ได้มีหน้าที่พาคุณไปแนะนำใคร นั่นมันหน้าที่ของ HR ซึ่งเริ่มวันแรกต้องไปหา HR แล้วเค้าจะชี้แจงรายละเอียดต่างๆให้คุณ แต่คุณดันเดินไปหาคนสำภาษณ์ซึ่งเค้าก็คงงงๆ
ก่อนอื่นอยากบอกว่าเรือ่งที่คุณเล่า มันมีปัญหาการบริหาร จัดการ วัฒนธรรมองกรค์ แตกต่างกันไปทุกที่นั่นแหละครับ
ต้องดูว่าบทบาทของเราอยู่ที่ไหน เราเป็นพนักงานเข้าใหม่เล็กๆ เค้าไม่ได้จ้างมามั่วๆนะครับ เค้าก็มีหน้าที่ๆอยากจะให้คุณมาทำถึงได้เลือกคุณ
แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปสั่งให้ทุกคนปรับการทำงานให้ตามที่เราคิดว่าถูก เพราะเค้าทำกันมาเป็นอย่างนั้นหลายปี อาจจะไม่ถูก แต่ก็เป็นเรื่องของผู้บริหารจะสั่งการ ไม่ใช่เรา เช่นเอกสารที่ไม่เป็นระบบ อาจจะเพราะลูกค้าหรือหน่วยงานนี้ต้องใช้รูปแบบนึง ติดต่อกับอีกที่ก็อีกแบบ ไปเปลี่ยนไมไ่ด้เป็นต้น
ดังนั้นถ้าเรารับไมไ่ด้กับลักษณะการทำงานแบบนั้น ก็หาที่ใหม่ที่เหมาะกับเราครับไม่ยาก
ส่วนเรื่องรู้เงินเดือนไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าเป็นจริงก็ไม่ควรทำที่นั่นครับ เพราะเป็นความลับที่เค้าไม่บอกพนักงานอื่นกัน
วันแรกของการทำงาน เค้าไม่ให้เบอร์ติดต่อเหรอครับ ปกติแล้วหัวหน้าฝ่ายไม่ได้มีหน้าที่พาคุณไปแนะนำใคร นั่นมันหน้าที่ของ HR ซึ่งเริ่มวันแรกต้องไปหา HR แล้วเค้าจะชี้แจงรายละเอียดต่างๆให้คุณ แต่คุณดันเดินไปหาคนสำภาษณ์ซึ่งเค้าก็คงงงๆ
แสดงความคิดเห็น
เหตุที่พนักงานเล็กๆอย่างผมต้องออกจากงาน
ทำไมไม่คิดว่าบริษัททำอะไรผิดพลาดจนตัวผมทนไม่ได้บ้างเหรอ เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าท่านได้สร้างระบบอะไรไว้บ้างจนผมต้องเนรเทศตัวเองออกมาจากแหล่งทำมาหากินโดยไม่อาลัยอาวรณ์ กับองค์กรนั้นๆเลย ท่านผู้บริหารทั้งหลาย แน่จริงก็อ่านแล้วเถียงกันเลยครับว่าไม่จริง
VOL1.สั้นๆกับความผิดพลาดก่อนวันเริ่มงาน
ความผิดพลาดที่ท่านมีตั้งแต่วันแรกที่ผมก้าวเข้าไปสอบสัมภาษณ์หลังจากที่ผมต้องอ้างเหตุผลสารพัดในการเปลี่ยนงานและป้อนลูกยอให้ผู้บริหารอีกสองสามลูกจนทุกคนเริ่มพอใจ หลังจากองค์ประธานในพิธีได้ตอบรับผมให้ร่วมงาน ก็ถึงเวลาที่ผมจะเริ่มทำการสอบถามในสิ่งที่ผมอยากรู้บ้าง ซึ่ง การสอบถามถึงรายได้ของผมมันสมควรที่จะเป็นความลับ แต่หลังจากที่ผมและผู้ร่วมสัมภาษณ์กลับออกจากห้องไป รายได้ของผมก็กลายเป็นท็อปอ๊อฟเดอะทาวของออฟฟิตไปซะแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงาน เซ็งมั๊ยท่าน รู้ไว้นะครับว่าทุกเงินเดือนของพนักงานคนมันคือความลับ ถ้ามันไม่ลับแล้วคนที่ได้เงินเดือนน้อยกว่าผมเขาจะรู้สึกกับผมยังไง!!...อย่าเอาความรู้สึกของพนักงานกินเงินเดือนมาล้อเล่นกับผมอย่างนี้นะ ผมทำใจลำบากครับท่านผู้บริหาร...
VOL2. ทำไมผมต้องเริ่มงานจากความไม่รู้อะไรเลย...
เริ่มงานวันแรก ผมจินตนาการถึงการทำงานที่ใหม่ว่าผ่ายบุคคลของท่านจะต้องพาผมไปแนะนำกับทุกคนและบอกให้ผมรู้ว่าผมจะต้องติดต่อกับใคร อย่างไรแบบไหนและในสถานการณ์ไดด้วย คิดแล้วหวั่นเล็กน้อยถึงปานกลางหน้าเริ่มชานิดๆหวิวหน่อยๆกับการก้าวเข้าสู่ที่ทำงานในวันแรกบวกกับการต้องมองหาโต๊ะของคนที่สัมภาษณ์ผมในวันนั้น เอาหละสิ สงสัยงานจะเข้าเพราะไม่มีป้ายบอกทางหรืออะไรที่เป็น สัญลักษณ์ของแผนกที่พอจะบอกผมได้เลยว่าเจ๊คนนั้นเธออยู่ที่ไหน และผมจะพบเธอคนนั้นได้อย่างไร..สายตาเป็นสิบคู่ของพนักงานแผนกอะไรสักอย่างมองมาที่ผมจุดเดียว นั่นไงนางฟ้าที่ผมตามหาก็เดินผ่านมาพอดีเลย เฮ้อ!!รอดตายอย่างหวุดหวิด ผมเดินตามเจ้แกไปและนั่งรอที่ตรงนั้น ครับ ที่ตรงนั้นแหละไม่มีป้ายบอกผมด้วยว่ามันเป็นแผนกอะไรและเจ๊แกชื่อจริงอะไร(จำหน้าแกได้ก็ดีแล้ว) เฮ้อ.. เซ็งจริงๆกะสิบนาทีแรกที่ตูไม่รู้อะไรเลย สักพักเจ๊แกก็พาผมเดินไปหาหัวหน้างานที่หน้าตาขึงขังคนหนึ่งครับ ใช่ครับ ขึงขังมากด้วยเนื่องจากเธอได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนที่ไม่เป็นความลับของผมมาบ้างแล้วหละเลยทำให้ขึงขังใหญ่เลย เอาหละสิครับ แกชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่มุมห้องแล้วพูดห้วนๆว่าเอามานั่งตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน นั่นไง นั่นเป็นคำพูดเดียวที่เธอพูดกับผมในวันนั้นครับ แล้วจากนั้นเหรอครับ อิอิ ทุกคนต่างทำงานในหน้าที่ของตัวเองจนทั้งแผนกดูวุ่นวายโกลาหนไปหมด ส่วนผมเหรอครับ ก็นั่งไงครับ แทบจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยโดยไม่มีไครสนใจจะแนะนำอะไรให้เลย ผมนั่งเมียงมองอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลาพัก ทุกคนก็หายไปจนหมด แฮะๆๆ หลังจากที่รู้แน่แก่ใจแล้วว่าเขาพักกันหมดผมก็เลยรีบออกไปตุนเสบียงไว้บ้าง เอาแบบที่อยู่ท้องซะหน่อย ช่วงบ่ายจะได้มีสมาธิมานั่งดูต่อ อิอิ หลายคนคงคิดนะว่าทำไมผมถึงไม่ถาม บอกไว้เลย ถามแล้วครับ แต่ทุกคำถามที่ออกไปผมคงลืมบอกไปว่าต้องการคำตอบในชาตินี้ มันเลยหายไปพร้อมกับความวุ่นวายของที่นี่ อยากจะบอกไว้เลยนะว่า ถ้าท่านอยากจะให้เด็กฝึกงานใหม่อย่างผมเป็นงานแบบเร็วๆ อยากรู้จังว่าทำไมบริษัทที่ได้รับISOถึงไม่มี J.D. หรือ W/I หรือ เอกสารที่เกี่ยวกับงานในตำแหน่งหน้าที่ไว้ให้ผมได้ศึกษาบ้างหละ อย่างน้อยผมอาจจะได้รู้ว่าไอ้ที่เขาวุ่นวายกันทั้งวันนะเขากำลังทำอะไรกันอยู่ไม่ใช่ให้มานั่งดูแล้วก็จินตนาการตามสิ่งที่ตาเห็นอย่างเดียว แบบนี้ถ้าเด็กใหม่อย่างผมก็รู้สึกอึดอัดจนอยู่ไม่ได้ท่านจะเสียค่าใช้จ่ายในการหาคนเข้ามาทำงานอีกสักเท่าไรครับท่านผู้บริหาร...............
VOL3.วัฒนธรรมแห่งการจำ มันไม่เหมาะกับผมหรือมันไม่เหมาะกับองค์กร
หลังจากที่นั่งเมียงมองอยู่หลายวัน บวกกับผลงานการตีสนิทของผมจึงทำให้คนในแผนกนี้เริ่มหันมาสอนงานผมบ้างแล้ว แต่ว่านะครับผมเป็นพวกที่ชอบคิดมากกว่าจำเลยค่อนข้างมีปัญหาในการสืบค้นข้อมูลในการทำงาน เพราะองค์กรนี้สอนให้จำและมุ่งพัฒนาศักยภาพของคนอย่างเดียวโดยไม่มุ่งพัฒนาระบบ และถ้าจะถามว่าการทำงานด้วยความจำที่เป็นเลิศของทุกคนแต่การอิงความจำอย่างเดียวโดยไม่มีฐานข้อมูลเพื่อสืบค้น ทำให้เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ การทำงานที่มีประสิทธิภาพอย่างนั้นสิ! ผิดครับ สิ่งที่ผมเห็นคือการผิดนั่นผิดนี่อยู่เป็นประจำเรื่องเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทั้งเลขที่เอกสารไม่มีไม่รู้ว่าจะใช้แบบฟอร์มไดในการส่งเอกสารแบบได ต่างคนต่างออกแบบเอกสารเป็นของตนเองจนคนที่รับเอกสารต้องมาตีความกันหลายตลบว่าเอกสารนี้มีวัตถุประสงค์อะไรแล้วฉบับก่อนหน้านี้ส่งมาเมื่อไรจะตรวจสอบได้อย่างไร?และการให้ข้อมูลหรือสั่งงานทางโทรศัพท์ที่เวลาเกิดความผิดต่างก็โยนกันไปมาเพราะไม่มีลายลักษณ์อักษรไว้พิสูจน์ จนผมอดคันปากแล้วถามหาแหล่งสืบข้อมูลเอกสารจะหาได้จากที่ไหน หลังสิ้นคำถามทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียวกันจนผมต้องนั่งนิ่งอีกรอบ เฮ้อ เด็กฝึกงานจะฉลาดก็ไม่ได้จะโง่ก็จะไม่ผ่านงาน ยังโชคดีนะครับที่ยังมีบางคนที่คิดเหมือนผมแล้วก็เก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้บ้าง ผมจึงขอเซฟเอาไว้เพื่อในกรณีที่ต้องการข้อมูลจะได้เอามาเปิดดูได้ แต่!อุแม่จ้าว อัพเดทล่าสุดเมื่อปีก่อน ตอนนี้ผมมีข้อมูลที่ทันสมัยน่าดูเลย เอาสิครับ ใครจะจำก็จำแต่สำหรับผมชอบวิธีที่สร้างสรรค์กว่านี้ครับ เริ่มเก็บข้อมูลที่ได้มาจากคำบอกเล่าเอามาแยกประเภทและเริ่มหาวิธีการที่จะลดขั้นตอนความซับซ้อนของงานลงไป ซึ่งทั้งหมดนี้ผมต้องทำที่บ้านหลังเลิกงานครับ ซึ่งผมเองก็ต้องพบกับอุปสรรคหลายเรื่องจนสิ่งที่พยายามทำนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะอะไรนะเหรอครับ เพราะว่าข้อมูลที่ได้มามันไม่ครบและไม่ครอบคลุมไงครับ และข้อมูลหลายชุดที่ผมต้องการมันอยู่เหนือความสามารถที่จะหามาได้จึงทำให้แผนการณ์นี้ต้องหยุดไปอีก เฮ้อ.. และผมก็ต้องกลับมาเป็นแค่พนักงานใหม่ที่ความจำไม่ดีอีกเหมือนเดิม เซ็งมั้ยครับกับองกรที่สอนให้จำมากกว่าให้คิดและไม่มีมาตรฐานไดๆให้อ้างอิง และถ้าแบบนี้อนาคตของพนักงานใหม่ที่ท่านต้องการนั่นคือความจำดีอย่างเดียวเหรอครับแล้วรูปแบบเอกสารกับฐานข้อมูลที่เหมือนกันมีความทันสมัยมีรูปแบบมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร มันทำยากขนาดนั้นเลยหรือครับท่านผู้บริหาร.......
VOL3 .จะกลมกลืนหรือจะแตกต่าง
หลังจากเริ่มรู้แจ้งเห็นชัดแล้วว่าองค์กรนี้มีปัญหาอะไรแอบแฝงอยู่ตามช่องตามหลืบ ก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตการทำงานที่แสนจะท้าทายของผมอีกแล้วแหละ เออ..อืม..งานนี้ต้องคิดครับว่าจะกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมในแบบเก่าแก่ของที่นี่หรือจะลองแนะนำในสิ่งที่คิดว่าดีกว่าดู..ชิวิตมักมีหลายมุมมองครับ หลังจากลองโยนหินถามทางด้วยการแนะนำเล็กๆน้อยๆแล้วก็ได้ค้นพบว่า ความรู้หรือจะสู้ความเก๋า คงเดาออกใช่มั้ยครับว่าผมโดนฟีตแบ็คกลับมาแทบหงายท้องเลย อิอิ “สอนอะไรก็ไม่รับ ถ้ายังไม่จำในสิ่งที่สอนไว้คงอยู่กับเราได้ไม่นาน” นั่นไง ประมาณว่าผมคงจะไม่ผ่านงานซะแล้ว เอาไงดีหละ ระหว่างระบบที่ต้องท่องจำกับระบบที่อิงมาตรฐาน ระบบที่แบ่งงานไม่เป็นสัดส่วนทำให้คนบางแผนกนั่งแต่งหน้าได้ทั้งวันในขณะที่บางแผนกต้องเอาข้าวเที่ยงมานั่งทำไปกินไปด้วยเลย เอาดิครับ ผมทราบว่าทุกองค์กรมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง อย่างที่นี่ก็มีจุดแข็งอยู่นะครับคือท่ามกลางความผิดพลาดก็มีความช่วยเหลือร่วมมือร่วมแรงในการแก้ปัญหาที่ตามมา แบบช่วยกันดีมากๆ อืม จะดีกว่ามั้ยครับถ้างานที่มีลักษณะคล้ายกันจะเอามาไว้ด้วยกัน และงานที่ต้องคิดวางแผนหรือใช้สมองเยอะๆคุณควรแยกงานเอกสารที่ไม่จำเป็นออกจากแผนกนี้ให้เหลือน้อยที่สุด เพราะถ้ามัวมานั่งคีย์เอกสารอยู่หละก็จะเอาเวลาที่ไหนไปควบคุมงานได้ทันท่วงทีหละครับ ในสายงานควบคุมการจัดส่งสินค้าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการส่งสินค้าให้ตรงเวลาและครบถ้วนปลอดภัย ซึ่งพนักงานในส่วนวางแผนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เวลาในการวางแผนและแก้ไขปรับปรุงแผนอยู่ตลอดเวลา งานเอกสารขอให้เอาไว้เท่าที่จำเป็นเพื่อให้นักวางแผนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดแบบผมนี่สมควรที่จะไม่ผ่านงานด้วยหรือ? เอาสิครับว่ากันไป งานนี้ต้องค่อยๆคิดค่อยๆทำไป ไม่มีองค์กรไดสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ภายในเวลาอันสั้นและหากหัวหน้าระดับปฏิบัติการไม่เอาด้วยหละก็อย่าหวังจะเปลี่ยนวัฒนธรรมได้เลย ฉะนั้นพนักงานใหม่อย่างผมก็ต้องยอมกันต่อไป อย่างนี้คงต้อง