:: กระทู้ดาราศาสตร์ :: รวมมิตร วัตถุ และ ปรากฏการณ์อวกาศพื้นฐานที่น่าสนใจ

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ  ผม Partita ขอเสนอเนื้อหาทางดาราศาสตร์ส่งท้ายปี 2557  เรื่อง  "รวมมิตร วัตถุ และ ปรากฏการณ์อวกาศพื้นฐานที่น่าสนใจ " ครับ
เนื้อหาในกระทู้นี้ไม่ได้เป็นเนื้อหาใหม่เลย เพราะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยในชื่อเรียกเหล่านี้อยู่แล้ว  แต่ผมอยากจะนำมารวบรวม
ให้อยู่ในกระทู้เดียวเบ็ดเสร็จ และจะเพิ่มความน่าสนใจ รูปสวย ๆ ของสิ่งเหล่านี้ไปด้วยครับ  เนื้อหาทั้งหมดจะไม่กล่าวถึง
สมการ - คณิตศาสตร์ หรือทฤษฏีฟิสิกส์ที่ซับซ้อน แต่จะเน้นไปที่การอธิบายง่าย ๆ พร้อมภาพประกอบครับ
เนื้อหาทั้งหมดผมนำมาจากกระทู้เก่าที่ผมเคยตั้ง + เนื้อหาที่ผมเคยตอบไปครับ  หากซ้ำซ้อนและผ่านตาบางท่านมาแล้ว ผมก็ขออภัยด้วย

การเรียงเนื้อหาในกระทู้นี้ จะเป็นการเรียงจากจุดกำเนิดดาวฤกษ์ และพัฒนาไปตามชีวิตของเธอ
จนกระทั่งกลายเป็นวัตถุอวกาศ และ ปรากฏการณ์อวกาศแบบต่าง ๆ ..... เชิญติดตามอ่านครับ


ดาวฤกษ์ คือ วัตถุอวกาศที่มีมากที่สุดในเอกภพ  และเป็นองค์ประกอบหลักของ Galaxy ทุกประเภท
ดาวฤกษ์กำเนิดมาจากกลุ่มแก้ส Hydrogen และมวลสารอื่น ๆ ในอาณาบริเวณหนึ่งของ Nebula
โดยเมื่ออาณาบริเวณหนึ่งของ Nebula ที่เรียกว่า H-ii region เกิดการถูกกระตุ้นจาก Supernova
หรือเกิดการรวมตัวกันด้วยแรงโน้มถ่วง ก็จะรวมตัวกันกลายเป็นดาวฤกษ์ก่อกำเนิด (Protostar) ขึ้นมาครับ
การกำเนิดของ Protostar นี้  จะเป็นลักษณะการกำเนิดในแบบการหมุนวนของกลุ่ม gas ร้อนจัด
และเป็นกลุ่ม gas ที่มีโมเมนตัมสูง ทำให้รูปร่างการกำเนิด Protostar นี้เป็น "จานมวลสาร" หมุนวน
ไปรอบ ๆ แกนกลางที่กำลังเกิด Nuclear Fusion ครับ

ภาพ model ของ Protostar  แสดงถึงจานมวลสารแต่ดั้งเดิม
และอนุภาคพลังงานสูงเรียกว่า Protostellar Wind ซึ่งจะรุนแรงมาก
จนปรากฏเป็นลำพุ่งขึ้นจาก protostar ที่กำลังยุบตัวอยู่ครับ


ตัวอย่างภาพของ ProtoStar (ดาวฤกษ์ที่กำลังกำเนิด) ที่มีชื่อเสียง
ชื่อดาวฤกษ์ HH-30 ที่กำลังก่อกำเนิดใน Orion Nebula (450 ปีแสงจากโลก)
จะเห็นลำ gas และ particle สีแดง ๆ ฉีดออกจากขั้วของดาวฤกษ์ที่กำลังจะเกิด
และ Protoplanetary disk คือวงสีเขียวรอบ ๆ ดาวฤกษ์


อันนี้ก็เป็นโครงสร้างของ ProtoStar ที่มี Protoplanetary disk หลากหลายแบบครับ
ทั้งหมดเป็นภาพจริงจากกล้องโทรทรรศน์ Hubble



ดาวฤกษ์ในหัวข้อที่ 1. นั้น  คือดาวฤกษ์ในช่วงชีวิต "ลำดับหลัก" ซึ่งจะดำเนินชีวิตในลำดับหลักนี้ไปนานหลายพันล้านปี
และเมื่อพ้นจากลำดับหลักนี้ไปแล้ว ดาวฤกษ์ก็จะเข้าสู่ช่วง "ชราภาพ" มีการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างมากครับ  เพราะเชื้อเพลิง
Hydrogen ได้หมดลงมากจนเหลือน้อย ปฏิกิริยาฟิวชันที่แก่นดาวจะหยุด และเปลือกไฮโดรเจนที่ห่อหุ้มแก่นฮีเลียม
จะจุดฟิวชันแทน และดาวจะเริ่มขยายตัวออก (photosphere ขยายตัวพองออก) จากการที่แรงโน้มถ่วงของดาวลดลงครับ
ภาวะนี้ เรียกว่าดาวฤกษ์เข้าสู่ช่วง "ยักษ์แดง"

ภาพแสดงพัฒนาการของดาวฤกษ์


ภาพแสดงดวงอาทิตย์เมื่อเข้าสู่ภาวะยักษ์แดง มีการคำนวนจาก stellar model
พบว่าในอีก 5,120 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะเข้าสู่สภาวะ red giant อย่างสมบูรณ์ โดยจะมีขนาดเพิ่มขึ้น 256 เท่า
แต่มวล (Mass) จะลดลงเหลือ 80% ของมวลปัจจุบัน และแรงโน้มถ่วงก็จะลดลงบ้างตามมวลที่สูญเสียไป


ตัวอย่างดาวยักษ์แดงที่รู้จักกันดี คือ ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse) หรืออีกชื่อว่า Alpha Orionis เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวนายพราน
ดวงบนซ้ายสุด (ไหล่ขวานายพราน) ที่เรารู้จักกันดีครับ ... เป็นดาวประเภท Red supergiant star มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
1,000 เท่า ของดวงอาทิตย์ อยู่ไกลระยะ 640 ปีแสงในทิศทางกลุ่มดาวนายพราน (Constellation Orion)
และเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะที่เราสามารถวัดขนาดของมันได้สำเร็จในปี 1920 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรก
ที่เราสามารถถ่ายภาพชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย  สีของ Betelgeuse เปลี่ยนไปเกิดจากอุณหภูมิลดลงที่ชั้นนอกของดาว
ในขณะที่ขยายขนาดออกไป ซึ่งบางครั้งจะไม่มีเสถียรภาพดังนั้นอุณหภูมิ ขนาด และความสว่างจึงไม่คงที่
Betelgeuse มีการเปลี่ยนแปลงความสว่าง จากสว่างที่สุด - จางลง แล้วกลับมาสว่างที่สุดอีกครั้งทุก ๆ 5.8 ปี

ขนาดของ Betelgeuse เทียบกับขนาดอื่น ๆ


ภาพแสดง Betelgeuse เป็นจุดสีแดงชัดเจนในตำแหน่งหัวไหล่ขวานายพราน




จากช่วงสุดท้ายจากสภาพยักษ์แดงในหัวข้อที่ 2. นั้น  ตัวดาวฤกษ์เองจะมีการปล่อยมวลสารออกไปรอบ ๆ ตัวเอง
มวลสารที่สลัดออกมานี้เรียกว่า Planetary Nebula (เนบิวลาดาวเคราะห์)  และในที่สุดจะเหลือเพียง
แกนกลางขนาดเล็กที่ไม่มีความสามารถจะยุบตัว หรือ เกิด Fusion ได้อีก เรียกว่า white dwarf (ดาวแคระขาว)
white dwarf นี้ จะมีความหนาแน่นสูงมาก ๆ รองจากดาวนิวตรอนเลยทีเดียว เพราะธาตุที่มีอยู่ใน white dwarf
ไม่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยา Nuclear fusion ได้อีกต่อไป ดังนั้นดาวแคระขาวจึงไม่มีแหล่งพลังงานจากปฏิกิริยา Nuclear fusion
ที่จะสร้างความร้อนเพียงพอที่จะต้านการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วงได้  ทำให้ดาวมีความหนาแน่นสูงมากครับ
white dwarf จะมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลกถึง 100,000 เท่า !!!

นี่คือขนาดของดวงอาทิตย์ในอนาคตที่เป็น White dwarf จะเห็นว่าใหญ่กว่าโลกนิดเดียวครับ
เพราะมวลสารกระจายตัวออกไปหมดในช่วงยักษ์แดง เหลือแกนกลางเพียงเท่านี้


ปัจจุบันจะมี White dwarf ยุคโบราณ ที่เกิดจากดาวฤกษ์หมดอายุปะปนอยู่จำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วน
แต่ไม่สามารถมองเห็นจากโลกได้ เพราะมีขนาดเล็กมาก และแสงน้อย  White dwarf ที่เรารู้จักกันดี
คือ Sirius B  ตามภาพนี้จะเห็นว่า Sirius A สว่างจ้า และ White dwarf Sirius B เป็นจุดจาง ๆ ด้านซ้ายล่างครับ



จากหัวข้อ 3. ข้างบนนี้ ที่กล่าวไปว่าดาวฤกษ์หมดอายุขัยจะกลายไปเป็น White dwarf นั้น
หากว่าดาวฤกษ์ดวงนั้นมีมมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 8 เท่า  การจบชีวิตของดาวดวงนั้นจะไม่ใช่แบบ White dwarf ครับ
แต่จะระเบิดกลายเป็น Supernova ครับ

Supernova แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ Type 1 และ 2 ต่างกันที่กลไกการเกิด ดังนี้


เกิดจากดาวฤกษ์คู่หนึ่งในระบบ Binary stars คือมีดาวแคระขาวที่มวลประมาณไม่เกิน 1.4 เท่าของดวงอาทิตย์
และดาวฤกษ์ขนาดใหญ่อีกดวงหนึ่ง ต่อมาดวงที่ใหญ่กว่าได้พัฒนาอายุขัยไปเป็นดาวยักษ์แดง (Red gaint)
และเนื่องจากดาวทั้งสองโคจรรอบกันในระยะใกล้ระดับหนึ่ง จึงเกิดการถ่ายเทมวล (Mass transfer)
จากดาวยักษ์แดงไปยังดาวแคระขาวจนเกินมวลวิกฤต และดาวแคระขาวก็ระเบิดเป็น Supernova


Supernova type 1 นี้ มีตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคตครับ
มันคือระบบดาวคู่ IK Pegasi (HR 8210) เป็นระบบดาวคู่อยู่ในทิศทางกลุ่มดาวม้าบิน ในระยะ 150 ปีแสง
ระบบดาวคู่นี้ประกอบด้วย IK Pegasi A และ B  โดย IK Pegasi A เป็นดาวฤกษ์ที่ยังอยู่ในลำดับหลัก
โคจรร่วมไปกับดาวแคระขาว IK Pegasi B ในระยะห่างเพียง 31 ล้านกิโลเมตรเท่านั้น
ซึ่งน้อยกว่าวงโคจรของดาวพุธรอบดวงอาทิตย์เสียอีกครับ

  ความน่ากลัวของระบบนี้ คือ การที่ดาวทั้ง 2 โคจรรอบกันใกล้มาก หาก IK Pegasi A พัฒนาไปเป็นดาวยักษ์แดงเมื่อใด
ขนาดที่พองตัวของมันจะทำให้เกิดการถ่ายเทมวลไปยัง IK Pegasi B ซึ่งจะทำให้ดาวแคระขาว IK Pegasi B
มีมวลเกิน Chandrasekar limit (ขีดจำกัดจันทรเศขร‎) ทำให้ดาวแคระขาว IK Pegasi B เกิดระเบิดเป็น Supernova ชนิด 1 ได้ครับ
จาก Stellar models ที่นักดาราศาสตร์ได้คำนวนใว้แสดงผลว่า อีกประมาณ 2 พันล้านปีจากนี้
จะเกิด supernova ชนิด 1a กับระบบดาวนี้แน่นอน (จะกังวลดีใหมเนี่ย)

ภาพจินตนาการดาว IK Pegasi A และ B เทียบกับขนาดดวงอาทิตย์ (ขนาดจริง)
จากภาพนี้  IK Pegasi A มีมวลเป็น 1.67 เท่าของดวงอาทิตย์ แต่ดาวแคระขาว  IK Pegasi B นั้น
ขนาดเล็กนิดเดียวเทียบกับดวงอาทิตย์ แต่มีมวลถึง 1.15 เท่าของดวงอาทิตย์ทีเดียว !!



กรณีนี้เกิดขึ้นได้บ่อยกว่า type 1 ครับ เกิดจากดาวฤกษ์ที่มีมวลมากเกิน 8 เท่าของดวงอาทิตย์
พัฒนาอายุขัยและใช้เชื้อเพลิงพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันจนหมด จึงเกิดการยุบตัวเป็นขั้น ๆ
รายละเอียดตามภาพล่างนี้ครับ


ในแกแลคซี่อื่นไกลโพ้น เราก็สามารถตรวจพบ Supernova ได้เช่นกัน
เพราะความสว่างของมันโดดเด่นสามารถเห็นและแยกแยะได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศ
ในภาพนี้คือ Supernova ในแกแลคซี่อื่นครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่