ในช่วงเวลาแห่งความสับสนมากที่สุดในชีวิตของผม ทั้งรู้สึก Depression รู้สึกเสียใจกับอดีตที่ทำอะไรผิดพลาดไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ รู้สึกว่าควรจะเรียนให้จบเป็นหมอ อย่างน้อยก็ได้ทำประโยชน์ให้สังคมได้มากกว่านี้
ผมเริ่มใช้เวลาว่างที่มีในการเดินทาง สนทนากับเพื่อนที่มีมุมมองความคิดที่น่าสนใจ และอ่านหนังสือมากมาย ซึ่งปกติผมจะไม่ค่อยซื้อหนังสือที่ดูตลาดมากนัก เช่น ลาออกซะ…ถ้าอยาก… แต่ด้วยเวลานั้นกำลังยืนรอพ่อจอดรถอยู่ก็เลยเดินเข้าร้านนายอินทร์แล้วบังเอิญเจอหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า
“จงหางานที่มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้” พลิกๆ ดูก็รู้สึกว่า เอ๊ะ เข้าท่า ดูต่างไปจากหนังสือยอดฮิต Best Seller ในร้านหนังสือไทยทั่วๆไป
คือชื่อหนังสือมันค่อนข้างโดนใจผม เพราะผมมีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์เรามีความแตกต่างกันมาเหลือเกิน มากจนเกินกว่าที่จะมีอาชีพเพียงไม่กี่อาชีพบนโลกนี้
ผมขอหยิบยกบางประโยคในหนังสือซึ่งผมอยากขยายความเพิ่มเติมออกมานะครับ
"อย่าคิดว่าตัวเองจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ เพราะถ้าคุณทำงานอย่างมีความสุข คุณก็ประสบความสำเร็จ หากทำงานโดยมีความกระตืรือร้นอยู่เสมอ นั่นก็ประสบความสำเร็จแล้ว"
นั่นก็ย้อนกลับไปเรื่องที่ว่า แล้วมีเงินมากเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าพอ แต่ที่แน่ๆ ถ้าคุณสนุกกับงานในทุกๆ วัน ผมเรียกสิ่งนั้นว่าคุณประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ต้องมีบ้านหลังใหญ่ หรือรถคันงาม เรื่องนี้อาจจะขึ้นกับระดับวัตถุนิยมของแต่ละคน แต่จากประสบการณ์ของผม ถึงงานนั้นจะไม่ได้ให้เงินมากมายนัก แต่มันมักจะทำให้เราอยู่ได้โดยไม่อดอยาก ซึ่งอาจต้องพบกันครึ่งทางระหว่างสองสิ่งนี้
"ที่เกาหลี ทุกคนตั้งใจที่จะใส่เสื้อสีเดียวกับคนอื่น แต่ที่นี่ทุกคนอยากจะเป็นคนที่แตกต่าง ทำงานที่คนอื่นทำไม่ได้ และเลือกสีสันที่เป็นของตัวเอง"
ตรงนี้คล้ายเมืองไทยมากครับ ทุกคนอยากใส่เสื้อกาวน์เหมือนกัน (หมอ) ทุกคนอยากทำงานในบริษัทฝรั่งที่ให้เงินมากเหมือนๆ กัน แต่ที่ Stanford สอนให้ทุกคนเป็นคนที่ “แตกต่าง” ทำงานที่มีตัวเองสนใจและสามารถทำมันให้แตกต่างและโดดเด่นได้จริงๆ
"เมื่อก่อนฉันคิดว่างานที่หาเงินได้เยอะคืออาชีพในฝัน แต่ตอนนี้มันต่างออกไป สิ่งที่เรียกว่าอาชีพที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แค่เป็นงานที่เราทำได้โดยไม่อาย ได้รับความรู้สึกพอใจ นั่นต่างหากคืออาชีพในฝัน"
มันเป็นความคาดหวังของสังคมรอบข้างซึ่งเป็นค่านิยมบวกกับลัทธิวัตถุนิยม ทำให้คนเราต้องเลือกทำอาชีพที่ดูมีเกียรติ และหาเงินได้มากๆ ประโยคนี้ทำให้ผมตาสว่างขึ้นมากว่าถ้าเราปลดปล่อยความคาดหวังเหล่านั้นและออกเดินตามหัวใจตนเอง แม้มันจะขรุขระ แต่มันก็คือตัวเรา อาจได้เงินไม่เยอะ ก็ลดค่าใช้จ่าย ความสุขอยู่แค่ตรงนี้ แค่ตรงนี้จริงๆ
หลังจากนั้นผมก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมีหนังสืออีกเล่มของคิมรันโดที่ดังกว่า ออกมาก่อนหน้านี้ชื่อว่า
“เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด”
เช่นเคย ผมขอหยิบยกบางประโยคในหนังสือซึ่งผมอยากขยายความเพิ่มเติมออกมานะครับ
"ปัจจุบันนี้ความสำคัญของวิชาการไม่ได้ขึ้นอยู่กับอันดับคะแนนสูงต่ำของคณะ ภาควิชา หรือวิชาเอกอีกแล้ว แต่คือทักษะที่สามารถนำความรู้จากวิชาเอกของตัวเองไปปรับใช้กับความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป"
คนจำนวนมากหลงใหลได้ปลื้มว่าถ้าฉันสามารถสอบเข้าคณะนี้ได้นั่นแปลว่าฉันเก่งกว่าคณะอื่นที่คะแนนต่ำกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยเสมอมา เช่น คนสอบเข้าแพทย์ได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์, คนสอบเข้าบัญชีได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนสอบเข้าคณะสังคมสงเคราะห์ ซึ่งจริงๆ แล้วสังคม (โดยเฉพาะยุคนี้) มีพลวัตที่สูงมาก ความต้องการของสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประโยคนี้จึงพูดแทนทุกอย่างแล้วว่า ทักษะที่คุณมีแล้วมันตอบโจทย์สังคมต่างหากที่สำคัญไปกว่าคะแนนสอบซึ่งเป็นเพียงค่านิยมลวงๆ ให้คนเดินไปตามๆกัน สิ่งที่พบในปัจจุบันจึงมีธุรกิจ Startup ที่สร้างผลิตภัณฑ์และบริการออกมาอย่าหลากหลายมากมายเพื่อตอบสนอง Lifestyle ของคนที่เปลี่ยนไป
"ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น"
คนจำนวนมากโตมากับการเปรียบเทียบ ทั้งๆ ที่เส้นทางของแต่ละคนมี factors มากมายมหาศาล คนเราที่กำลังเดินตามสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันนั้นก็เหมือนดอกไม้ที่ผลิบานในแต่ละฤดูกาล ดอกไม้แต่ละชนิดย่อมใช้เวลาในการผลิบานไม่เท่ากัน เด็กสมัยนี้ (สมัยผมด้วยนั่นแหละ) ถูกปลูกฝังให้ต้องรีบประสบความสำเร็จให้เร็วซะจนลืมไปว่าความสำเร็จของคนไม่ได้วัดกันว่าคุณสำเร็จเร็วเท่าไหร่ แต่วัดกันที่ความสำเร็จที่ดีที่สุดของคุณต่างหาก ดังเช่น ความสำเร็จของ Steve Jobs ในวัยหนุ่มนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวัย 56 ปีของเขา
"ทุกคนขาดการพิจารณาและค้นหาว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของตัวเองคืออะไร มุ่งแต่หางานและชีวิตที่มั่นคง"
ผมเคยถามนักศึกษาแพทย์คนนึงซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อนว่า “ทำไมถึงเลือกเรียนหมอล่ะ” คำตอบคือ “ตอนนั้นผมไม่รู้จะเรียนอะไร” นี่คือปัญหาอันยิ่งใหญ่มาก เพราะเราอาจได้หมอระดับ average มาหนึ่งคน แต่เราอาจสูญเสียคนที่มีความสามารถสุดยอดในอีกด้าน ซึ่งสังคมมักจะบีบทางเลือกให้คนเลือกงานที่มั่นคง รายได้ที่ดี ก่อนสิ่งอื่นใด
นี่เป็นบางส่วนของหนังสือทั้งสองเล่มที่บังเอิญมาถูกเวลาในวันที่ผมรู้สึกหดหู่กับชีวิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมหวังว่าข้อคิดต่างๆ เหล่านี้จะเกิดประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บผมนะครับ >>
http://kongwiz.com/2014/12/คิมรันโด/
หนังสือของคิมรันโดช่วยเปลี่ยนความคิดของผมได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ
ผมเริ่มใช้เวลาว่างที่มีในการเดินทาง สนทนากับเพื่อนที่มีมุมมองความคิดที่น่าสนใจ และอ่านหนังสือมากมาย ซึ่งปกติผมจะไม่ค่อยซื้อหนังสือที่ดูตลาดมากนัก เช่น ลาออกซะ…ถ้าอยาก… แต่ด้วยเวลานั้นกำลังยืนรอพ่อจอดรถอยู่ก็เลยเดินเข้าร้านนายอินทร์แล้วบังเอิญเจอหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า
“จงหางานที่มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้” พลิกๆ ดูก็รู้สึกว่า เอ๊ะ เข้าท่า ดูต่างไปจากหนังสือยอดฮิต Best Seller ในร้านหนังสือไทยทั่วๆไป
คือชื่อหนังสือมันค่อนข้างโดนใจผม เพราะผมมีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์เรามีความแตกต่างกันมาเหลือเกิน มากจนเกินกว่าที่จะมีอาชีพเพียงไม่กี่อาชีพบนโลกนี้
ผมขอหยิบยกบางประโยคในหนังสือซึ่งผมอยากขยายความเพิ่มเติมออกมานะครับ
"อย่าคิดว่าตัวเองจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ เพราะถ้าคุณทำงานอย่างมีความสุข คุณก็ประสบความสำเร็จ หากทำงานโดยมีความกระตืรือร้นอยู่เสมอ นั่นก็ประสบความสำเร็จแล้ว"
นั่นก็ย้อนกลับไปเรื่องที่ว่า แล้วมีเงินมากเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าพอ แต่ที่แน่ๆ ถ้าคุณสนุกกับงานในทุกๆ วัน ผมเรียกสิ่งนั้นว่าคุณประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ต้องมีบ้านหลังใหญ่ หรือรถคันงาม เรื่องนี้อาจจะขึ้นกับระดับวัตถุนิยมของแต่ละคน แต่จากประสบการณ์ของผม ถึงงานนั้นจะไม่ได้ให้เงินมากมายนัก แต่มันมักจะทำให้เราอยู่ได้โดยไม่อดอยาก ซึ่งอาจต้องพบกันครึ่งทางระหว่างสองสิ่งนี้
"ที่เกาหลี ทุกคนตั้งใจที่จะใส่เสื้อสีเดียวกับคนอื่น แต่ที่นี่ทุกคนอยากจะเป็นคนที่แตกต่าง ทำงานที่คนอื่นทำไม่ได้ และเลือกสีสันที่เป็นของตัวเอง"
ตรงนี้คล้ายเมืองไทยมากครับ ทุกคนอยากใส่เสื้อกาวน์เหมือนกัน (หมอ) ทุกคนอยากทำงานในบริษัทฝรั่งที่ให้เงินมากเหมือนๆ กัน แต่ที่ Stanford สอนให้ทุกคนเป็นคนที่ “แตกต่าง” ทำงานที่มีตัวเองสนใจและสามารถทำมันให้แตกต่างและโดดเด่นได้จริงๆ
"เมื่อก่อนฉันคิดว่างานที่หาเงินได้เยอะคืออาชีพในฝัน แต่ตอนนี้มันต่างออกไป สิ่งที่เรียกว่าอาชีพที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แค่เป็นงานที่เราทำได้โดยไม่อาย ได้รับความรู้สึกพอใจ นั่นต่างหากคืออาชีพในฝัน"
มันเป็นความคาดหวังของสังคมรอบข้างซึ่งเป็นค่านิยมบวกกับลัทธิวัตถุนิยม ทำให้คนเราต้องเลือกทำอาชีพที่ดูมีเกียรติ และหาเงินได้มากๆ ประโยคนี้ทำให้ผมตาสว่างขึ้นมากว่าถ้าเราปลดปล่อยความคาดหวังเหล่านั้นและออกเดินตามหัวใจตนเอง แม้มันจะขรุขระ แต่มันก็คือตัวเรา อาจได้เงินไม่เยอะ ก็ลดค่าใช้จ่าย ความสุขอยู่แค่ตรงนี้ แค่ตรงนี้จริงๆ
หลังจากนั้นผมก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมีหนังสืออีกเล่มของคิมรันโดที่ดังกว่า ออกมาก่อนหน้านี้ชื่อว่า “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด”
เช่นเคย ผมขอหยิบยกบางประโยคในหนังสือซึ่งผมอยากขยายความเพิ่มเติมออกมานะครับ
"ปัจจุบันนี้ความสำคัญของวิชาการไม่ได้ขึ้นอยู่กับอันดับคะแนนสูงต่ำของคณะ ภาควิชา หรือวิชาเอกอีกแล้ว แต่คือทักษะที่สามารถนำความรู้จากวิชาเอกของตัวเองไปปรับใช้กับความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป"
คนจำนวนมากหลงใหลได้ปลื้มว่าถ้าฉันสามารถสอบเข้าคณะนี้ได้นั่นแปลว่าฉันเก่งกว่าคณะอื่นที่คะแนนต่ำกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยเสมอมา เช่น คนสอบเข้าแพทย์ได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์, คนสอบเข้าบัญชีได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนสอบเข้าคณะสังคมสงเคราะห์ ซึ่งจริงๆ แล้วสังคม (โดยเฉพาะยุคนี้) มีพลวัตที่สูงมาก ความต้องการของสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประโยคนี้จึงพูดแทนทุกอย่างแล้วว่า ทักษะที่คุณมีแล้วมันตอบโจทย์สังคมต่างหากที่สำคัญไปกว่าคะแนนสอบซึ่งเป็นเพียงค่านิยมลวงๆ ให้คนเดินไปตามๆกัน สิ่งที่พบในปัจจุบันจึงมีธุรกิจ Startup ที่สร้างผลิตภัณฑ์และบริการออกมาอย่าหลากหลายมากมายเพื่อตอบสนอง Lifestyle ของคนที่เปลี่ยนไป
"ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น"
คนจำนวนมากโตมากับการเปรียบเทียบ ทั้งๆ ที่เส้นทางของแต่ละคนมี factors มากมายมหาศาล คนเราที่กำลังเดินตามสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันนั้นก็เหมือนดอกไม้ที่ผลิบานในแต่ละฤดูกาล ดอกไม้แต่ละชนิดย่อมใช้เวลาในการผลิบานไม่เท่ากัน เด็กสมัยนี้ (สมัยผมด้วยนั่นแหละ) ถูกปลูกฝังให้ต้องรีบประสบความสำเร็จให้เร็วซะจนลืมไปว่าความสำเร็จของคนไม่ได้วัดกันว่าคุณสำเร็จเร็วเท่าไหร่ แต่วัดกันที่ความสำเร็จที่ดีที่สุดของคุณต่างหาก ดังเช่น ความสำเร็จของ Steve Jobs ในวัยหนุ่มนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวัย 56 ปีของเขา
"ทุกคนขาดการพิจารณาและค้นหาว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของตัวเองคืออะไร มุ่งแต่หางานและชีวิตที่มั่นคง"
ผมเคยถามนักศึกษาแพทย์คนนึงซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อนว่า “ทำไมถึงเลือกเรียนหมอล่ะ” คำตอบคือ “ตอนนั้นผมไม่รู้จะเรียนอะไร” นี่คือปัญหาอันยิ่งใหญ่มาก เพราะเราอาจได้หมอระดับ average มาหนึ่งคน แต่เราอาจสูญเสียคนที่มีความสามารถสุดยอดในอีกด้าน ซึ่งสังคมมักจะบีบทางเลือกให้คนเลือกงานที่มั่นคง รายได้ที่ดี ก่อนสิ่งอื่นใด
นี่เป็นบางส่วนของหนังสือทั้งสองเล่มที่บังเอิญมาถูกเวลาในวันที่ผมรู้สึกหดหู่กับชีวิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมหวังว่าข้อคิดต่างๆ เหล่านี้จะเกิดประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บผมนะครับ >> http://kongwiz.com/2014/12/คิมรันโด/