กมธ.ยกร่าง รธน.เคาะสูตรเลือกตั้ง ต่อไปนี้ ให้มี สส.เขต 250 คน(หายไป 125 คน) ปาร์ตี้ลิสท์ 200 (เพิ่มขึ้น 50 คน)รวมเป็น 450 คน ต่างจาก รธน.เดิมที่ให้มี สส.เขต 375 คนและปาร์ตี้ลิสท์ 125 คน รวมเป็น 500 คน เท่ากับว่าใน รธน.ใหม่จะมี สส.หายหน้าไปจากสภาอย่างไม่มีวันกลับจำนวน 50 คน..ฮาโหล เธออยู่หนายยยย ???
ส่วน สว.นั้นไม่ต้องพูดถึง ให้เพิ่มจาก 150 คน เป็น 200 คน ไม่ต้องไปเลือกตั้งให้เหนื่อยเป็นหมาหอบแดด มาจากการสรรหาทั้งหมด แถมมีอำนาจเสนอกฎหมายได้อีก ซ้ำมีอำนาจถอดถอนนายกฯได้ด้วย แล้วคนที่จะได้เป็น สว.ทั้งหลายก็คือ พวก สนช. สปช. กมธ.ที่เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ขาเก่าเจ้าเดิมๆ เช่น ไพบูลย์เอย ประสารเอย รสนาเอย คำนูณเอย และอีกสาระพัดเอย..แม๊ เยี่ยม !
รวมทั้งสภาแล้ว จะเหลือ สส.และ สว 650 คนเท่านั้น(จากเดิม 700 คน) คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน จะได้ลดเงินงบประมาณที่เอามาจ่ายเงินเดือนพวกนี้ตั้ง 50 คน อย่างน้อยคนละ 1 แสนบาท/เดือน ประมาณ 5 ล้านบาท/เดือน 1 ปีก็ประหยัดเงินไปได้ 60 ล้านบาท..แหม่ๆๆ
ที่สะใจอย่างมาก ก็คือ กำหนดให้นายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องมาจาก สส. เป็นใครก็ได้ที่สภาเห็นชอบ เท่ากับหยิบรัฐธรรมนูญก่อนเดือนพฤษภาทมิฬปี 2534 หรือย้อนหลังไปถึง 23 ปีมาใช้ ..บรรเจิดแท้
แหละตอนนั้น วันนั้น พวกท่านทั้งหลาย เช่น พรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายชวน อภิสิทธิ์ แกนนำเช่น พล.ต.จำลอง รวมทั้งคนเดือนตุลา เช่น นายสมบัติ ธำรงธัญวงค์ ก็ชิงชังรังเกียจ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่เป็นนายกฯจากคณะ รสช.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเสียนี่กระไร พร้อมใจกันขับไล่ไสส่ง โห่ไล่ ตะโกนเย้วๆบนถนนราชดำเนิน ให้สุจินดาออกไปๆ เราต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น..ถึงจะฟิน !
จึงกำหนดในกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่นั้นมาว่า “นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น” และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมา 23 ปี เพราะถือว่านายกฯที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนคือบุคคลที่คู่ควรกับการบริหารประเทศ เป็นผู้ที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้..ว่างั้น !
แต่วันนี้ บรรยากาศเก่าๆย้อนยุคกำลังจะกลับมาแล้ว “นายกฯไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งก็ได้” ทำให้ผมหันไปมองบรรดาฮาร์ดคอประชาธิปไตยในวันนั้น เช่น พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำทั้งหลาย ด้วยความรู้สึก “สะใจ” ที่พวกเขากลับมามีวันนี้ได้ เพราะฝีมือพวกเขาเองทั้งนั้น..ล้วนๆ
เพราะอะไรหรือ ? เพราะ “พวกเขา”ที่ลุ่มหลงระบอบประชาธิปไตยในวันนั้น ก็เนื่องจากคนอื่นมามีอำนาจต่างหากเล่า มันไม่ใช่พวกเขา จึงเรียกร้องหาระบอบประชาธิปไตยเป็นเกราะบังหน้าจนสำเร็จ และเมื่อพวกเขาได้ขึ้นสู่อำนาจ เป็นรัฐบาล เขาก็ยังคงรักประชาธิปไตยอยู่เรื่อยมา แต่ต่อมาเมื่อพวกเขาไม่ได้เป็นรัฐบาลเสียที เขาก็เริ่มรังเกียจประชาธิปไตยที่เคยรัก สุดท้าย พาสมัครพรรคพวกมาล้มประชาธิปไตยที่ตัวเองเคยเรียกร้อง ร้องหาการรัฐประหาร จนสำเร็จ..สมปรารถนา !
มองเห็นว่า แท้จริง“พวกเขา”มิได้มีจุดยืนแม้สักนิดเดียว และน่าจะมิได้มีความศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย รวมถึงไม่มีความศรัทธาต่อระบอบใดๆทั้งสิ้น แค่มองเห็น “ระบอบ”เป็นหนทางนำขึ้นสู่อำนาจเท่านั้น สามารถ “รัก”ทุกอย่างที่ได้ประโยชน์ “เกลียด”ทุกอย่างที่ตนเองเสียประโยชน์..จิตมนุษย์
วันนี้ เขาสามารถล้มระบอบได้แล้ว แต่ทว่าสิ่งที่เขาเรียกร้อง มันกลับมิได้ตอบสนองพวกเขาเหมือนครั้งนั้น ตรงกันข้าม กับลิดรอนสิทธิประโยชน์ต่างๆของเขาเกือบสิ้น ตัดประโยชน์ ลดจำนวน..แล้วจะทำยังไงล่ะ ?
ได้ยินนายพิเชษฎ พันธุ์วิชาตกุล กล่าวไว้เมื่อไม่นาน แกพูดว่า “ สะใจมั้ยละ ! ประชาชน ที่ช่วยกันล้มสถาบันของตนเอง เอานักเพ้อฝัน หลับๆตื่นๆ มากำหนดรูปแบบประชาธิปไตยของประชาชน” ผมนี้..สะใจเลย !!!
..."นายกฯไม่ต้องมาจาก สส." ผมนี้..สะใจเลย !...
กมธ.ยกร่าง รธน.เคาะสูตรเลือกตั้ง ต่อไปนี้ ให้มี สส.เขต 250 คน(หายไป 125 คน) ปาร์ตี้ลิสท์ 200 (เพิ่มขึ้น 50 คน)รวมเป็น 450 คน ต่างจาก รธน.เดิมที่ให้มี สส.เขต 375 คนและปาร์ตี้ลิสท์ 125 คน รวมเป็น 500 คน เท่ากับว่าใน รธน.ใหม่จะมี สส.หายหน้าไปจากสภาอย่างไม่มีวันกลับจำนวน 50 คน..ฮาโหล เธออยู่หนายยยย ???
ส่วน สว.นั้นไม่ต้องพูดถึง ให้เพิ่มจาก 150 คน เป็น 200 คน ไม่ต้องไปเลือกตั้งให้เหนื่อยเป็นหมาหอบแดด มาจากการสรรหาทั้งหมด แถมมีอำนาจเสนอกฎหมายได้อีก ซ้ำมีอำนาจถอดถอนนายกฯได้ด้วย แล้วคนที่จะได้เป็น สว.ทั้งหลายก็คือ พวก สนช. สปช. กมธ.ที่เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ขาเก่าเจ้าเดิมๆ เช่น ไพบูลย์เอย ประสารเอย รสนาเอย คำนูณเอย และอีกสาระพัดเอย..แม๊ เยี่ยม !
รวมทั้งสภาแล้ว จะเหลือ สส.และ สว 650 คนเท่านั้น(จากเดิม 700 คน) คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน จะได้ลดเงินงบประมาณที่เอามาจ่ายเงินเดือนพวกนี้ตั้ง 50 คน อย่างน้อยคนละ 1 แสนบาท/เดือน ประมาณ 5 ล้านบาท/เดือน 1 ปีก็ประหยัดเงินไปได้ 60 ล้านบาท..แหม่ๆๆ
ที่สะใจอย่างมาก ก็คือ กำหนดให้นายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องมาจาก สส. เป็นใครก็ได้ที่สภาเห็นชอบ เท่ากับหยิบรัฐธรรมนูญก่อนเดือนพฤษภาทมิฬปี 2534 หรือย้อนหลังไปถึง 23 ปีมาใช้ ..บรรเจิดแท้
แหละตอนนั้น วันนั้น พวกท่านทั้งหลาย เช่น พรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายชวน อภิสิทธิ์ แกนนำเช่น พล.ต.จำลอง รวมทั้งคนเดือนตุลา เช่น นายสมบัติ ธำรงธัญวงค์ ก็ชิงชังรังเกียจ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่เป็นนายกฯจากคณะ รสช.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเสียนี่กระไร พร้อมใจกันขับไล่ไสส่ง โห่ไล่ ตะโกนเย้วๆบนถนนราชดำเนิน ให้สุจินดาออกไปๆ เราต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น..ถึงจะฟิน !
จึงกำหนดในกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่นั้นมาว่า “นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น” และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมา 23 ปี เพราะถือว่านายกฯที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนคือบุคคลที่คู่ควรกับการบริหารประเทศ เป็นผู้ที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้..ว่างั้น !
แต่วันนี้ บรรยากาศเก่าๆย้อนยุคกำลังจะกลับมาแล้ว “นายกฯไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งก็ได้” ทำให้ผมหันไปมองบรรดาฮาร์ดคอประชาธิปไตยในวันนั้น เช่น พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำทั้งหลาย ด้วยความรู้สึก “สะใจ” ที่พวกเขากลับมามีวันนี้ได้ เพราะฝีมือพวกเขาเองทั้งนั้น..ล้วนๆ
เพราะอะไรหรือ ? เพราะ “พวกเขา”ที่ลุ่มหลงระบอบประชาธิปไตยในวันนั้น ก็เนื่องจากคนอื่นมามีอำนาจต่างหากเล่า มันไม่ใช่พวกเขา จึงเรียกร้องหาระบอบประชาธิปไตยเป็นเกราะบังหน้าจนสำเร็จ และเมื่อพวกเขาได้ขึ้นสู่อำนาจ เป็นรัฐบาล เขาก็ยังคงรักประชาธิปไตยอยู่เรื่อยมา แต่ต่อมาเมื่อพวกเขาไม่ได้เป็นรัฐบาลเสียที เขาก็เริ่มรังเกียจประชาธิปไตยที่เคยรัก สุดท้าย พาสมัครพรรคพวกมาล้มประชาธิปไตยที่ตัวเองเคยเรียกร้อง ร้องหาการรัฐประหาร จนสำเร็จ..สมปรารถนา !
มองเห็นว่า แท้จริง“พวกเขา”มิได้มีจุดยืนแม้สักนิดเดียว และน่าจะมิได้มีความศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย รวมถึงไม่มีความศรัทธาต่อระบอบใดๆทั้งสิ้น แค่มองเห็น “ระบอบ”เป็นหนทางนำขึ้นสู่อำนาจเท่านั้น สามารถ “รัก”ทุกอย่างที่ได้ประโยชน์ “เกลียด”ทุกอย่างที่ตนเองเสียประโยชน์..จิตมนุษย์
วันนี้ เขาสามารถล้มระบอบได้แล้ว แต่ทว่าสิ่งที่เขาเรียกร้อง มันกลับมิได้ตอบสนองพวกเขาเหมือนครั้งนั้น ตรงกันข้าม กับลิดรอนสิทธิประโยชน์ต่างๆของเขาเกือบสิ้น ตัดประโยชน์ ลดจำนวน..แล้วจะทำยังไงล่ะ ?
ได้ยินนายพิเชษฎ พันธุ์วิชาตกุล กล่าวไว้เมื่อไม่นาน แกพูดว่า “ สะใจมั้ยละ ! ประชาชน ที่ช่วยกันล้มสถาบันของตนเอง เอานักเพ้อฝัน หลับๆตื่นๆ มากำหนดรูปแบบประชาธิปไตยของประชาชน” ผมนี้..สะใจเลย !!!