...ควรตัดสินใจอย่างไรดี...???

(ยาวมากค่ะ)
เราแต่งงานกับสามีโดยผู้ใหญ่แนะนำให้รู้จักกัน
เขา จบโท เป็นคนนิสัยดี อ่อนโยน ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ ไม่เที่ยว เรียบร้อย อยู่คนละจังหวัดกับเรา
ลาออกจากคุมโรงงาน เริ่มทำธุกิจค้าขายที่พ่อแม่เปิดร้านให้ร่วมกับน้องชาย ตอนมาคบเราได้ไม่นาน
เขาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อยู่กับญาติเป็นส่วนใหญ่

เราถูกใจกันและกัน ใช้เวลาศึกษากันไม่นาน ก็แต่งงาน
ช่วงคบกันแรกๆก่อนแต่งงาน เราเองเป็นคนชัดเจน เป็นตัวของตัวเอง
และบอกให้เขารับทราบแต่เนิ่นๆว่าเราเป็นอย่างไร ทั้งข้อดีข้อเสีย ความคาดหวังและทัศนคติต่อชีวิตคู่
เขาเองก็รับได้ เราให้เขาไปคุยกับครอบครัวเขาให้เรียบร้อยว่าเราต้องการแบบนี้จากชีวิตคู่ นั่นคือ มีเวลาให้กัน
เขาตกลงกับน้องชาย(ไม่มีแฟน)ที่ทำธุรกิจร่วมกัน ว่าถ้าแต่งแล้ว ขอไปหาภรรยา วันหยุดเสาร์อาทิตย์ เดือนละ 3 ครั้ง
และเราแพลนว่าจะไม่มีลูก แต่อาจจะเปลี่ยนใจได้ถ้าอยากมีเอง ห้ามบังคับกดดันกัน
เขาคุยกับทางบ้านแล้ว มาบอกเราว่า ok ทุกอย่าง

ตอนต้นดูเหมือนราบรื่นมากจนเราทั้งสองคนคิดว่า โชคดีมากๆ
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ดี ไม่มีปัญหา
จนกระทั่งหลังทาบทามหมั้นหมาย เราไปเตรียมธุระงานแต่งที่กรุงเทพบ่อย แฟนก็อยากมาหาขับรถพาเราไปทำธุระ
ทางบ้านเขาเริ่มบ่น ไม่อยากให้เขาต้องไปกับเรา อยากให้เฝ้าร้าน ห้ามปิดร้าน ถ้าพ่อแม่ไม่ยอม (สไตล์คนจีนยุคเก่า)
และโดยบ่นเรื่อยๆ บางครั้งนัดกันดีแล้ว ก็มาหาไม่ได้ เพราะมีธุระทางพ่อแม่มาแทรก เขาเองก็ลำบากใจ

จนกระทั่ง แต่งงานกัน เราเริ่มรู้สึกว่าปัญหาการไปมาหาสู่กันเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เรางอนเค้าบ่อย
และเขาเริ่มมีระบบความคิดเปลี่ยนไปแนวทางเดียวกับพ่อแม่เขา โดยที่ไม่ใช่แบบเดิมอย่างที่เราพอใจและตัดสินใจแต่งด้วย
ตอนแรกเราคิดแค่ว่า เขากำลังปรับตัวเข้ากับที่บ้านและการงาน แต่ระยะถัดมา เราคิดว่าเขากำลังถูกครอบครัวเขากลืน
เราจึงคุยกับเขา ว่า เขาเปลี่ยนไปนะ ซึ่งเขาไม่รู้ตัวเลย เราบอกเขาว่า แบบนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เราต้องการแต่งงานด้วย
ผล คือ เขาก็พยายามที่จะกลับมา แต่เพราะเขาเป็นคนกลาง
พ่อแม่ต้องการอย่างนึง เขาและเราต้องการอย่างนึง....เขาบอกเขาจะรับความขัดแย้งนี้ไว้เอง
แต่ท้ายที่สุด เขาเหนื่อย ไม่อยากขัดแย้งกับพ่อแม่ ก็ขอให้เรายอมรับ เราไม่พอใจ

พ่อแม่ของเขาก็แรง เขาเองไม่ค่อยได้ขัดใจพ่อแม่ เขาเป็นคนอะไรก็ได้ ใจดี ตามใจ เป็นลูกที่อยู่ในโอวาท
เราเองก็รู้สึกว่าไม่แฟร์ที่ไม่รักษาสัญญาที่เคยคุยไว้ก่อนมาขอหมั้น ทั้งเรื่องเวลาของครอบครัว และการมีลูก

เราจึงถามเขาว่า เขาต้องการใช้ชีวิตแบบไหนแน่ ให้เขาคิดทบทวน คำตอบคือ แบบเดียวกับเรา
แต่เขาออกมาจากกิจการครอบครัวไม่ได้ เพราะเขายังไม่รู้จะทำงานอะไร(อายุเริ่มมาก) เราเองก็รู้สึกไม่มั่นคงที่เขาเป็นแบบนี้

หลังแต่ง เราได้ไปเที่ยวบ้านแฟนเดือนละครั้ง ทุกเดือน ไปก็ช่วยเฝ้าร้าน ทำอาหารให้ครอบครัวแฟนทาน
และอีกเรื่องนึง คือ แฟนเราได้เงินเดือนจากกงสี ต่ำกว่าเด็กจบใหม่หลายพัน
เราก็รอดูมาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ก่อนแต่ง หลังแต่งมาครึ่งปี เราเปิดประเด็นคุยเรื่องนี้ แฟนเราไม่รู้สึกอะไร เราติงว่าน้อยไปนะสำหรับผู้ชายที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แฟนก็หาจังหวะไปพูด แม่ก็เพิ่มให้ทั้งแฟนเราและน้องเขาคนละ 2,000บาท โดยที่น้องไม่ได้ปริปาก

นานวันเข้า ปัญหาเดิมก็ยังคาราคาซัง บางเดือนหลังๆสามีมาหาเราได้แค่เดือนละ 1-2 ครั้ง
เพิ่มตามมาด้วย พูดกันเริ่มไม่รู้เรื่องมากขึ้น ทะเลาะบ่อย
เราได้โทรคุยกับแม่ของเขา หลังแต่งงานปีนึง เรื่องเวลาของครอบครัว
(หลังแต่งไม่ถึงสองเดือน มีการโทรจี้ โทรตามให้กลับไปขายของ)
เราก็พูดคุยกันดีๆ แม่เขาก็ได้แต่บอกว่า ไม่คิดว่าร้านจะยุ่งขนาดนี้ ตอนมาขอเรา จึงรับปากไป

พ่อแม่เขาคิดว่าลูกชายไปหาเรา คือ ไปเที่ยวกัน ไม่สนใจธุรกิจ สิ้นเปลือง ไม่มีประโยชน์ ลูกชายอีกคนที่ไม่มีแฟน ก็อยู่ติดร้าน น่าสงสาร
(เขาเป็นคนไม่แคร์ใคร ไม่มีเพื่อนแถวนั้น) แต่ต่อหน้าเราสองคน น้องก็บอกว่าต้องการหยุดแค่เสาร์อาทิตย์เดียว

ตอนแรกเราเข้าใจว่าแม่ของเขาเป็นคนประหยัดมัธยัตถ์ ใจดี คือเราเชื่อข้อมูลที่สามีเราบอกมา
สามีเราแก้ปัญหาการไปมาหาสู่กันด้วยการให้เราย้ายไปทำงานแถวบ้านเขา จะได้ไปอยู่ด้วยกัน
เราและครอบครัวก็ดูดีแล้วว่า คนในครอบครัวเขาทุกคนก็ชอบเรา สามีเราเองก็ยืนยันเสมอๆ
พ่อแม่เรามีเราคนเดียว แต่เขาก็ยอมให้ไป เพราะเห็นว่า ครอบครัวควรอยู่ด้วยกัน
แม่สามีก็เร่ง อยากให้เราไปอยู่ด้วยเร็วๆ

หลังจากที่แม่สามีรู้เรื่องเราทำเรื่องย้ายแล้ว รออนุมัติ เราเริ่มสังเกตว่าเขาเริ่มพูดเรื่องอยากให้เรามีหลานให้บ่อยขึ้น
ซึ่งทำให้เราอึดอัด เพราะยังไม่พร้อม และเราเคยทะเลาะกับสามีบ่อย จนไม่มั่นใจที่จะปล่อย
คำพูดคำจาบางอย่างของแม่สามีเริ่มเปลี่ยน คือ เริ่มมีตัวตนมากขึ้น มีอารมรณ์แปรปรวน หงุดหงิดใส่เรา เริ่มไม่เกรงใจกัน
เราเองเป็นเด็กจึงอ่อนให้เขา (มากกว่ากับพ่อแม่เราเสียอีก) เราอยากรักษาค.รู้สึกดีๆไว้

เมื่อเราย้ายไปบ้านเขาแล้ว เป็นร้านค้าที่อยู่กันสองพี่น้อง พ่อแม่เขาอยู่อีกหลัง แต่ก็แวะมาดูแลความเรียบร้อยบ้านทุกคืน
มาอยู่ที่นี่เราต้องดูแลอาหารการกินของตัวเอง ทั้ง 3 มื้อ
พ่อแม่ไม่ทานข้าวเย็นกัน สามีเราก็ดูแลเราโดยการเบิกกงสีพาเราไปทานข้าวเย็น เราเองก็ซื้อกลับมาฝากพ่อแม่ เห็นพวกเขาบอกไม่มีเวลาทำอาหาร แม่สามีก็ทำกับข้าวไม่เป็น แต่ก็ไม่ซื้ออะไรมาดูแลเราที่เพิ่งมาอยู่ ต้องปรับตัวทุกอย่างใหม่หมด ที่ทำงานใหม่ก็งานหนักกว่าที่เดิม และสภาพแวดล้อมก็เจริญน้อยกว่า (บ้านนอกนะเอง) เราเองก้ดิ้นรนขวนขวายเรื่องอาหารการกิน จากที่ไม่เคยต้องทำ เพราะอยู่บ้านแม่เราทำกับข้าว มีครบ 3 มื้ออย่างดี
ครอบครัวสามีก็รู้ว่าบ้านเรากินอยู่อย่างดี จากการที่บ้านเราทำอาหารมาให้เยอะๆเวลาเรามาเที่ยวบ้านเขา เขาก็ชมไม่ขาดปาก และบอกว่าที่นี่หาของกินยาก
แรกๆก็เปรยๆว่าจะจ้างแม่ครัวมาทำกับข้าวให้ แล้วก็เงียบไป ปล่อยไว้เฉยๆ
สุดท้าย คือ เรื่องกินเรื่องอยู่เขาไม่จัดการอะไรให้เราเลย และเรียกเรากับสามีไปคุยว่า ให้กินใช้กันประหยัดๆ ทั้งๆที่เราเพิ่งไปอยู่ได้แค่ 2 อาทิตย์
ร้านค้าบ้านนอก กับข้าวแพงสุดก็จานละ 100-120 บาท จะไปนั่งกินที่ร้านก็เฉพาะมื้อเย็นบางวัน
เรากับสามีก็โทรถามทางบ้านเขาตลอดว่าจะฝากซื้ออะไร ไม่เคยที่จะเงียบไปกินโดยไม่ชวนน้องหรือซื้อมาฝากเลย
แต่โดนมองว่าใช้เงินเปลือง แต่เขาเองก็ไม่หามาให้เรา หรือแนะนำเรา
เราต้องถามเพื่อนร่วมงานว่าเขาซื้ออะไรที่ไหนกัน เพราะทั้งเราและสามีก็ไม่รู้จักร้าน
เดิมสามีก็ทานแต่อาหารจานเดียว มีร้านประจำอยู่แค่ 2-3 ร้าน ในบ้านมีเขาคนเดียวที่ทานข้าวเย็น

เราอยู่ๆไปไม่ถึงเดือน ก็เริ่มรู้สึกว่า แม่สามีเริ่มพูดเรื่องอยากให้เรามีหลานเร็วๆบ่อยขึ้น ทั้งๆที่ก็ไม่ดูแลเราเรื่องความเป็นอยู่ ไม่มีเงินกองกลางไว้กินไว้ใช้ บอกแค่มีอะไรให้ไปเบิกและลงบัญชีไว้ คนเบิกคือสามีเรา
บอกแต่ว่าให้ประหยัด คือเรามาอยู่ ร้านนี้ไม่มีห้องอะไรที่ใช้งานได้ นอกจากห้องนอน นอกนั้นห้องเปล่าๆ
2 อาทิตย์เเรก สามีเราใช้เงินกงสีซื้อของใช้พวกสบู่แชมพูไม้แขวนเสื้อ ที่เราและสามีก็ใช้ร่วมกัน เครื่องใช้อะไรในครัวที่ยังไม่มี เราก็ซื้อมา มีแต่พวกที่จำเป็น เช่น ถังขยะ เครื่องปรุงอาหาร คือ มันเป็นร้านใหม่ที่อยู่กันแต่พี่น้องผู้ชาย ในครัวมีแค่เตาไมโครเวฟ และเตาแกส อุปกรณ์ครัวก็ไม่ครบ บ้านเราใช้ของอย่างดี มีครบครัน (ในตู้เย็นมีแต่น้ำแช่ และอาหารสำเร็จจาก 7-11) ทั้งนี้ทั้งนั้น ลืมบอกว่าฐานะบ้านสามีและเรา ดีทั้งคู่ แต่บ้านสามีฐานะดีกว่า

เราเองรู้สึกว่า รับไม่ได้มากขึ้น หลังจากที่เขาเริ่มมาตรวจสอบเงินทุกวัน และเริ่มมีเสียงบ่นว่าเงินหาย เงินขาด ทั้งๆที่ก็ไม่เคยทำบัญชีกันตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ
สามีบอกว่าก่อนนี้ ก็ไม่เห็นตรวจบ่อยหรือบ่นอะไรแบบนี้ เราเองไปอยู่ไม่ถึงเดือนได้ยินแบบนี้ เริ่มไม่สบายใจ
คนถือกุญแจก็มีแค่สามีเรา น้องชาย และพ่อเขา การค้าขายเงินหรือเข้าออกก็จะใช้การจดสมุด
สามีเราโดนแม่ของเขา ซักไซ้ว่าเงินหายเพราะอะไรบ่อยๆ สุดท้ายเราก็แอบได้ยินแม่ลูกคุยกัน แม่เขาบอกว่าไม่สงสัยลูก แต่กลัวสะใภ้ยุลูก

เราฟังงี้เจ็บเลย งงว่าเราเป็นตัวอะไร เราไม่เคยอยู่ในฐานะที่คนจะมาสงสัยเรื่องเงินทอง
นี่ขนาดตอนมาหมั้นเรา แม่เขาเป็นคนเลือกเราเองแท้ๆนะ ปากบอกว่ารักเราเหมือนลูกเขาคนนึง

แถมอาทิตย์แรกที่เรามาอยู่ใหม่ๆสามีอยากเอาใจเรา ขับรถไปรับส่งเราไปทำงาน ก็โดนพ่อเขาดุว่าไม่สนใจเฝ้าร้าน ให้เราดูแลตัวเอง
เพราะเราขับรถเป็น ทั้งที่น้องชายเขานอนตื่นสายทุกวัน สามีเรารอให้น้องมาเฝ้าร้านจึงจะไปส่งเรา เราก็ดีใจที่สามียังดูแลเรา เราเคว้งคว้างมาก
แต่เขาก็ขัดที่บ้านไม่ค่อยได้ เราก็ต้องไปเอง และเราแอบได้ยินแม่สามีพูดกับสามีเราว่า ธุระของเรา ก็ให้เอารถของเราไปใช้
สามีเราไม่มีรถ ที่บ้านเคยบอกจะให้นานแล้ว  แต่ตอนนั้นเขายังไม่ได้เพราะเหตุผลบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ พ่อและน้องชายมีรถคนละคัน
เคยมีเหตุการณ์หวงรถ ทั้งที่สามีเราบอกว่าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขางงมาก

เหตุการณ์เรื่องการบ่นว่าเงินหาย ทั้งๆที่บ้านมีกล้องวงจรปิดร่วม 40 ตัว รวมทั้งบริเวณโต๊ะเก็บเงิน เกิดขึ้นบ่อยมาก มีทั้งเงินขาดเงินเกิน
เราอึดอัดมาก รู้สึกว่าบ้านนี้ไม่น่าอยู่เลย และก่อนที่เราจะย้ายมา ไม่เคยมีเรื่องพวกนี้เข้าหูเรา ทั้งๆที่เราเป็นเคยคนช่วยทอนเงินให้แท้ๆตอนสมัยที่มาเยี่ยม
เรายังดีใจที่เขาไว้ใจเรา ให้เกียรติเรา เราก็ช่วยงานเขา ตั้งแต่ได้ยินเรื่องพวกนี้ 1-2ครั้ง เราตัดสินใจไม่ไปยุ่งอะไรกับการค้าของพวกเขา ทำแต่งานของเราเสร็จ กลับบ้าน ก็รอสามีปิดร้าน ไปหาข้าวทานกัน

สามีเราโดนแม่เขาบีบให้รับว่าเป็นคนเอาไป เขาโกรธจึงคืนกุญแจโต๊ะเก็บเงิน และบอกจะไม่จับเงินอีก วันนั้นเป็นวันที่เราสบายใจที่สุด
ผ่านไปไม่กี่วัน แม่ก็บังคับให้รับกุญแจคืน เพราะสงสารน้องชายที่ลำบาก มานับเงินทอนเงินคนเดียว
แต่เราและสามีคิดตรงกันว่า ไม่ควรรับคืนมา พอไม่รับคืน สามีก็โดนพ่อแม่ว่า ว่าเขาไม่ความรับผิดชอบ ปล่อยให้น้องเหนื่อย (ทั้งๆที่ก็ช่วยกันขาย)
สามีฉุกคิดได้ จึงเล่าให้เราฟังว่าสมัยเรียน น้องชายเคยขโมยเงินเขา และทองที่เขาฝากไว้ไปขาย

ช่วงค่ำ เรากับสามีจะนั่งดูหนังในห้องนอน เพราะบ้านไม่มีห้องนั่งเล่น พ่อแม่เขามักจะมาดูบ้านช่วงนั้นพอดี
เราเอง อาบน้ำและนอนแต่หัวค่ำ เพราะเหนื่อยจากงาน จากการปรับตัว ใส่ชุดนอนแล้วเราก็ไม่ค่อยอยากออกมาเดินข้างนอกห้อง
พ่อแม่สามีก็ตำหนิว่าเราไม่สนใจพวกเขา อยู่กันเองสองคน

ตั้งแต่รู้เรื่องแม่สามีบ่นเรื่องเงิน เรื่องรถ  เรื่องประหยัด ทั้งที่เข้าไปอยู่ได้แค่เดือนเดียว พ่อเราไม่ให้เราและสามีใช้เงินกงสี ให้ใช้แต่เงินเดือน
สามีเราก็ใช้เงินเดือน(อันน้อย)ของเขาดูแลเรา ไม่พอจึงเอาเงินเดือนเรามาใช้

บรรยากาศในบ้านแย่มาก พ่อแม่สามีดุด่าสามีเรา ว่าเราสองคนทำตัวแข็งข้อไม่ง้อเงินเขา แล้วก็ดุว่าสามีเราต่อหน้าลูกน้องในร้าน
จนลูกน้องบางคนเลือกฝักเลือกฝ่ายไปอยู่ข้างน้องชาย แล้วทำตัวกระด้างกระเดื่องไม่เห็นหัวสามีเรา

บรรยากาศระหว่างเรากับสามีก็ไม่ดี ลุ่มๆดอนๆตั้งแต่เราย้ายมา เราเครียดเรื่องงาน เรื่องการกินอยู่ เรื่องสารพัดจากครอบครัวสามี
แม่สามีกระซิบบอกสามีเราทีหลังว่า ที่เราเคยพูดกับแม่สามีตรงๆ (ก็เพราะเชื่อที่แม่สามีพูดว่า ชอบคนพูดตรง มีอะไรให้เราพูดกับเขาเลย เราก็เหมือนลูกเขา) ไม่พอใจที่เราบอกเขาว่า เวลาที่เราสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ไม่อยากให้แม่สามีมาโทรตามบ่อยๆ มาเคาะเรียกให้เปิดห้อง เหมือนตอนที่ลูกชายยังโสด (ที่จะตามลูกเวลาไหน วันละกี่ครั้งก็ได้) (ตอนแรกเราเงียบไว้นานมาก แต่ช่วงหลังๆมันถี่มาก สามีและเราก็ไม่สบายใจ แต่เขาไม่กล้าพูด) แต่ตอนแรกเราออกตัวก่อนนะว่า ไม่อยากพูด เพราะจะเหมือนเราสอนเขา แม่สามีก็คะยั้นคะยอให้เราพูด พอพูดแล้ว เขาก็เฉยๆ สามีเราก็บอกว่าเราไม่ได้ดูก้าวร้าวอะไร ไม่น่ามีอะไร
คือที่ผ่านมา สามีเราให้แม่โทรหาได้ตลอด เพราะสงสารแม่ที่พ่อและน้องชายเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ ตัดบทบ้าง ห้ามแม่มาจู้จี้
แต่สามีเราเค้าเป็นคนดี อยากชดเชยที่พ่อและน้องชายเป็นแบบนั้น
เราก็เตือนว่า แบบนี้ไม่เป็นผลดีหรอกนะ แม่เธอควรรู้ว่าลูกที่แต่งงานแล้วต่างจากคนโสดอย่างไร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่