เรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายนั้น ส่วนมากผู้ที่ยังมีความรู้ในพุทธศาสนาน้อยจะเข้าใจหรือเชื่อว่า จิต หรือ วิญญาณ หรือบางคนก็บอกว่าเป็น วิญญาณธาตุ หรือกายทิพย์ หรือกายธรรม หรือเจตภูติ หรืออัตตาน้อย หรือผี ฯลฯ อะไรไปเรื่อยเปื่อยว่าเป็นตัวตน (อัตตา) ที่เป็นอมตะ ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้วเพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้ ซึ่งนี่ก็ตรงกับหลักของศาสนาพรามณ์ที่สอนว่าจิตของเรานี้เป็นอัตตา ที่หมายถึง ตนเอง หรือตัวตนที่แท้จริง ตัวตนอมตะ
แต่ผู้ที่พอจะเข้าใจหลักอนัตตาของพุทธศาสนาอยู่บ้างก็เข้าใจว่า ความเชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายไปเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นความเห็นผิดอย่างเต็มที่ เพราะเป็นความเห็นว่ามีอัตตาหรือตัวตนอมตะ ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนว่าจิตเป็น อนัตตา (คือเป็นสิ่งปรุงแต่ง จึงไม่ใช่อัตตา) อย่างที่มีผู้โต้แย้งอาตมาว่า "การเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ได้มีอัตตาไปเกิดนี่ครับ การเกิดก็เกิดจากความไม่รู้แล้วก็ปรุงแต่งไงครับ"
ความเชื่อว่า อวิชชา (ความไม่รู้ หรือความรู้ผิดว่ามีตัวเรา) ปรุงแต่งให้มีการเกิดใหม่ทางร่างกายนี้ เป็นการเลี่ยงที่จะไม่ให้ตรงกับความเชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายเพื่อไปเกิดใหม่ที่เป็นการเกิดใหม่โดยตรง ซึ่งแม้จะไม่เป็นการเกิดใหม่โดยตรง แต่มันก็ยังจัดว่ามีการทำให้เกิดใหม่โดยอ้อม เพราะมันเท่ากับยังมีตัวตนเกิดขึ้นมาใหม่ที่เป็นตัวตนของตัวตนเก่านั่นเอง เหมือนกับการฟอกเงินที่เอาเงินผิดกฏหมายมาฟอกให้เป็นเงินถูกกฏหมาย ซึ่งแท้จริงมันก็ยังผิดกฏหมายอยู่นั่นเอง ลองคิดดูว่า การที่มีตัวเราไปเกิดใหม่ตรงๆ กับการที่เราตายที่นี่แล้วมีตัวเราเกิดขึ้นมาใหม่ได้เหมือนเดิมอีก มันจะต่างตรงไหน? เพราะยังไงๆมันก็ยังมีตัวเราเกิดขึ้นมาใหม่อยู่อีกนั่นเอง ดังนั้นความเชื่อเช่นนี้ก็ยังเป็นความเชื่อที่ผิด ที่เป็นความเห็นผิดพวกสัสสตทิฎฐิ -ความเห็นว่ามีการสืบต่อหรือความเห็นว่ามีสิ่งที่เที่ยงหรือถาวรหรืออมตะ
จะเป็นไปได้อย่างไรที่อวิชชาจะปรุงแต่งให้เกิดตัวตนขึ้นมาในร่างกายใหม่ได้ สมมติว่าถ้ามันทำได้ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาว่า เมื่อขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วจิตมีอวิชชาอยู่ มันก็น่าจะปรุงแต่งให้เกิดตัวตนขึ้นมาได้อีกอย่างนับไม่ถ้วน ถ้าเป็นอย่างนี้มันแสดงว่า มันมีเราที่เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีกมากมายทั้งๆที่เรานี้ยังไม่ตาย (น่าคิดใหม?)
คำสอนที่ว่า อวิชชาปรุงแต่งให้เกิดสังขารและวิญญาณนั้น เป็นคำสอนที่มีอยู่ในปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นการอธิบายถึงขณะที่จิตของเรากำลังเกิดความทุกข์อยู่ ว่ามันมีอาการโดยละเอียดอย่างไรบ้าง (ถ้าใครยังไม่เข้าใจเรื่องปฏิขขสมุปบาท ก็ลองไปศึกษาดูที่
http://www.whatami.net/ ) แต่ก็มีผู้ที่ไม่เข้าใจมาตีความหมายว่าเป็นการอธิบายถึงเรื่องการเวียนว่ายตาเกิดทางร่างกายไปเสีย อย่างที่เชื่อผิดๆกันอยู่โดยมากในปัจจุบัน
อวิชชานั้น หมายถึง ไม่รู้ความจริงที่ควรจะรู้ จึงได้แปลว่าความไม่รู้ แต่อวิชชามันก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งที่รู้ผิดไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ และเป็นความรู้ที่มาครอบงำจิตแล้วทำให้จิตเกิดการปรุงแต่งอย่างลึกซึ้งและรวดเร็ว จนเกิดเป็นความรู้สึกว่ามีตัวเราและความยึดถือว่ามีตัวเรา พร้อมทั้งความทุกข์ขึ้นมา ซึ่งอวิชชาก็ทำได้เพียงเท่านี้ คือปรุงแต่งจิตให้เกิดความรู้สึกและยึดถือว่ามีตัวเราพร้อมความทุกข์ขึ้นมาชั่วคราวภายในจิตเท่านั้น มันไม่ได้จะมีอำนาจวิเศษอะไรที่จะไปปรุงแต่งให้เกิดตัวเราใหม่ขึ้นมาในร่างกายของทารกได้อย่างที่เชื่อกันอยู่
จึงขอให้ชาวพุทธได้พยายามศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่มีความเข้าใจผิดต่อคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับหายไปของขันธ์ ๕ (คือร่างกายกับจิตใจ) ของเราเอง โดยใช้เหตุผลตามที่เป็นอยู่จริง ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญา ของร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะได้นำความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาในร่างกายและจิตใจของเราเองอย่างจริงจัง (คือด้วยสมาธิ) จนจิตเกิดความเห็นแจ้งว่า "แท้จริงมันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" อันจะทำให้ความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา พร้อมทั้งความทุกข์ของจิตใจ (เช่นความเศร้าโศก ความเสียใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น) หายไป (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วก็จะเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องเชื่อใคร
เป็นไปไม่ได้ที่อวิชชาจะปรุงแต่งให้มีการเกิดใหม่ทางร่างกายได้
แต่ผู้ที่พอจะเข้าใจหลักอนัตตาของพุทธศาสนาอยู่บ้างก็เข้าใจว่า ความเชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายไปเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นความเห็นผิดอย่างเต็มที่ เพราะเป็นความเห็นว่ามีอัตตาหรือตัวตนอมตะ ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนว่าจิตเป็น อนัตตา (คือเป็นสิ่งปรุงแต่ง จึงไม่ใช่อัตตา) อย่างที่มีผู้โต้แย้งอาตมาว่า "การเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ได้มีอัตตาไปเกิดนี่ครับ การเกิดก็เกิดจากความไม่รู้แล้วก็ปรุงแต่งไงครับ"
ความเชื่อว่า อวิชชา (ความไม่รู้ หรือความรู้ผิดว่ามีตัวเรา) ปรุงแต่งให้มีการเกิดใหม่ทางร่างกายนี้ เป็นการเลี่ยงที่จะไม่ให้ตรงกับความเชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายเพื่อไปเกิดใหม่ที่เป็นการเกิดใหม่โดยตรง ซึ่งแม้จะไม่เป็นการเกิดใหม่โดยตรง แต่มันก็ยังจัดว่ามีการทำให้เกิดใหม่โดยอ้อม เพราะมันเท่ากับยังมีตัวตนเกิดขึ้นมาใหม่ที่เป็นตัวตนของตัวตนเก่านั่นเอง เหมือนกับการฟอกเงินที่เอาเงินผิดกฏหมายมาฟอกให้เป็นเงินถูกกฏหมาย ซึ่งแท้จริงมันก็ยังผิดกฏหมายอยู่นั่นเอง ลองคิดดูว่า การที่มีตัวเราไปเกิดใหม่ตรงๆ กับการที่เราตายที่นี่แล้วมีตัวเราเกิดขึ้นมาใหม่ได้เหมือนเดิมอีก มันจะต่างตรงไหน? เพราะยังไงๆมันก็ยังมีตัวเราเกิดขึ้นมาใหม่อยู่อีกนั่นเอง ดังนั้นความเชื่อเช่นนี้ก็ยังเป็นความเชื่อที่ผิด ที่เป็นความเห็นผิดพวกสัสสตทิฎฐิ -ความเห็นว่ามีการสืบต่อหรือความเห็นว่ามีสิ่งที่เที่ยงหรือถาวรหรืออมตะ
จะเป็นไปได้อย่างไรที่อวิชชาจะปรุงแต่งให้เกิดตัวตนขึ้นมาในร่างกายใหม่ได้ สมมติว่าถ้ามันทำได้ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาว่า เมื่อขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วจิตมีอวิชชาอยู่ มันก็น่าจะปรุงแต่งให้เกิดตัวตนขึ้นมาได้อีกอย่างนับไม่ถ้วน ถ้าเป็นอย่างนี้มันแสดงว่า มันมีเราที่เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีกมากมายทั้งๆที่เรานี้ยังไม่ตาย (น่าคิดใหม?)
คำสอนที่ว่า อวิชชาปรุงแต่งให้เกิดสังขารและวิญญาณนั้น เป็นคำสอนที่มีอยู่ในปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นการอธิบายถึงขณะที่จิตของเรากำลังเกิดความทุกข์อยู่ ว่ามันมีอาการโดยละเอียดอย่างไรบ้าง (ถ้าใครยังไม่เข้าใจเรื่องปฏิขขสมุปบาท ก็ลองไปศึกษาดูที่ http://www.whatami.net/ ) แต่ก็มีผู้ที่ไม่เข้าใจมาตีความหมายว่าเป็นการอธิบายถึงเรื่องการเวียนว่ายตาเกิดทางร่างกายไปเสีย อย่างที่เชื่อผิดๆกันอยู่โดยมากในปัจจุบัน
อวิชชานั้น หมายถึง ไม่รู้ความจริงที่ควรจะรู้ จึงได้แปลว่าความไม่รู้ แต่อวิชชามันก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งที่รู้ผิดไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ และเป็นความรู้ที่มาครอบงำจิตแล้วทำให้จิตเกิดการปรุงแต่งอย่างลึกซึ้งและรวดเร็ว จนเกิดเป็นความรู้สึกว่ามีตัวเราและความยึดถือว่ามีตัวเรา พร้อมทั้งความทุกข์ขึ้นมา ซึ่งอวิชชาก็ทำได้เพียงเท่านี้ คือปรุงแต่งจิตให้เกิดความรู้สึกและยึดถือว่ามีตัวเราพร้อมความทุกข์ขึ้นมาชั่วคราวภายในจิตเท่านั้น มันไม่ได้จะมีอำนาจวิเศษอะไรที่จะไปปรุงแต่งให้เกิดตัวเราใหม่ขึ้นมาในร่างกายของทารกได้อย่างที่เชื่อกันอยู่
จึงขอให้ชาวพุทธได้พยายามศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่มีความเข้าใจผิดต่อคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับหายไปของขันธ์ ๕ (คือร่างกายกับจิตใจ) ของเราเอง โดยใช้เหตุผลตามที่เป็นอยู่จริง ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญา ของร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะได้นำความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาในร่างกายและจิตใจของเราเองอย่างจริงจัง (คือด้วยสมาธิ) จนจิตเกิดความเห็นแจ้งว่า "แท้จริงมันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" อันจะทำให้ความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา พร้อมทั้งความทุกข์ของจิตใจ (เช่นความเศร้าโศก ความเสียใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น) หายไป (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วก็จะเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องเชื่อใคร