บางทีภาษานั่นเองที่ทำให้เราเกิดความเข้าใจผิดต่อคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเราจงลืมคำว่า อัตตา อนัตตา เสีย แล้วมาทำความเข้าใจถึงสถาวะธรรมตามที่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ โดยใช้ภาษาไทยง่ายๆที่เราคนไทยทุกคนจะสามารถเข้าใจได้
เมื่อเราพิจารณาถึงความจริงของธรรมชาติ โดยไม่มีความเชื่อเข้ามาแทรกแซง เราก็จะพบว่า ธรรมชาตินี้มีกฏพื้นฐานที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ซึ่งกฏนั้นก็คือกฏง่ายๆที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จะต้องมีเหตุและปัจจัย มาปรุงแต่งหรือร่วมกันสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น"
ที่นี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราเข้าใจว่า "เกิดขึ้น" หรือเปล่า? คือคำว่าเกิดขึ้น หมายถึง จากที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมามีขึ้นทีหลัง อย่างเช่น เมื่อเราเคาะระฆัง เสียงระฆังจึงเกิดขึ้น เป็นต้น ส่วนคำว่า ปัจจัย ก็คือเหตุนั่นเอง แต่เป็นเหตุย่อยๆ หรือสิ่งที่มาสวนับสนุนเหตุ อย่างเช่น เมื่อมีการเคาะระฆังเป็นเหตุ และมีอากาศเป็นปัจจัย จึงเกิดเสียงระฆังขึ้น เป็นต้น ถ้าไม่มีการเคาะ ก็ไม่มีเสียงระฆัง หรือแม้มีการเคาะ แต่ถ้าไม่มีอากาศเป็นสื่อ (เช่นอยู่ในสุญญกาศ) ก็ไม่มีเสียงระฆัง เป็นต้น ส่วนคำว่า ปรุงแต่ง ก็หมายถึง การทำหรือสร้างหรือประกอบโดยธรรมชาติ อย่างเช่น เมื่อเคาะระฆัง ก็ทำให้เกิดเสียงระฆังขึ้น เป็นต้น
เมื่อเข้าใจคำเหล่านี้แล้วก็ลองพิจารณาดูว่า มีสิ่งใดบ้างที่ "ไม่มีการเกิดขึ้น" หรือ "ไม่ต้องอาศัยเหตุแลปัจจัย" ซึ่งสิ่งที่ไม่มีการเกิดขึ้นและไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยก็มีเพียง ความว่าง, กฏของธรรมชาติ, และความดับ เท่านั้น เพราะสิ่งทั้งสามนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่มีการเกิดดับ และไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมา (คำว่า "เกิดขึ้น" กับคำว่า "มีอยู่" นี้มีความหมายไม่เหมือนกัน คำว่ามีอยู่นี้หมายถึง มันมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องปรุงแต่งหรือสร้างมันขึ้นมา หรือเรียกว่ามันมีอยู่แล้วเป็นนิรันดร ซึ่งก็เท่ากับไม่มีเวลา)
เมื่อเข้าใจแล้วว่ามีเพียง ความว่าง, กฏของธรรมชาติ, และความดับ เท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดขึ้นและไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ดังนั้นทุกสิ่งนอกจากนี้ก็ต้องเป็น "สิ่งที่มีการเกิดขึ้นทั้งสิ้น" และเมื่อมีการเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น อย่างเช่น แสง เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย สิ่งกระทบใจ การรับรู้ ความรู้สึก ความจำ การคิดนึกปรุงแต่งของจิต เป็นต้น
หรือจะยกตัวอย่างง่ายๆก็คือ ร่างกาย กับจิตใจ ของเราเอง คือร่างกายก็เป็นสิ่งปรุงแต่งมาจากอาหาร น้ำ ความร้อน อากาศ ซึ่งแต่เดิมร่างกายอขงเรานั้นไม่มี แต่เมื่อเชื้อของพ่อไปผสมกับไข่ของแม่ จึงเกิดร่างกายขึ้นมา ซึ่งนี่แสดงถึงว่า ร่างกายของเรานี้มันไม่ได้มีอยู่จริง คำว่าร่างกายนี้มันเป็นแค่คำสมมติเรียกกลุ่มก้อนวัตถุที่มีชีวิตว่า "ร่างกาย" เท่านั้นเพื่อให้คนเข้าใจ ถ้าจะเรียกจริงๆก็ต้องเรียกว่า "สิ่งปรุงแต่งจากธาตุ ๔" ซึ่งแสดงถึงความจริงที่ลึกซึ้งว่า มันไม่ใช่ร่างกายจริงๆ (นี่คือความหมายของคำว่าอนัตตา ที่แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน)
แม้แต่จิตใจ ที่หมายถึง สิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้ นี้ก็มีลักษณะเหมือนกันกับร่างกายนั่นเอง คือจิตใจก็ต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายเพื่อปรุงแต่งการรับรู้ (วิญญาณ) ให้เกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ (คือที่ดา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ของร่างกาย เมื่อเกิดการรับรู้ขึ้นมาแล้วก็จะเกิดการจำสิ่งที่รับรู้นั้นได้ (สัญญา) เมื่อจำได้แล้วจึงจะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นขึ้นมาด้วยทันที (เวทนา) และเมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วก็จะมีการคิดหรือพิจารณา หรือเกิดความยึดถือ หรือความอยาก เป็นต้นต่อไปทันที (สังขาร) ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราสมมติเรียกว่า จิต หรือ ใจ นั้นเอง ซึ่งนี่แสดงถึงว่า จิตใจนี้ก็ต้องอาศัยร่างกายมาเป็นเหตุ และมีความทรงจำที่สมองบันทึกเอาไว้เป็นปัจจัย จึงปรุงแต่งให้เกิดจิตใจขึ้นมา เมื่อเวลาหลับสนิทและไม่ฝันก็จะไม่มีจิต เมื่อตื่นขึ้นมามีความรู้สึกนึกคิด จึงจะเกิดจิตขึ้นมาซึ่งนีแสดงถึงความจริงที่ลึกซึ้งว่า ตัวตนของจิตเองจริงๆนั้นมันไม่มี มีแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเท่านั้น จึงเรียกได้ว่า มันไม่ใช่จิตจริงๆ (จิตไม่ใช่ตัวตน) เพราะมันเป็นแค่ "สิ่งปรุงแต่งจากการรับรู้และควาทรงจำ" เท่านั้น
จากที่ได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ก็คือการอธิบายให้เข้าใจคำว่า อนัตตา นั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม เรากลับเชื่อกันว่า จะมีสิ่งที่ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยมันก็เกิดขึ้นมาได้ และตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ หรือเรียกว่ามีสิ่งที่เป็นอมตะ โดยร่างกายนั้นเราก็พอจะเข้าใจว่ามันไม่เป็นอมตะ เพราะร่างกายทั้งหลายนั้นต้องตายหรรือแตกสลายไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว เราจึงรู้ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตนจริงๆ เป็นแค่เพียงสิ่งปรุงแต่งให้เกิดเป็นตัวตนขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่จิตใจนี้เรากลับเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นตัวตนจริงๆหรือเป็นตัวตนอมตะ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกายมันก็เกิดขึ้นมาและตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นมันจึงสามารถที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้ (หรือเมื่อมันดับจากร่างกายนี้แล้วมันก็จะเกิดขึ้นมาได้เหมือนเดิมในร่างกายใหม่ได้อีก) ซึ่งนีคือความเข้าใจว่าจิตเป็นอมตะ หรือเป็นตัวตนของมันเอง ซึ่งก็คือความเชื่อว่า "จิตเป็นอัตตา" ซึ่งมันขัดแย้งกับความจริงที่ว่า “จิตเป็นอนัตตา”
ความเชื่อว่าจิตเป็นอัตตานี้ไม่ช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าหลังพุทธปรินิพพานมาแล้วไม่นาน จึงทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เรื่องผี เทวดา นางฟ้า และเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้นขึ้นมา อย่างที่ชาวพุทธในปัจจุบันเกือบทั้งหมดกำลังเชื่อกันอยู่ จึงขอให้ชาวพุทธพยายามศึกษาเรื่องอัตตาของพรหามณ์และอนัตตาของพระพุทธเจ้านี้ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากคำสอนที่แท้จริงอขงพระพุทธเจ้ากันต่อไป
ลืมคำว่า อัตตา อนัตตา เสีย แล้วมาทำความเข้าใจถึงสถาวะธรรมตามที่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ
เมื่อเราพิจารณาถึงความจริงของธรรมชาติ โดยไม่มีความเชื่อเข้ามาแทรกแซง เราก็จะพบว่า ธรรมชาตินี้มีกฏพื้นฐานที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ซึ่งกฏนั้นก็คือกฏง่ายๆที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จะต้องมีเหตุและปัจจัย มาปรุงแต่งหรือร่วมกันสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น"
ที่นี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราเข้าใจว่า "เกิดขึ้น" หรือเปล่า? คือคำว่าเกิดขึ้น หมายถึง จากที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมามีขึ้นทีหลัง อย่างเช่น เมื่อเราเคาะระฆัง เสียงระฆังจึงเกิดขึ้น เป็นต้น ส่วนคำว่า ปัจจัย ก็คือเหตุนั่นเอง แต่เป็นเหตุย่อยๆ หรือสิ่งที่มาสวนับสนุนเหตุ อย่างเช่น เมื่อมีการเคาะระฆังเป็นเหตุ และมีอากาศเป็นปัจจัย จึงเกิดเสียงระฆังขึ้น เป็นต้น ถ้าไม่มีการเคาะ ก็ไม่มีเสียงระฆัง หรือแม้มีการเคาะ แต่ถ้าไม่มีอากาศเป็นสื่อ (เช่นอยู่ในสุญญกาศ) ก็ไม่มีเสียงระฆัง เป็นต้น ส่วนคำว่า ปรุงแต่ง ก็หมายถึง การทำหรือสร้างหรือประกอบโดยธรรมชาติ อย่างเช่น เมื่อเคาะระฆัง ก็ทำให้เกิดเสียงระฆังขึ้น เป็นต้น
เมื่อเข้าใจคำเหล่านี้แล้วก็ลองพิจารณาดูว่า มีสิ่งใดบ้างที่ "ไม่มีการเกิดขึ้น" หรือ "ไม่ต้องอาศัยเหตุแลปัจจัย" ซึ่งสิ่งที่ไม่มีการเกิดขึ้นและไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยก็มีเพียง ความว่าง, กฏของธรรมชาติ, และความดับ เท่านั้น เพราะสิ่งทั้งสามนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่มีการเกิดดับ และไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมา (คำว่า "เกิดขึ้น" กับคำว่า "มีอยู่" นี้มีความหมายไม่เหมือนกัน คำว่ามีอยู่นี้หมายถึง มันมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องปรุงแต่งหรือสร้างมันขึ้นมา หรือเรียกว่ามันมีอยู่แล้วเป็นนิรันดร ซึ่งก็เท่ากับไม่มีเวลา)
เมื่อเข้าใจแล้วว่ามีเพียง ความว่าง, กฏของธรรมชาติ, และความดับ เท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดขึ้นและไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ดังนั้นทุกสิ่งนอกจากนี้ก็ต้องเป็น "สิ่งที่มีการเกิดขึ้นทั้งสิ้น" และเมื่อมีการเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น อย่างเช่น แสง เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย สิ่งกระทบใจ การรับรู้ ความรู้สึก ความจำ การคิดนึกปรุงแต่งของจิต เป็นต้น
หรือจะยกตัวอย่างง่ายๆก็คือ ร่างกาย กับจิตใจ ของเราเอง คือร่างกายก็เป็นสิ่งปรุงแต่งมาจากอาหาร น้ำ ความร้อน อากาศ ซึ่งแต่เดิมร่างกายอขงเรานั้นไม่มี แต่เมื่อเชื้อของพ่อไปผสมกับไข่ของแม่ จึงเกิดร่างกายขึ้นมา ซึ่งนี่แสดงถึงว่า ร่างกายของเรานี้มันไม่ได้มีอยู่จริง คำว่าร่างกายนี้มันเป็นแค่คำสมมติเรียกกลุ่มก้อนวัตถุที่มีชีวิตว่า "ร่างกาย" เท่านั้นเพื่อให้คนเข้าใจ ถ้าจะเรียกจริงๆก็ต้องเรียกว่า "สิ่งปรุงแต่งจากธาตุ ๔" ซึ่งแสดงถึงความจริงที่ลึกซึ้งว่า มันไม่ใช่ร่างกายจริงๆ (นี่คือความหมายของคำว่าอนัตตา ที่แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน)
แม้แต่จิตใจ ที่หมายถึง สิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้ นี้ก็มีลักษณะเหมือนกันกับร่างกายนั่นเอง คือจิตใจก็ต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายเพื่อปรุงแต่งการรับรู้ (วิญญาณ) ให้เกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ (คือที่ดา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ของร่างกาย เมื่อเกิดการรับรู้ขึ้นมาแล้วก็จะเกิดการจำสิ่งที่รับรู้นั้นได้ (สัญญา) เมื่อจำได้แล้วจึงจะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นขึ้นมาด้วยทันที (เวทนา) และเมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วก็จะมีการคิดหรือพิจารณา หรือเกิดความยึดถือ หรือความอยาก เป็นต้นต่อไปทันที (สังขาร) ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราสมมติเรียกว่า จิต หรือ ใจ นั้นเอง ซึ่งนี่แสดงถึงว่า จิตใจนี้ก็ต้องอาศัยร่างกายมาเป็นเหตุ และมีความทรงจำที่สมองบันทึกเอาไว้เป็นปัจจัย จึงปรุงแต่งให้เกิดจิตใจขึ้นมา เมื่อเวลาหลับสนิทและไม่ฝันก็จะไม่มีจิต เมื่อตื่นขึ้นมามีความรู้สึกนึกคิด จึงจะเกิดจิตขึ้นมาซึ่งนีแสดงถึงความจริงที่ลึกซึ้งว่า ตัวตนของจิตเองจริงๆนั้นมันไม่มี มีแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเท่านั้น จึงเรียกได้ว่า มันไม่ใช่จิตจริงๆ (จิตไม่ใช่ตัวตน) เพราะมันเป็นแค่ "สิ่งปรุงแต่งจากการรับรู้และควาทรงจำ" เท่านั้น
จากที่ได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ก็คือการอธิบายให้เข้าใจคำว่า อนัตตา นั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม เรากลับเชื่อกันว่า จะมีสิ่งที่ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยมันก็เกิดขึ้นมาได้ และตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ หรือเรียกว่ามีสิ่งที่เป็นอมตะ โดยร่างกายนั้นเราก็พอจะเข้าใจว่ามันไม่เป็นอมตะ เพราะร่างกายทั้งหลายนั้นต้องตายหรรือแตกสลายไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว เราจึงรู้ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตนจริงๆ เป็นแค่เพียงสิ่งปรุงแต่งให้เกิดเป็นตัวตนขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่จิตใจนี้เรากลับเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นตัวตนจริงๆหรือเป็นตัวตนอมตะ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกายมันก็เกิดขึ้นมาและตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นมันจึงสามารถที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้ (หรือเมื่อมันดับจากร่างกายนี้แล้วมันก็จะเกิดขึ้นมาได้เหมือนเดิมในร่างกายใหม่ได้อีก) ซึ่งนีคือความเข้าใจว่าจิตเป็นอมตะ หรือเป็นตัวตนของมันเอง ซึ่งก็คือความเชื่อว่า "จิตเป็นอัตตา" ซึ่งมันขัดแย้งกับความจริงที่ว่า “จิตเป็นอนัตตา”
ความเชื่อว่าจิตเป็นอัตตานี้ไม่ช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าหลังพุทธปรินิพพานมาแล้วไม่นาน จึงทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เรื่องผี เทวดา นางฟ้า และเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้นขึ้นมา อย่างที่ชาวพุทธในปัจจุบันเกือบทั้งหมดกำลังเชื่อกันอยู่ จึงขอให้ชาวพุทธพยายามศึกษาเรื่องอัตตาของพรหามณ์และอนัตตาของพระพุทธเจ้านี้ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากคำสอนที่แท้จริงอขงพระพุทธเจ้ากันต่อไป