เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 ธันวาคมนี้ ที่วิหารหลวงพ่อพูล อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือพระคมน์กฤตย์ กิตติกิตโต (สุนทรสุวรรณ) หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความ นายสวัสดิ์ ศรีสว่าง ไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม พร้อมด้วยกรรมวัด ได้เปิดแถลงข่าวถึงเหตุผลที่ต้องดำเนินคดีทั้งทางอาญาและแพ่ง กับสื่อทีวีรายหนึ่งที่ทำการละเมิด และเสนอข้อมูลข่าวอันเป็นเท็จโดยเรียกค่าเสียหายจำนวน 30 ล้านบาท
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เผยว่า ที่มาที่ไปสืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการของวัดไผ่ล้อม ได้มีมติเห็นควรให้ปรับภูมิทัศน์ เพื่อความสวยงาม และความปลอดภัย สภาพแวดล้อมของวัดบนที่ดินของวัด แล้วเกิดการให้ข่าว เสนอข่าวของบุคคลที่เกี่ยวข้องในการอยู่อาศัยบนที่ดินของวัด และสื่อมวลชนแขนงต่างๆซึ่งในจำนวนนั้นมีสื่อ ทีวีดิจิตอลรายหนึ่งนำเสนอข่าวด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทำให้เกิดความเสียหายต่อตัว พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมเอง และวัดไผ่ล้อม ทางคณะลูกศิษย์ และคณะกรรมการวัดรวมทั้งไวยาวัจกรวัด จึงเห็นควรให้ฟ้องร้องดำเนินคดี ต่อผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ตามสิทธิ์ที่พึงมี คือ เมื่อ 23 ธ.ค.57 ที่ที่ผ่านมาได้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ ไทยรัฐทีวี นายผดุงศักดิ์ เหล่ากิจไพศาล บรรณาธิการข่าว นายพีระวัฒน์ อัฐนาค ผู้ดำเนินรายการ และนางปัทมา สีดา เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.การพิมพ์ ต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ย.57 เวลาประมาณ 00.01น.เศษบุคลทั้ง 4 ได้ร่วมกันใส่ความหมิ่นประมาทในรายการ"ครบข่าวดึก"โดยมี นางปัทมา เป็นผู้ให้ข่าว และข้อมูลลักษณะว่า ชาวบ้านชุมชนวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม 300 คน เข้าขอความช่วยเหลือกับ ทนายความซึ่งเป็นประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่านหนึ่ง อ้างว่า พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ขับไล่ชาวบ้านที่พักอาศัยที่ดินวัดกว่า 80 หลังคาเรือนให้ออกไปจากการอยู่อาศัยในบริเวณวัดภายใน 3 เดือน หากไม่รื้อถอนตามกำหนดอาจถูกทำร้ายและเผาไล่ที่ซึ่งเป็นการให้ร้าย ไม่เป็นความจริงซึ่ง ที่ข้อเท็จจริงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของวัดไผ่ล้อมที่ให้บุคคลภายนอกเช่าตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา
โดยมีการจัดเก็บค่าเช่าจากผู้พักอาศัย กระทั่งปี 2550 ได้มีการประชุมหารือของคณะกรรมการวัด และมีมติให้นำแปลงที่ดินดังกล่าวไปก่อสร้างโรงเรียนปริยติธรรม ศูนย์ปฏิบัติธรรมและอาคารต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการพุทธศาสนา จึงได้มอบหมายให้ไวยาวัจกรของวัดไปแจ้งกับผู้เช่าอาศัยแล้วได้มีการยกเลิกเก็บค่าเช่า โดยแจ้งให้ผู้เช่าขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน แต่ผู้พักอาศัยกลับไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป ทั้งๆที่ทางวัดในนามเจ้าอาวาสและกรรมการได้มีหนังสือบอกกล่าวขอคืนพื้นที่กับผู้เช่าแล้ว
การเสนอข่าวอันเป็นเท็จของสถานีโทรทัศน์ ไทยรัฐทีวี ที่มีบุคลทั้ง 4 เกี่ยวข้องดำเนินรายการ ทำให้โพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงได้ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายโดยมอบอำนาจให้ทนายความและส่วนเกี่ยวข้องไปดำเนินการ พร้อมเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 30 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี นับจากวันถัดฟ้องเป็นต้นไป และขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันอื่นอีกอย่างน้อย 3 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งศาลได้รับคดีไว้ในสาระบบแล้วและนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 9 มี.ค.58
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวหลังการแถลงข่าวว่า ตนไม่ได้มีความโกรธหรือเกลียดชังทั้งผู้ที่อยู่อาศัยบนที่ดินวัด ผู้ให้ข่าว และผู้เสนอข่าว ตนมีความเมตตามาตลอด ตั้งแต่ตนเข้ามาอยู่ในสมณะเพศเป็นพระสงฆ์กระทั่งนั่งตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ก็เมตตาให้มามาตลอด จะเป็นได้จากหลักฐานทั้งถาวรวัตถุที่ตนเองได้สร้างทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล การศึกษา ทุนการศึกษา และอีกหลายต่อหลายสิ่ง ถ้าคิดเป็นเงินน่าจะเป็นร้อยๆล้าน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งดีๆทั้งสิ้นทำไมไม่เอาไปเปิดเผยเอาไปวิจารณ์ ไม่เอาไปเป็นข่าว
ซี่งอย่างไรก็ตามเชื่อว่า สาธุชนชาวพุทธส่วนใหญ่ทั้งหลายจะรู้ได้ และรู้ดีว่า ตนเป็นสงฆ์แบบไหน ที่ต้องออกมาพูดมาแถลงในวันนี้ก็เพื่อปกป้องสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ ปกป้องสิทธิ์ สงฆ์ที่คิดดีปฏิบัติดี ปกป้องสิทธิ์ธรณีสงฆ์ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบและกติกาทั้งทางธรรม ทางโลก และสังคม โดยเฉพาะสื่อผู้แทนสื่อบางสื่ออย่านำเสนอข่าวแบบ เอามันส์ด้านเดียวควรมีจรรยาบรรณในสำนึกเป็นที่ตั้ง เงิน30ล้านบาทที่ฟ้องเรียกไม่ได้คิดเอาเป็นส่วนตนแต่ จะเอามาเป็นสมบัติสงฆ์เพื่อถาวรและวัตถุ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1419512966
"หลวงพี่น้ำฝน" ฟ้องสื่อยักษ์ เรียก 30 ล้าน
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เผยว่า ที่มาที่ไปสืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการของวัดไผ่ล้อม ได้มีมติเห็นควรให้ปรับภูมิทัศน์ เพื่อความสวยงาม และความปลอดภัย สภาพแวดล้อมของวัดบนที่ดินของวัด แล้วเกิดการให้ข่าว เสนอข่าวของบุคคลที่เกี่ยวข้องในการอยู่อาศัยบนที่ดินของวัด และสื่อมวลชนแขนงต่างๆซึ่งในจำนวนนั้นมีสื่อ ทีวีดิจิตอลรายหนึ่งนำเสนอข่าวด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทำให้เกิดความเสียหายต่อตัว พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมเอง และวัดไผ่ล้อม ทางคณะลูกศิษย์ และคณะกรรมการวัดรวมทั้งไวยาวัจกรวัด จึงเห็นควรให้ฟ้องร้องดำเนินคดี ต่อผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ตามสิทธิ์ที่พึงมี คือ เมื่อ 23 ธ.ค.57 ที่ที่ผ่านมาได้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ ไทยรัฐทีวี นายผดุงศักดิ์ เหล่ากิจไพศาล บรรณาธิการข่าว นายพีระวัฒน์ อัฐนาค ผู้ดำเนินรายการ และนางปัทมา สีดา เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.การพิมพ์ ต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ย.57 เวลาประมาณ 00.01น.เศษบุคลทั้ง 4 ได้ร่วมกันใส่ความหมิ่นประมาทในรายการ"ครบข่าวดึก"โดยมี นางปัทมา เป็นผู้ให้ข่าว และข้อมูลลักษณะว่า ชาวบ้านชุมชนวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม 300 คน เข้าขอความช่วยเหลือกับ ทนายความซึ่งเป็นประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่านหนึ่ง อ้างว่า พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ขับไล่ชาวบ้านที่พักอาศัยที่ดินวัดกว่า 80 หลังคาเรือนให้ออกไปจากการอยู่อาศัยในบริเวณวัดภายใน 3 เดือน หากไม่รื้อถอนตามกำหนดอาจถูกทำร้ายและเผาไล่ที่ซึ่งเป็นการให้ร้าย ไม่เป็นความจริงซึ่ง ที่ข้อเท็จจริงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของวัดไผ่ล้อมที่ให้บุคคลภายนอกเช่าตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา
โดยมีการจัดเก็บค่าเช่าจากผู้พักอาศัย กระทั่งปี 2550 ได้มีการประชุมหารือของคณะกรรมการวัด และมีมติให้นำแปลงที่ดินดังกล่าวไปก่อสร้างโรงเรียนปริยติธรรม ศูนย์ปฏิบัติธรรมและอาคารต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการพุทธศาสนา จึงได้มอบหมายให้ไวยาวัจกรของวัดไปแจ้งกับผู้เช่าอาศัยแล้วได้มีการยกเลิกเก็บค่าเช่า โดยแจ้งให้ผู้เช่าขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน แต่ผู้พักอาศัยกลับไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป ทั้งๆที่ทางวัดในนามเจ้าอาวาสและกรรมการได้มีหนังสือบอกกล่าวขอคืนพื้นที่กับผู้เช่าแล้ว
การเสนอข่าวอันเป็นเท็จของสถานีโทรทัศน์ ไทยรัฐทีวี ที่มีบุคลทั้ง 4 เกี่ยวข้องดำเนินรายการ ทำให้โพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงได้ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายโดยมอบอำนาจให้ทนายความและส่วนเกี่ยวข้องไปดำเนินการ พร้อมเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 30 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี นับจากวันถัดฟ้องเป็นต้นไป และขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันอื่นอีกอย่างน้อย 3 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งศาลได้รับคดีไว้ในสาระบบแล้วและนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 9 มี.ค.58
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวหลังการแถลงข่าวว่า ตนไม่ได้มีความโกรธหรือเกลียดชังทั้งผู้ที่อยู่อาศัยบนที่ดินวัด ผู้ให้ข่าว และผู้เสนอข่าว ตนมีความเมตตามาตลอด ตั้งแต่ตนเข้ามาอยู่ในสมณะเพศเป็นพระสงฆ์กระทั่งนั่งตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ก็เมตตาให้มามาตลอด จะเป็นได้จากหลักฐานทั้งถาวรวัตถุที่ตนเองได้สร้างทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล การศึกษา ทุนการศึกษา และอีกหลายต่อหลายสิ่ง ถ้าคิดเป็นเงินน่าจะเป็นร้อยๆล้าน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งดีๆทั้งสิ้นทำไมไม่เอาไปเปิดเผยเอาไปวิจารณ์ ไม่เอาไปเป็นข่าว
ซี่งอย่างไรก็ตามเชื่อว่า สาธุชนชาวพุทธส่วนใหญ่ทั้งหลายจะรู้ได้ และรู้ดีว่า ตนเป็นสงฆ์แบบไหน ที่ต้องออกมาพูดมาแถลงในวันนี้ก็เพื่อปกป้องสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ ปกป้องสิทธิ์ สงฆ์ที่คิดดีปฏิบัติดี ปกป้องสิทธิ์ธรณีสงฆ์ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบและกติกาทั้งทางธรรม ทางโลก และสังคม โดยเฉพาะสื่อผู้แทนสื่อบางสื่ออย่านำเสนอข่าวแบบ เอามันส์ด้านเดียวควรมีจรรยาบรรณในสำนึกเป็นที่ตั้ง เงิน30ล้านบาทที่ฟ้องเรียกไม่ได้คิดเอาเป็นส่วนตนแต่ จะเอามาเป็นสมบัติสงฆ์เพื่อถาวรและวัตถุ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1419512966