สวัสดีพี่ๆ เพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนครับ ก่อนอื่นต้องแจ้งไว้ก่อนนะครับว่าผมเป็นเยาวชนคนหนึ่งอายุ19 ปี ผมขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นสื่อกลางในการเปิดเผยให้สังคมได้รู้ถึงเรื่องๆหนึ่ง เรื่องอันเกี่ยวกับคนบางคน ที่เรียกตนเองว่า "ข้าราชการ" ผู้ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายเพื่อรักษาประโยชน์ของส่วนรวม และให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาล แต่กลับไม่ได้ปฏิบัติตนให้สมกับตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติของตนเองเลยแม้แต่น้อย เรื่องราวเป็นดังนี้ครับ
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ ผมพร้อมกับคุณพ่อได้ไปติดต่อขอเบิกเงินค่าบำรุงการศึกษาของบุตร ที่เทศบาลตำบลพอกน้อย อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โดยคุณพ่อของผมท่านรับราชการปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น จึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินสวัสดิการตรงจุดนี้ แต่เนื่องจากการเรียนของผมนั้นเป็นการเรียนผ่านระบบการศึกษา Pre-degreeของม.รามคำแหงซึ่งเรียนโดยการสะสมหน่วยกิตมาเรื่อยๆตั้งแต่ชั้นม.4 จนเมื่อจบชั้นม.6 แล้ว ก็ค่อยดำเนินการเทียบโอนหน่วยกิตที่สะสมไว้ได้ทั้งหมดมาสู่รหัสนักศึกษาที่สมัครใหม่นั่นเอง ตรงจุดนี้จะมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นหน่วยกิตละ 50 บาท
กรณีของผมรวมเป็นเงินประมาณ 6000 บาท เมื่อทำเรื่องขอเบิกจ่ายเงินจำนวนนี้ ทางเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงชื่อคุณทัศนีย์ ได้ติงมาว่าเงินนี้เบิกไม่ได้เพราะขัดกับคำสั่งของกรมปัญชีกลางกค 0422.3/ว 161 ข้อ2.1 ที่ว่าเงินที่ให้เบิกได้ไม่รวม ค่าเทียบโอน(ให้เหตุผลว่าเพราะมันมีคำว่าค่าเทียบโอน เลยไม่ได้) แต่ทางผมก็ได้ชีแจงไปแล้วว่า คำสั่งดังกล่าวนั้นถูกยกเลิกไปโดยคำสั่งกค 0422.3/ว 390 และฉบับ390ก็ถูกยกเลิกไปโดยฉบับกค0422.3/ว21 ลงวันที่13 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งต้องถือความตามฉบับปัจจุบันนี้ โดยเงินบำรุงการศึกษาที่ให้เบิกจ่ายได้ต้องเป็นเงินประเภทต่างๆ ที่สถานศึกษาของทางราชการเรียกเก็บตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากศึกษาธิการ หรือส่วนราชการเจ้าสังกัด หรือที่กำกับมหาวิทยาลัย..... ทั้งนี้ไม่รวมถึง ค่าปรับต่างๆ ค่าลงทะเบียนล่าช้า ค่ารีเกรด ค่าประกันอุบัติเหตุ... จากคำสั่งดังกล่าวจะเห็นว่าเงินจำนวนที่จะทำการขอเบิกนี้ ถือเป็นเงินที่สถานศึกษาเรียกเก็บโดยได้รับอนุมัติจากส่วนราชการที่กำกับมหาวิทยาลัย ทั้งไม่ได้เข้าข้อเว้นที่ระบุไว้ในตอนท้าย ตามหลักแล้วย่อมมีสิทธิที่จะเบิกได้ตามคำสั่งดังกล่าว
เมื่อทางผมได้ชี้แจงตามข้างต้นประกอบกับความเห็นของจนท.ของสตง.ที่ผมเคารพนับถือท่านได้ให้ความเห็นไว้ในแนวทางเดียวกัน ทั้งต่อมาตัวคุณทัศนีย์เองก็ได้อ้างว่าติดต่อประสานงานกับทางกรมบัญชีกลางแล้ว ว่าให้เบิกจ่ายได้ และรับปากว่าจะไปดำเนินการให้แล้วเสร็จในเร็ววัน
แต่ผู้ที่เข้ารับฟังครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงผม คุณพ่อ และคุณทัศนีย์เท่านั้น เนื่องจากทางท่านนายกเทศมนตรีเห็นว่าสมควรเรียกให้ปลัดขึ้นมารับฟังข้อเท็จจริงด้วย โดยปลัดเทศบาลได้มายังห้องดังกล่าวพร้อมกับเจ้าหน้าที่ คนหนึ่งซึ่งทราบในภายหลังว่าเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข(เข้ามาโดยไม่ได้มีการเรียกให้พบจากนายกฯแต่อย่างใด) ในตอนแรกทั้งสองก็สอบถามว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร เงินที่จะเบิกคืออะไร ยังไง อ้างสิทธิตรงไหน อะไรรับรอง ผมก็พยายามอธิบายตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นของกระทู้ แต่เมื่อผมอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน (จนถึงชัดเจนมาก)แล้ว ทั้งสองคนนั้นก็ยังดูเหมือนไม่ยอมรับฟังเหตุผลของผมแต่อย่างใด โดยตัวคนที่เป็นจนท.สาธารณสุขคือ นายเอนกสรร นั้นกล่าวว่าสิ่งที่ผมบอกนั้นไม่ถูกต้อง ขอดูเอกสารหน่อยสิว่าเอาอะไรมาอ้าง ผมก็ยื่นเอกสารเหล่านั้นไปให้ เมื่อรับเอกสารไปแล้วก็ทำเป็นบอกว่าเงินแบบนี้มันเบิกไม่ได้นะ เพราะมันขัดกับคำสั่งนี้ ขัดกับระเบียบของหน่วยงานผมก็ถามว่ามันขัดอะไร ตรงไหน อย่างไร ขอความกรุณาชี้แจงให้ฟังด้วย แต่ทางนั้นก็ยังยืนยันว่ามันผิด(เป็นที่น่าสังเกตว่า เอาแต่พุดว่ามันผิดแต่ ไม่ได้อ้างหลักอะไรเลย)อย่างเดียว ซ้ำพูดจาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงเหมือนจะข่มขู่ว่าต้องถือเอาตามที่เขาบอก ผมก็ชี้แจงว่ามันจะเป็นไปตามนั้นได้ยังไง ในเมื่อเงินจำนวนนี้มันไม่ได้ขัดต้องกับคำสั่งนี้แต่อย่างใด มันเป็นสิทธิที่สมควรจะได้
แต่ผมกับพ่อก็เข้าใจและเคารพในการใช้ดุลยพินิจของทุกฝ่าย หากว่าทางจนท.ที่เกี่ยวข้องกลัวว่าจะเป็นการทำผิดกฏหมาย เพียงเพราะมันไม่เคยมีกรณีเหมือนอย่างของผมมาก่อน ก็ขอให้ทำหนังสือไม่อนุญาตมา เพื่อให้มีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไปก็ย่อมได้ เพราะมันเป็นเรื่องทางปกครอง เป็นเรื่องของการที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และประชาชนพิพาทกัน หากทำตามกระบวนการแล้วย่อมทำให้สบายใจกันทั้ง2ฝ่าย ตัวนายเอนกสรรเองเมื่อได้ฟังก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงยืนกรานความคิดของตนเองอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะอธิบายยกเหตุผลยังไง ก็ไม่ยอมฟัง แต่กลับตอบโต้กลับคืนว่าอย่างรุนแรงเลยว่า แล้วแต่เลยแกก็เรียนกฏหมายมานี้หว่า กฏหมายเค้าไม่ได้ตีความเข้าข้างตนเองโว้ย เข้าไม่ได้บอกไว้ยังจะเอาอีก ผมก็พยายามสงบใจแล้วอธิบายอย่างชัดเจนให้ฟังเหมือนอย่างที่บอกก่อนหน้านี้หลายรอบมากๆ แต่นายเอนกคนนี้ก็ยังไม่ยอมเข้าใจ ทั้งยังพูดใส่อารมณ์กลับมาว่า เค้าก็เรียนกฏหมายมาเหมือนกัน ไม่ต้องมาอธิบายให้ฟังก็ได้ และก็เดินหนีกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้องทันที ทั้งยังทิ้งท้ายไว้อีกต่างหากว่า ถ้าเรียนเก่งจริงทำไมไม่ไปเรียนรัฐศาสตร์เลยล่ะ ส่วนอีกคนคือนายวนกรตัวปลัดก็มาบอกอีกครั้งว่าอ้างกฏหมาย ข้อไหน อะไร ยังไงอีก ผมก็สงสัยว่าที่ผมอธิบายไปทั้งหมดนี่มันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอ ผมอธิบายให้ปลัดคนนี้ฟังแล้ว แทนที่จะยอมรับฟังสิ่งที่ผมพูด ก็ยังจะพูดไปในทางเดียวกันกับนายเอนกสรรอีกคนหนึ่ง เหตุผลที่ผมกล่าวให้ฟังก็ไม่รับฟัง ทำท่าไม่พอใจตึงตังออกจากห้องไปอีกคน
จากเหตุการณ์ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ มันทำให้ผมได้ทราบอะไรหลายๆอย่าง หลายอย่างที่บอกได้ว่านี่หรือคือการทำตัวของผู้ใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าข้าราชการท้องถิ่นของแผ่นดิน การกระทำที่ทั้งเป็นการแสดงกิริยาทีและคำพูดไม่เหมาะสมต่อหน้าประชาชนและผู้บังคับบัญชาของตน ก็จริงที่ผมอาจเป็นเพียงเยาวชนคนหนึ่งที่เกิดมาเห็นโลกได้เพียง 19 ปี แต่นั่นมันหมายความว่าเหตุผมของผมมันไม่มีค่าอย่างนั้นหรือ เหตุผลมันไม่มีค่ามากพอที่จะรับฟังได้? ตัวของผมเองและเชื่อว่าคนในสังคมคงเคยได้รับการปลูดฝังมาอยู่เสมอว่า คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน เราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ทุกคนต้องรับฟังความคิดเห็น เหตุผลของคนอื่นๆ จึงจะอยู่ร่วมกันได้
แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ทั้งสอง2คน กระทำมันสวนทางกลับสิ่งที่สังคมไทยเห็นว่าดีงามมาช้านานอย่างสิ้นเชิง หรืออาจเป็นเพราะเขาทั้งสองคนเห็นว่าตนอาวุโสกว่า มีตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่านั้นหรือครับ ถึงไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น รับฟังเหตุผลของผม ทุกคนที่อ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ มีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้างครับ เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้มันถุกหรือผิดกันแน่ ผิดที่ผมเป็นเด็กเยาวชนแต่ไปกล้าแสดงความคิดเห็นกับผู้ใหญ่ ผิดที่ผมไม่ประมาณฐานะของตนว่าเพิ่งเห็นโลกแค่19 ปี จะเอาอะไรมาเทียบกับผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมาค่อนชีวิต ผิดที่บางครั้งผมอาจจะรู้มากไป จนไปแทรกแซงเจ้าหน้าที่ หรืออย่างไร ผู้อ่านสามารถชีแนะได้ครับ ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตนของกระผมแท้จริงมันคือการก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่อาวุโสแก่ตน ผมก็พร้อมที่จะรับฟังเพราะผมเชื่อมั่นในสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" เราทุกคนต้องฟังเหตุผลซึงกันและกัน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร ที่ไหนก็ตาม ผมรู้สึกเศร้าใจมากที่มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพียงเพราะผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่ก่อเรื่อง กลับทำให้ข้าราชการที่ดีอีกหลายๆท่านต้องเสียหายไปด้วย
กรณีของผมอาจเป็นกรณีเล็กๆ กรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในสังคมของเรา กาลเวลาผ่านไปก็ทำให้มันหายไป แต่ในมุมที่ซ่อนอยู่มันก็สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีข้าราชการบางคน(อย่างน้อยก็2คน)ในสังคมที่ยังถือตัว ว่าตนมีตำแหน่งสูง สูงมากจนไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น โดยคนอื่นที่ว่านี้อาจไม่ใช่ผม แต่หากเป็นคุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย อื่นๆในสังคมที่เขาอาจไม่มีความรู้ในกฏหมายมากพอ หรือไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับราชการเลยอีกมากมายหลายคนในสังคมล่ะครับ เขาจะทำยังไง มันชอบแล้วหรือที่เขาเหล่านั้นอาจต้องสูญเสียสิทธิอันชอบธรรมบางอย่างไป เพราะความไร้เหตุผลของข้าราชการบางคน ผมว่าการที่ประเทศเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างงดงามได้แล้ว บางทีอาจต้องหันกลับมามองจุดเล็กๆที่ดูเหมือนไม่สำคัญบ้าง เปรียบเหมือนรอยร้าวของบ้านเล็กๆไม่มีความสำคัญ ก็อาจทำให้บ้านทั้งหลังพังลงมาได้
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ตรงนี้ครับที่ทำให้เด็กอายุ 19 ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตน ขอบคุณจริงๆ สุดท้ายนี้ผมอยากเห็นเหลือเกินว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนนั้น เขาจะฉุกคิดได้ซักนิดหรือไม่ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั่นมันถูกหรือผิดกันแน่ กับการที่เขาอยู่ในฐานะของ "ผู้ใหญ่"และ"ข้าราชการ" และแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไร...
"เด็ก" และ "ผู้ใหญ่"ที่เรียกตัวเองว่า"ข้าราชการ"
กรณีของผมรวมเป็นเงินประมาณ 6000 บาท เมื่อทำเรื่องขอเบิกจ่ายเงินจำนวนนี้ ทางเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงชื่อคุณทัศนีย์ ได้ติงมาว่าเงินนี้เบิกไม่ได้เพราะขัดกับคำสั่งของกรมปัญชีกลางกค 0422.3/ว 161 ข้อ2.1 ที่ว่าเงินที่ให้เบิกได้ไม่รวม ค่าเทียบโอน(ให้เหตุผลว่าเพราะมันมีคำว่าค่าเทียบโอน เลยไม่ได้) แต่ทางผมก็ได้ชีแจงไปแล้วว่า คำสั่งดังกล่าวนั้นถูกยกเลิกไปโดยคำสั่งกค 0422.3/ว 390 และฉบับ390ก็ถูกยกเลิกไปโดยฉบับกค0422.3/ว21 ลงวันที่13 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งต้องถือความตามฉบับปัจจุบันนี้ โดยเงินบำรุงการศึกษาที่ให้เบิกจ่ายได้ต้องเป็นเงินประเภทต่างๆ ที่สถานศึกษาของทางราชการเรียกเก็บตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากศึกษาธิการ หรือส่วนราชการเจ้าสังกัด หรือที่กำกับมหาวิทยาลัย..... ทั้งนี้ไม่รวมถึง ค่าปรับต่างๆ ค่าลงทะเบียนล่าช้า ค่ารีเกรด ค่าประกันอุบัติเหตุ... จากคำสั่งดังกล่าวจะเห็นว่าเงินจำนวนที่จะทำการขอเบิกนี้ ถือเป็นเงินที่สถานศึกษาเรียกเก็บโดยได้รับอนุมัติจากส่วนราชการที่กำกับมหาวิทยาลัย ทั้งไม่ได้เข้าข้อเว้นที่ระบุไว้ในตอนท้าย ตามหลักแล้วย่อมมีสิทธิที่จะเบิกได้ตามคำสั่งดังกล่าว
เมื่อทางผมได้ชี้แจงตามข้างต้นประกอบกับความเห็นของจนท.ของสตง.ที่ผมเคารพนับถือท่านได้ให้ความเห็นไว้ในแนวทางเดียวกัน ทั้งต่อมาตัวคุณทัศนีย์เองก็ได้อ้างว่าติดต่อประสานงานกับทางกรมบัญชีกลางแล้ว ว่าให้เบิกจ่ายได้ และรับปากว่าจะไปดำเนินการให้แล้วเสร็จในเร็ววัน
แต่ผู้ที่เข้ารับฟังครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงผม คุณพ่อ และคุณทัศนีย์เท่านั้น เนื่องจากทางท่านนายกเทศมนตรีเห็นว่าสมควรเรียกให้ปลัดขึ้นมารับฟังข้อเท็จจริงด้วย โดยปลัดเทศบาลได้มายังห้องดังกล่าวพร้อมกับเจ้าหน้าที่ คนหนึ่งซึ่งทราบในภายหลังว่าเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข(เข้ามาโดยไม่ได้มีการเรียกให้พบจากนายกฯแต่อย่างใด) ในตอนแรกทั้งสองก็สอบถามว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร เงินที่จะเบิกคืออะไร ยังไง อ้างสิทธิตรงไหน อะไรรับรอง ผมก็พยายามอธิบายตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นของกระทู้ แต่เมื่อผมอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน (จนถึงชัดเจนมาก)แล้ว ทั้งสองคนนั้นก็ยังดูเหมือนไม่ยอมรับฟังเหตุผลของผมแต่อย่างใด โดยตัวคนที่เป็นจนท.สาธารณสุขคือ นายเอนกสรร นั้นกล่าวว่าสิ่งที่ผมบอกนั้นไม่ถูกต้อง ขอดูเอกสารหน่อยสิว่าเอาอะไรมาอ้าง ผมก็ยื่นเอกสารเหล่านั้นไปให้ เมื่อรับเอกสารไปแล้วก็ทำเป็นบอกว่าเงินแบบนี้มันเบิกไม่ได้นะ เพราะมันขัดกับคำสั่งนี้ ขัดกับระเบียบของหน่วยงานผมก็ถามว่ามันขัดอะไร ตรงไหน อย่างไร ขอความกรุณาชี้แจงให้ฟังด้วย แต่ทางนั้นก็ยังยืนยันว่ามันผิด(เป็นที่น่าสังเกตว่า เอาแต่พุดว่ามันผิดแต่ ไม่ได้อ้างหลักอะไรเลย)อย่างเดียว ซ้ำพูดจาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงเหมือนจะข่มขู่ว่าต้องถือเอาตามที่เขาบอก ผมก็ชี้แจงว่ามันจะเป็นไปตามนั้นได้ยังไง ในเมื่อเงินจำนวนนี้มันไม่ได้ขัดต้องกับคำสั่งนี้แต่อย่างใด มันเป็นสิทธิที่สมควรจะได้
แต่ผมกับพ่อก็เข้าใจและเคารพในการใช้ดุลยพินิจของทุกฝ่าย หากว่าทางจนท.ที่เกี่ยวข้องกลัวว่าจะเป็นการทำผิดกฏหมาย เพียงเพราะมันไม่เคยมีกรณีเหมือนอย่างของผมมาก่อน ก็ขอให้ทำหนังสือไม่อนุญาตมา เพื่อให้มีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไปก็ย่อมได้ เพราะมันเป็นเรื่องทางปกครอง เป็นเรื่องของการที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และประชาชนพิพาทกัน หากทำตามกระบวนการแล้วย่อมทำให้สบายใจกันทั้ง2ฝ่าย ตัวนายเอนกสรรเองเมื่อได้ฟังก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงยืนกรานความคิดของตนเองอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะอธิบายยกเหตุผลยังไง ก็ไม่ยอมฟัง แต่กลับตอบโต้กลับคืนว่าอย่างรุนแรงเลยว่า แล้วแต่เลยแกก็เรียนกฏหมายมานี้หว่า กฏหมายเค้าไม่ได้ตีความเข้าข้างตนเองโว้ย เข้าไม่ได้บอกไว้ยังจะเอาอีก ผมก็พยายามสงบใจแล้วอธิบายอย่างชัดเจนให้ฟังเหมือนอย่างที่บอกก่อนหน้านี้หลายรอบมากๆ แต่นายเอนกคนนี้ก็ยังไม่ยอมเข้าใจ ทั้งยังพูดใส่อารมณ์กลับมาว่า เค้าก็เรียนกฏหมายมาเหมือนกัน ไม่ต้องมาอธิบายให้ฟังก็ได้ และก็เดินหนีกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้องทันที ทั้งยังทิ้งท้ายไว้อีกต่างหากว่า ถ้าเรียนเก่งจริงทำไมไม่ไปเรียนรัฐศาสตร์เลยล่ะ ส่วนอีกคนคือนายวนกรตัวปลัดก็มาบอกอีกครั้งว่าอ้างกฏหมาย ข้อไหน อะไร ยังไงอีก ผมก็สงสัยว่าที่ผมอธิบายไปทั้งหมดนี่มันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอ ผมอธิบายให้ปลัดคนนี้ฟังแล้ว แทนที่จะยอมรับฟังสิ่งที่ผมพูด ก็ยังจะพูดไปในทางเดียวกันกับนายเอนกสรรอีกคนหนึ่ง เหตุผลที่ผมกล่าวให้ฟังก็ไม่รับฟัง ทำท่าไม่พอใจตึงตังออกจากห้องไปอีกคน
จากเหตุการณ์ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ มันทำให้ผมได้ทราบอะไรหลายๆอย่าง หลายอย่างที่บอกได้ว่านี่หรือคือการทำตัวของผู้ใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าข้าราชการท้องถิ่นของแผ่นดิน การกระทำที่ทั้งเป็นการแสดงกิริยาทีและคำพูดไม่เหมาะสมต่อหน้าประชาชนและผู้บังคับบัญชาของตน ก็จริงที่ผมอาจเป็นเพียงเยาวชนคนหนึ่งที่เกิดมาเห็นโลกได้เพียง 19 ปี แต่นั่นมันหมายความว่าเหตุผมของผมมันไม่มีค่าอย่างนั้นหรือ เหตุผลมันไม่มีค่ามากพอที่จะรับฟังได้? ตัวของผมเองและเชื่อว่าคนในสังคมคงเคยได้รับการปลูดฝังมาอยู่เสมอว่า คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน เราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ทุกคนต้องรับฟังความคิดเห็น เหตุผลของคนอื่นๆ จึงจะอยู่ร่วมกันได้
แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ทั้งสอง2คน กระทำมันสวนทางกลับสิ่งที่สังคมไทยเห็นว่าดีงามมาช้านานอย่างสิ้นเชิง หรืออาจเป็นเพราะเขาทั้งสองคนเห็นว่าตนอาวุโสกว่า มีตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่านั้นหรือครับ ถึงไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น รับฟังเหตุผลของผม ทุกคนที่อ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ มีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้างครับ เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้มันถุกหรือผิดกันแน่ ผิดที่ผมเป็นเด็กเยาวชนแต่ไปกล้าแสดงความคิดเห็นกับผู้ใหญ่ ผิดที่ผมไม่ประมาณฐานะของตนว่าเพิ่งเห็นโลกแค่19 ปี จะเอาอะไรมาเทียบกับผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมาค่อนชีวิต ผิดที่บางครั้งผมอาจจะรู้มากไป จนไปแทรกแซงเจ้าหน้าที่ หรืออย่างไร ผู้อ่านสามารถชีแนะได้ครับ ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตนของกระผมแท้จริงมันคือการก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่อาวุโสแก่ตน ผมก็พร้อมที่จะรับฟังเพราะผมเชื่อมั่นในสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" เราทุกคนต้องฟังเหตุผลซึงกันและกัน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร ที่ไหนก็ตาม ผมรู้สึกเศร้าใจมากที่มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพียงเพราะผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่ก่อเรื่อง กลับทำให้ข้าราชการที่ดีอีกหลายๆท่านต้องเสียหายไปด้วย
กรณีของผมอาจเป็นกรณีเล็กๆ กรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในสังคมของเรา กาลเวลาผ่านไปก็ทำให้มันหายไป แต่ในมุมที่ซ่อนอยู่มันก็สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีข้าราชการบางคน(อย่างน้อยก็2คน)ในสังคมที่ยังถือตัว ว่าตนมีตำแหน่งสูง สูงมากจนไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น โดยคนอื่นที่ว่านี้อาจไม่ใช่ผม แต่หากเป็นคุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย อื่นๆในสังคมที่เขาอาจไม่มีความรู้ในกฏหมายมากพอ หรือไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับราชการเลยอีกมากมายหลายคนในสังคมล่ะครับ เขาจะทำยังไง มันชอบแล้วหรือที่เขาเหล่านั้นอาจต้องสูญเสียสิทธิอันชอบธรรมบางอย่างไป เพราะความไร้เหตุผลของข้าราชการบางคน ผมว่าการที่ประเทศเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างงดงามได้แล้ว บางทีอาจต้องหันกลับมามองจุดเล็กๆที่ดูเหมือนไม่สำคัญบ้าง เปรียบเหมือนรอยร้าวของบ้านเล็กๆไม่มีความสำคัญ ก็อาจทำให้บ้านทั้งหลังพังลงมาได้
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ตรงนี้ครับที่ทำให้เด็กอายุ 19 ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตน ขอบคุณจริงๆ สุดท้ายนี้ผมอยากเห็นเหลือเกินว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนนั้น เขาจะฉุกคิดได้ซักนิดหรือไม่ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั่นมันถูกหรือผิดกันแน่ กับการที่เขาอยู่ในฐานะของ "ผู้ใหญ่"และ"ข้าราชการ" และแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไร...