ปรากฏการณ์ “ฮีโร่ช้างศึก” ที่คนไทยทุกพื้นที่ยินดีปรีดากับ “ชัยชนะ”
ในศึกฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014”
ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อค่ำวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา
แม้จะพ่ายแพ้ให้ “เสือเหลือง-มาเลเซีย” 2-3
แต่สกอร์รวม 2 นัด “ช้างศึกไทย” ชนะ 4-3
จึงครองแชมป์อาเซียนนี้เป็นสมัยที่ 4
หลังจากห่างหายมาเป็นเวลานาน 12 ปี
ฟอร์มการเล่นของนักเตะชุดนี้ ทำให้แฟนบอลชาวไทย “ชื่นชอบ” เพราะมีการครอบครองบอล
ต่อบอลกันเล่นเกมรุก แบบสะใจและทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลาในการเฝ้าชม
เมื่อบวกกับ
“ความหล่อ” ของนักเตะบางคน จึงเป็นจุดขาย
ทำให้แฟนบอลโดยเฉพาะสาวๆ “หลงรัก” เพิ่มมากขึ้นอักโข
บทพิสูจน์ของฟอร์มการเล่นใน “ขุนพลช้างศึกชุดนี้” คือสิ่งตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่า
“ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
เมื่อกรรมการยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลา
นั่นหมายถึง “โอกาส...ยังมีเหลืออยู่”
ใคร จะไปคิดว่า จากได้ชัยชนะนัดแรก 2-0 สบายๆ มีประตูตุนไว้แล้ว
แต่เมื่อกลับไปเล่นที่สนามบูกิต จาลิล ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพียงครึ่งแรกก็โดนไป 2-0 เจ๊ากัน
พอเริ่มครึ่งหลังไม่นาน ก็โดนอีก 1 ลูก รวมแล้ว ไทยตามหลังมาเลย์ และมีแนวโน้มว่า จะแพ้พ่าย!!!
แต่เมื่อ “ขุนพลช้างศึกชุดนี้” มุ่งมั่นและมีความพยายาม...2 ประตูที่ได้มา
จึงคุ้มค่า...สมการรอคอยของแฟนบอลชาวไทย
เหนือสิ่งอื่นใด
ภายหลังการแข่งขันจบลง “ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” กุนซือใหญ่ของทีม เปิดเผยว่า
ช่วง พักครึ่งแรก ราชเลขาฯในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้โทรศัพท์เข้ามือถือของนายเกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีม
โดยพระองค์ได้พระราชทานกำลังใจให้นักเตะทุกคน ให้พยายามเล่นเต็มที่
ทำให้ครึ่งหลัง นักฟุตบอลทีมชาติไทยมีกำลังใจเล่น จนสามารถพลิกสถานการณ์จากตกเป็น “รอง”
กลับมาคว้าชัยชนะได้สำเร็จ
เมื่อ กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด...จึงไม่แปลกหากจะมีประชาชนคนไทย
รอต้อนรับตามถนน สองข้างทาง ที่ “ขุนพลช้างศึก” แห่ถ้วยแชมป์
จากถนนวิภาวดีรังสิตไปยังห้าแยกลาดพร้าว แล้วตัดเข้าถนนพหลโยธิน
ผ่านสะพานควาย ตรงไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นวน 1 รอบ มุ่งไปตามถนนพญาไท
ผ่านแยกราชเทวี เลี้ยวซ้ายผ่านสยามพารากอน เข้าสู่สยามสแควร์ มุ่งไปหน้าเซ็นทรัลเวิลด์
แล้ววนกลับตรงศาลพระพรหม บริเวณแยกราชประสงค์ ผ่านรพ.ตำรวจ
ไปยังห้างมาบุญครอง แล้วไปยังสนามศุภชลาศัย
ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการแห่ถ้วยแชมป์เฉลิมฉลอง...
ซึ่งทำให้รถราติดขัดทั่ว กรุงฯ
แต่ “คนไทย” ก็มิได้บ่นหรือตำหนิ...
ยิ่งได้เห็นขบวนนักเตะ หลายคนยังเปิดประตูรถออกมาร่วมแสดงความยินดี
ทำให้เห็นปรากฏการณ์ชัดเจนว่า..นี่คืออีกหนึ่งรายการ...
ในการคืนความสุขให้กับประชาชนคนไทย...ที่ปฏิเสธไม่ได้!!!
ก่อน หน้านี้...หากยังจำกันได้...สารพัดม็อบหลากหลายสีที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
และมีการเดินขบวนตามเส้นทางต่างๆ ซึ่งมีทั้งคนสนับสนุนและคัดค้าน
อีกทั้งยังมีเสียงบ่นตามมาเป็นระยะๆ
แต่กับ “ปรากฏการณ์ช้างศึกคึกคัก” ในครานี้...กลับแตกต่างอย่างลิบลับ
หลายคนเห็นฟอร์มการเล่น โดยเฉพาะช็อตการต่อบอลขั้นเทพในนัดชิงชนะเลิศหนแรกที่เมืองไทย
ที่แม้จะไม่ได้ประตู แต่ทำให้เห็นว่า การเล่นเป็นทีมนั้น หากทำกันจริงๆ ก็ทำได้...
ถึงกับ...มองไปไกลถึงการสนับสนุนให้ “ทีมช้างศึกชุดนี้” ต่อยอดไกลไปให้ไกลถึง “ฟุตบอลโลก”
ที่เป็นความหวังของทุกคนเฝ้ารอคอย
เหนือสิ่งอื่นใด หากจะทำให้ “ความหวังนี้” เกิด ผลสำเร็จ
ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะปัจจัยการเงินและการวางแผนกำหนดเกมการแข่งขันภายในประเทศ
ที่ต้องเอื้ออำนวยต่อการสร้างนักเตะอย่างถาวร
ไม่ใช่การวิ่งรอกแข่งขันแบบตามมีตามเกิด และถี่มากเกินไป จนทำให้นักเตะกรอบ
แต่......เมื่อมองย้อนกลับมาดูปัญหาภายในของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยแล้ว
ดูทีท่าว่าจะยาก!!!
เพราะความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทำให้ขยายวงลุกลามไปจนถึง “ตัวนักเตะ” ที่มีความขัดแย้ง
ทั้งที่ “หลายคน” เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนก็ตาม
หากคิดไกล...ฝันจะไปให้ถึงบอลโลก...
"ควรเริ่มที่บ้านตัวเองก่อน"
ปัด กวาดบ้านในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
โดย “ทุกฝ่าย” ต้องเปิดใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง
ที่จะมีทั้งคนถูกใจและผิดหวัง...
แต่มุ่งไปในเป้าหมายเดียวกันคือ การพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก
เมื่อตัดอคติและผลประโยชน์ส่วนตัวลงได้...ผลลัพธ์ในสิ่งที่หลายคนวาดหวัง....
อาจได้เห็นกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า...นี้
เพราะที่ผ่านมา “ผู้ทรงอิทธิพล” ที่ มีบารมีเกรงขาม...
และฝังรากลึกในสมาคมฟุตบอล จนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
มักคอยเป็นตัวขวาง-ตัวถ่วง จนทำให้ไม่เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจริงจัง
แถมยังมี “บางฝ่าย” ดึงเอา “การเมือง” มาเกี่ยวโยงกันจนวุ่นวายไปหมด
อยู่ที่ว่า “ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย” ในสมาคมฟุตบอลฯ
จะกล้ายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ต้อง “เจ็บตัว” หรือไม่!!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=289043
...................................................................................................................
บทวิเคราะห์นี้น่าสนใจ โดยเฉพาะบทสรุปลงท้าย
มีประเด็นให้ขบคิด ที่สังคมเองก็รับทราบกันอยู่แล้ว แต่ได้แค่มอง และคงความหงุดหงิด ขัดเคืองกันต่อไป
อะไรจะทำให้คนในสมาคมฟุตบอลไม่ว่ายุคไหน นั่งกันจนรากงอก
นอกเสียจากผลประโยชน์ ทั้งแง่ทรัพย์สิน ชื่อเสียง บารมี หรือแม้แต่ในทางการเมือง
เห็นด้วยกับบทความชิ้นนี้
กระแสฟุตบอลตอนนี้ เป็นเพียงสิ่งฉาบฉวย
หากคนในสมาคมไม่ยอมกวาดบ้านตัวเอง
คงยากที่จะรักษากระแสศรัทธาของแฟนบอล ให้คงอยู่แบบอย่างยั่งยืนได้
เริ่ม......ก ว า ด บ้ า น ตั ว เ อ ง ไ ด้ แ ล้ ว
ท่านนายกสมาคมฯที่รัก
ต่อยอดปรากฏการณ์ช้างศึก "ต้ อ ง ก ล้ า ก ว า ด บ้ า น ตั ว เ อ ง" /// เดลินิวส์
ในศึกฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014”
ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อค่ำวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา
แม้จะพ่ายแพ้ให้ “เสือเหลือง-มาเลเซีย” 2-3
แต่สกอร์รวม 2 นัด “ช้างศึกไทย” ชนะ 4-3
จึงครองแชมป์อาเซียนนี้เป็นสมัยที่ 4
หลังจากห่างหายมาเป็นเวลานาน 12 ปี
ฟอร์มการเล่นของนักเตะชุดนี้ ทำให้แฟนบอลชาวไทย “ชื่นชอบ” เพราะมีการครอบครองบอล
ต่อบอลกันเล่นเกมรุก แบบสะใจและทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลาในการเฝ้าชม
เมื่อบวกกับ “ความหล่อ” ของนักเตะบางคน จึงเป็นจุดขาย
ทำให้แฟนบอลโดยเฉพาะสาวๆ “หลงรัก” เพิ่มมากขึ้นอักโข
บทพิสูจน์ของฟอร์มการเล่นใน “ขุนพลช้างศึกชุดนี้” คือสิ่งตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่า
“ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
เมื่อกรรมการยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลา
นั่นหมายถึง “โอกาส...ยังมีเหลืออยู่”
ใคร จะไปคิดว่า จากได้ชัยชนะนัดแรก 2-0 สบายๆ มีประตูตุนไว้แล้ว
แต่เมื่อกลับไปเล่นที่สนามบูกิต จาลิล ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพียงครึ่งแรกก็โดนไป 2-0 เจ๊ากัน
พอเริ่มครึ่งหลังไม่นาน ก็โดนอีก 1 ลูก รวมแล้ว ไทยตามหลังมาเลย์ และมีแนวโน้มว่า จะแพ้พ่าย!!!
แต่เมื่อ “ขุนพลช้างศึกชุดนี้” มุ่งมั่นและมีความพยายาม...2 ประตูที่ได้มา
จึงคุ้มค่า...สมการรอคอยของแฟนบอลชาวไทย
เหนือสิ่งอื่นใด
ภายหลังการแข่งขันจบลง “ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” กุนซือใหญ่ของทีม เปิดเผยว่า
ช่วง พักครึ่งแรก ราชเลขาฯในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้โทรศัพท์เข้ามือถือของนายเกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีม
โดยพระองค์ได้พระราชทานกำลังใจให้นักเตะทุกคน ให้พยายามเล่นเต็มที่
ทำให้ครึ่งหลัง นักฟุตบอลทีมชาติไทยมีกำลังใจเล่น จนสามารถพลิกสถานการณ์จากตกเป็น “รอง”
กลับมาคว้าชัยชนะได้สำเร็จ
เมื่อ กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด...จึงไม่แปลกหากจะมีประชาชนคนไทย
รอต้อนรับตามถนน สองข้างทาง ที่ “ขุนพลช้างศึก” แห่ถ้วยแชมป์
จากถนนวิภาวดีรังสิตไปยังห้าแยกลาดพร้าว แล้วตัดเข้าถนนพหลโยธิน
ผ่านสะพานควาย ตรงไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นวน 1 รอบ มุ่งไปตามถนนพญาไท
ผ่านแยกราชเทวี เลี้ยวซ้ายผ่านสยามพารากอน เข้าสู่สยามสแควร์ มุ่งไปหน้าเซ็นทรัลเวิลด์
แล้ววนกลับตรงศาลพระพรหม บริเวณแยกราชประสงค์ ผ่านรพ.ตำรวจ
ไปยังห้างมาบุญครอง แล้วไปยังสนามศุภชลาศัย
ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการแห่ถ้วยแชมป์เฉลิมฉลอง...
ซึ่งทำให้รถราติดขัดทั่ว กรุงฯ
แต่ “คนไทย” ก็มิได้บ่นหรือตำหนิ...
ยิ่งได้เห็นขบวนนักเตะ หลายคนยังเปิดประตูรถออกมาร่วมแสดงความยินดี
ทำให้เห็นปรากฏการณ์ชัดเจนว่า..นี่คืออีกหนึ่งรายการ...
ในการคืนความสุขให้กับประชาชนคนไทย...ที่ปฏิเสธไม่ได้!!!
ก่อน หน้านี้...หากยังจำกันได้...สารพัดม็อบหลากหลายสีที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
และมีการเดินขบวนตามเส้นทางต่างๆ ซึ่งมีทั้งคนสนับสนุนและคัดค้าน
อีกทั้งยังมีเสียงบ่นตามมาเป็นระยะๆ
แต่กับ “ปรากฏการณ์ช้างศึกคึกคัก” ในครานี้...กลับแตกต่างอย่างลิบลับ
หลายคนเห็นฟอร์มการเล่น โดยเฉพาะช็อตการต่อบอลขั้นเทพในนัดชิงชนะเลิศหนแรกที่เมืองไทย
ที่แม้จะไม่ได้ประตู แต่ทำให้เห็นว่า การเล่นเป็นทีมนั้น หากทำกันจริงๆ ก็ทำได้...
ถึงกับ...มองไปไกลถึงการสนับสนุนให้ “ทีมช้างศึกชุดนี้” ต่อยอดไกลไปให้ไกลถึง “ฟุตบอลโลก”
ที่เป็นความหวังของทุกคนเฝ้ารอคอย
เหนือสิ่งอื่นใด หากจะทำให้ “ความหวังนี้” เกิด ผลสำเร็จ
ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะปัจจัยการเงินและการวางแผนกำหนดเกมการแข่งขันภายในประเทศ
ที่ต้องเอื้ออำนวยต่อการสร้างนักเตะอย่างถาวร
ไม่ใช่การวิ่งรอกแข่งขันแบบตามมีตามเกิด และถี่มากเกินไป จนทำให้นักเตะกรอบ
แต่......เมื่อมองย้อนกลับมาดูปัญหาภายในของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยแล้ว
ดูทีท่าว่าจะยาก!!!
เพราะความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทำให้ขยายวงลุกลามไปจนถึง “ตัวนักเตะ” ที่มีความขัดแย้ง
ทั้งที่ “หลายคน” เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนก็ตาม
หากคิดไกล...ฝันจะไปให้ถึงบอลโลก...
"ควรเริ่มที่บ้านตัวเองก่อน"
ปัด กวาดบ้านในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
โดย “ทุกฝ่าย” ต้องเปิดใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง
ที่จะมีทั้งคนถูกใจและผิดหวัง...
แต่มุ่งไปในเป้าหมายเดียวกันคือ การพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก
เมื่อตัดอคติและผลประโยชน์ส่วนตัวลงได้...ผลลัพธ์ในสิ่งที่หลายคนวาดหวัง....
อาจได้เห็นกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า...นี้
เพราะที่ผ่านมา “ผู้ทรงอิทธิพล” ที่ มีบารมีเกรงขาม...
และฝังรากลึกในสมาคมฟุตบอล จนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
มักคอยเป็นตัวขวาง-ตัวถ่วง จนทำให้ไม่เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจริงจัง
แถมยังมี “บางฝ่าย” ดึงเอา “การเมือง” มาเกี่ยวโยงกันจนวุ่นวายไปหมด
อยู่ที่ว่า “ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย” ในสมาคมฟุตบอลฯ
จะกล้ายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ต้อง “เจ็บตัว” หรือไม่!!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
...................................................................................................................
บทวิเคราะห์นี้น่าสนใจ โดยเฉพาะบทสรุปลงท้าย
มีประเด็นให้ขบคิด ที่สังคมเองก็รับทราบกันอยู่แล้ว แต่ได้แค่มอง และคงความหงุดหงิด ขัดเคืองกันต่อไป
อะไรจะทำให้คนในสมาคมฟุตบอลไม่ว่ายุคไหน นั่งกันจนรากงอก
นอกเสียจากผลประโยชน์ ทั้งแง่ทรัพย์สิน ชื่อเสียง บารมี หรือแม้แต่ในทางการเมือง
เห็นด้วยกับบทความชิ้นนี้
กระแสฟุตบอลตอนนี้ เป็นเพียงสิ่งฉาบฉวย
หากคนในสมาคมไม่ยอมกวาดบ้านตัวเอง
คงยากที่จะรักษากระแสศรัทธาของแฟนบอล ให้คงอยู่แบบอย่างยั่งยืนได้
เริ่ม......ก ว า ด บ้ า น ตั ว เ อ ง ไ ด้ แ ล้ ว
ท่านนายกสมาคมฯที่รัก