เราผิดที่เป็น“ผู้หญิง”?

สมัยเด็ก..................
แม่สอนว่าให้เราเคารพพ่อและพี่ชาย
เราถามว่าทำไมต้องเคารพพี่ชาย?
แม่ตอบว่าเพราะเขาเกิดก่อน
แม่ห้ามไม่ให้เราเอากางเกงหรือเครื่องนุ่งห่มท่อนล่างของเราไปซักในกะละมังที่พ่อหรือพี่ชายหรือลุงใช้ซักเสื้อ แต่กางเกงหรือเครื่องนุ่งห่มท่อนล่างของพ่อหรือพี่ชายหรือลุงเอามาซักในกะลังมังที่ใช้ซักเสื้อของเราหรือแม่ได้
เราถามว่าทำไม?
แม่บอกว่าเด๋วผู้ชายเขาเสื่อมหมด
บ้านเราเลยมีกะละมังไว้ซักเสื้อโดยเฉพาะ ซึ่งพ่อหรือพี่ชายหรือลุงจะใช้ซักกางเกงของเขาในกะละมังนั้นก็ได้ และมีอีกกะละมังหนึ่งเอาไว้ซักกางเกงโดยเฉพาะเช่นกัน ซึ่งแม่กับเราจะซักกางเกงของตัวเองได้ในกะละมังใบนี้เท่านั้น
แม่สอนเสมอว่าผู้ชายคือของสูง คือผู้นำครอบครัว เราจะต้องเคารพและบูชาเขา เราถึงจะเจริญ(แม่ไม่ได้ใช้คำแบบนี้เปะๆ แต่เราจับใจความได้ว่าทำนองนี้) อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย พี่ชายก็ห้ามเถียงเขา
พ่อบอกว่าผู้หญิงสมัยก่อนต้องกราบสามีทุกคืนก่อนนอนนะ
ตอนนั้นเราฟังอย่างเดียว แล้วก็ว่า...หรอๆ แต่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรซักอย่างอยู่ในใจ
เราตื่นเช้ามาทุกเช้าจะมีจานชามที่ใช้และแช่ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนให้เราล้าง ถ้าพี่ชายอยู่บ้านเราไม่อยู่บ้าน พี่ชายจะต้องเป็นคนล้าง ถ้าพี่ชายอยู่บ้าน เราก็อยู่บ้านเราจะต้องเป็นคนล้าง
วันไหนเราตื่นสายไม่ล้างซักทีแม่จะดุและมองเราด้วยสายตาตำหนิติเตียนอย่างหนัก ในขณะที่เราเหลือบไปดูพี่ชายของเรา เขาก็ตื่นสายพอๆกัน แล้วนั่งเล่นเกมหรือทำไรซักอย่าง แต่แม่เฉยๆ
เรื่องถูบ้าน กวาดบ้านเอยก็จะมาแนวนี้เหมือนกัน
แต่งานของผู้ชาย เช่น ขนดิน แบกเหล็กเส้น หิ้วปูน ขนอิฐ(ตอนนั้นกำลังสร้างบ้าน)หรือรดน้ำต้นไม้ในสวน(ใช้กระบวยด้ามยาวตักวิดน้ำจากร่องรดทีละต้น) ต้องช่วยกันทั้งบ้าน ตอนพ่อกับแม่ไปขายของตลาดนัดพี่ชายกับเราถ้าปิดเทอมก็ต้องผลัดเวรกันไปช่วย
แม่ก็ต้องไปช่วยพ่อนะ พอกลับมาบ้านก็ต้องทำงานบ้าน ทำกับข้าวด้วยซึ่งเป็นที่รู้กันว่าไม่ใช่หน้าที่ของพ่อ

ตอนโตขึ้นมาอีกหน่อย...................
พ่อกับแม่มอบให้บ้านหลังที่อยู่กันปัจจุบันนี้(ซึ่งพ่อกับแม่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและด้วยหัวใจของพ่อกับแม่จริงๆ เราเห็นๆอยู่)พร้อมที่ดินเป็นของพี่ชาย พ่อกับแม่ให้เหตุผลว่าพี่ชายต้องสืบทอดการเลี้ยงผีบรรรพบุรุษตามประเพณี  และแบ่งที่ดินเปล่าผืนเดียวกันกับที่สร้างบ้านให้เรากะว่าถ้าเรามีสามีให้มาสร้างบ้านกันอยู่ตรงนี้
เราถามพ่อว่าทำไมไม่สร้างให้เราเหมือนที่สร้างไว้ให้พี่ชาย?
พ่อบอกว่าพอถึงเวลาให้พี่ชายช่วยสร้างนะ(เราฟังแล้วอยากถามว่า แล้วพ่อบอกพี่ไว้ยัง? แต่เลยไม่ได้ถาม)
เราถามแม่ด้วยคำถามเดียวกันนั้น
แม่ตอบว่าก็ไม่มีตังค์พอจะสร้างให้ทั้งสองคน ถ้าเราสร้างเองไม่ไหวก็อยู่กับพี่ชายไปพลางๆก่อนนะ
ตอนพ่อยังไม่เสีย เราถามพ่อว่าทำไมต้องเซ้าซี้ให้เราทำงานบ้านและทำกับข้าว ทั้งๆที่เราก็ต้องรับผิดชอบเรื่องเรียนและก็จะต้องรับผิดชอบเรื่องงานเหมือนๆกับพี่ชาย?
พ่อบอกว่าถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำซี(เราฟังแล้วอยากถามว่า แล้วพ่อกะว่าจะไปบอกแม่มั้ยว่าพ่อคิดอย่างนี้นะ? แต่เลยไม่ได้ถาม)

ปัจจุบัน.....................
แม่เล่าให้ฟังว่าแต่งงานกับพ่อใหม่ๆ พ่อเอาสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่มาให้อ่าน เราก็เลยถึงบางอ้อว่าทำไมแม่เป็นแม่บ้านมากๆ
แม่เล่าให้ฟังอีกว่าตอนยังไม่มีครอบครัว แม่ทำกับข้าวให้ทั้งบ้านกินตั้งแต่อยู่ป.1 ทำอยู่คนเดียวเรื่อยมา ตายายมีลูกผู้หญิงสองคน น้องสาวแม่ก็ไม่สนใจจะทำ เราก็เลยอ๋ออีกว่าแม่เป็นแม่บ้านแบบ “born to be”
วันหนึ่งเราล้างจานอยู่แล้วบอกแม่ว่าถ้าเรามีลูกชายเราจะใช้ให้มันถูบ้าน ซักผ้า ล้างชาม
แม่สวนกลับมาว่าเออ เด๋วลูกมันจะกลายเป็นตุ๊ด
เราถามแม่อีกด้วยคำถามเดียวกันกับที่เคยถามพ่อว่าทำไมต้องเซ้าซี้ให้เราทำงานบ้านและทำกับข้าว ทั้งๆที่เราก็ต้องรับผิดชอบเรื่องเรียนและก็จะต้องรับผิดชอบเรื่องงานเหมือนๆกับพี่ชาย แต่ทำไมพี่ชายเขาไม่โดนอย่างเรามั่ง?
แม่บอกว่าเพราะเราเป็นผู้หญิง
เราถามว่าผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันตรงไหน?
แม่บอกว่าถ้าไม่อยากทำก็ไปแปลงเพศสิ
เราถามแม่ว่าตกลงเราผิดที่เกิดมาเป็นผู้หญิงใช่มั้ย ถึงโดนตราหน้าว่า“ต่ำต้อย”และต้องซุกอยู่ในก้นครัวทำงานบ้านทำกับข้าว ล้างถ้วยล้างชามสกปรกๆ ซักผ้าขี้ริ้วเหม็นๆ ทำงานของขี้ข้าที่ผู้ชายเขาไม่ทำกัน
แม่ถึงกับส่ายหน้า มองด้วยสายตาติเตียนหนักๆและแบบที่ไม่คาดคิดว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากของลูกสาวในใส้ แล้วตอบว่า พอเถอะ พูดเรื่องนี้กับเราทีไร พูดไม่รู้เรื่องทุกที แม่ถึงไม่อยากพูดไง

เรายอมรับนะว่าแม่เหนื่อย เพราะแม่ทั้งช่วยพ่อทำงานนอกบ้านและต้องรับผิดชอบทำงานในบ้านอยู่คนเดียว หลังจากพ่อเสีย แม่ไม่ได้ทำงานนอกบ้านอีก ดูแลบ้านอย่างเดียว ใช้เรามาเถอะ เราเต็มใจเพราะเรารู้อยู่เต็มอกว่าแม่เหนื่อย แต่เราก็ไม่รู้ทำไมถึงทำใจไม่ได้ที่เป็นเราคนเดียวเท่านั้นที่แม่เรียกร้องจะให้ช่วยแบ่งเบางานของแม่  ทำไมแม่ไม่เคยเรียกร้องให้พี่ชายช่วยบ้าง  เท่าที่เราเห็น เท่าที่เราสัมผัสมาตลอดตั้งแต่จำความได้จนป่านนี้ แม่ไม่เคยเรียกร้องให้พี่ชายทำงานบ้านเลย ตอนเด็กๆเคยผลัดเวรกันถูบ้านล้างจาน ไม่รู้เราคิดมากหรืออะไร แต่เราก็รู้สึกมาตลอดว่าแม่สงสารและเจ็บอยู่ในใจที่เห็นพี่ชายต้องทำอะไรที่แม่คิดว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเขาและที่สำคัญมันเป็นหน้าที่ต่ำๆที่พี่ชายไม่ควรลดตัวลงมาทำเลยด้วยซ้ำ ตอนเราไปเรียนต่อ ที่บ้านจัดงานอะไรซักอย่างแล้วก็มีถ้วยชามกองพะเนิน พี่ชายเห็นแล้วคงสงสารแม่ ก็เลยช่วยล้างให้โดยแม่ไม่ต้องขอ แม่เอามาเล่าให้เราฟังด้วยความชื่นชมและเกรงใจและสงสารอยู่ในใจ  เราแอบเก็บมาคิดต่อว่าทำไมเราแท้ๆที่ทำงานบ้านพวกนี้มาเยอะกว่าพี่ชายของเราอีก แต่เราไม่เคยได้สัมผัสถึงความชื่นชมและความเกรงใจและความสงสารจนเจ็บอยู่ในอกแบบนี้บ้าง ที่ดีที่สุดที่แม่รู้สึกและเราสัมผัสได้ก็คือ....อ่าว ก็ทำๆไปสิ หน้าที่เรานะ จะไปเกี่ยงใคร ไม่เห็นต้องคิดไรเลย  ทำเสร็จแล้วจะไปไหนก็ได้ไป มันควรอยู่ในสำนึกเรานะ เห็นแม่ทำไม่ต้องให้เรียก ต้องรู้หน้าที่รู้ประสีประสาว่าจะต้องมาช่วย

ทะเลาะกันเพราะเรื่องสิทธิผู้หญิงสิทธิผู้ชายมาตั้งแต่ประถมจนเด๋วนี้เราอายุเกือบจะสามสิบแล้ว ถามตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมคนที่มีความคิดต่างกันคนละขั้วขนาดนี้ต้องเกิดมาเป็นแม่ลูกกัน ไม่ใช่เราไม่รักแม่นะและก็ไม่ใช่ว่าแม่จะไม่รักเรา แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จึงเลือกปฏิบัติด้วย
เจ็บเหลือเกินที่เหมือนถูกกดขี่ และเจ็บจนไม่รู้จะบรรยายยังไงที่คนที่กดขี่เรานั้นคือผู้หญิงที่สำคัญต่อเราที่สุดและเป็นผู้หญิงที่รักเราที่สุด แม่ไปเอาความคิดเทิดทูนบูชาผู้ชายขนาดนี้มาจากไหนและที่สำคัญทำไมแม่เชื่อมั่นในแนวคิดแบบนี้อย่างฝังจิตฝังใจจนสามารถมองผู้หญิงด้วยกันเองให้ต่ำต้อยน้อยค่าขนาดนี้ได้ ผู้ชายดูถูกผู้หญิง เราว่าเฉยๆนะ เป็นไปได้ แต่ผู้หญิงดูถูกผู้หญิงด้วยกันเองทำไม เราควรอยู่ทีมเดียวกัน ต่อสู้ไปด้วยกัน ประคับประคองกันไม่ใช่หรอ แม่โผล่มาจากสมัยทวารวดีหรอ หรือว่าเราผุดมาจากสมัยดึกดำบรรพ์อันเนิ่นนานกาเลยิ่งกว่าที่ผู้หญิงเคยถูกยกย่องให้เป็นใหญ่

เราไปอ่านเจอว่าแต่ก่อนผู้หญิงไทยไม่ถูกมองต่ำขนาดนี้ สมัยกรุงศรีอยุธยาผู้ชายไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารปฏิบัติงานในวัง เข้าวังทีหลายเดือน ผู้หญิงจะเป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลบ้าน ดูแลทุกอย่าง ผู้ชายจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องถามผู้หญิง ขนาดในวังก็เป็นกันอย่างนี้ แนวคิดการบูชาเพศชายเราได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอินเดีย(ตามอ่านได้ที่ http://www.prachatai.com/journal/2013/05/46559) เราเอามาเล่าให้แม่ฟัง แม่เถียงว่างานหนักๆก็ต้องพึ่งผู้ชายอยู่ดี เรานึกอยู่ในใจว่า อ่าว ก็เล่าอยู่ว่าผู้ชายเข้าวังไปเป็นทหารทีหลายเดือน ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงไถนาแล้วจะเป็นสุภาพบุรุษที่ไหน

เราเคยระบายให้เพื่อนผู้ชายฟัง เพื่อนเล่าว่าที่บ้านไม่เป็นแบบนี้นะ แม่ของเขาใช้ให้ถูบ้าน ล้างชามเป็นงานประจำของเขาอยู่แล้วถ้าอยู่บ้าน แม่เขายังพูดเลย เป็นผู้ชายไม่มีมือไม่มีตรีนหรือไง ถึงจะทำงานบ้านไม่ได้ เสื้อผ้า กางเกงพ่อกับแม่เขา แม่เขาก็เทรวมใส่เครื่องซักพร้อมกันรวดเดียวเสร็จ  เราเอามาเล่าให้แม่เราฟัง แม่ว่าครอบครัวคนจีนก็งี้ยอมให้ผู้หญิงเป็นใหญ่

อย่างไรเสีย เราว่าเราก็ต้องช่วยแม่อย่างที่แม่อยากจะให้เราช่วยนั่นแหละ เพราะเขาเหนื่อยมามากและอายุมากขึ้นทุกวัน แม่ก็คงเสียใจที่เราไม่เต็มใจช่วยเขา แต่ปัญหาคือเราจะทำใจยอมรับการเลือกปฏิบัติแบบนี้ได้ยังไง เราจะลบความเจ็บอยู่ในใจนี้ได้ด้วยวิธีไหนดี  ใครก็ได้ช่วยบอกที เราจะเป็นบ้าอยู่แล้ว มันเจ็บมานานตั้งแต่เด็ก จนเด๋วนี้ซักผ้าถูบ้านยังอยากจะขว้างทิ้ง เห็นเครื่องครัวก็ไม่อยากแตะ เห็นจานชามแช่อยู่ในอ่างก็อยากจะโยนไปไกลๆเพราะนึกถึงแต่ว่าทำไมต้องเป็นเราคนเดียวที่ต้องทำ มันไม่ใช่งานหนักหนาสาหัสอะไร ไม่ใช่เลย แต่นึกถึงเหตุผลที่แม่ให้เราทำแล้วมันเจ็บ เจ็บจริงๆ แค่เห็นไม้กวาด เห็นไม้ถูบ้านก็นึกไปถึงว่านี่เราทำผิดอะไร ถ้าเรารู้อย่างนี้และถ้าเราเลือกได้เราคงไม่เลือกเกิดมาเป็นผู้หญิงหรอกนะ เขียนมาให้อ่าน ไม่อยากให้เห็นใจหรอกนะ ทำใจไว้แล้วว่าคงจะโดนด่าว่าเอาพ่อแม่ตัวเองมาเมาท์  แต่ใครก็ได้ช่วยแนะนำวิธีคิดดีๆให้หน่อย คิดยังไงดีให้ความคับข้องขุ่นเคืองนี้มันหายไปได้ มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่มันคือเรื่องใหญ่ที่ทำให้เราแทบบ้า ซึ่งถ้าปล่อยเอาไว้อีก เราคงจะเป็นบ้าจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่