เรากำลังจะจบปริญญาตรีในปีหน้าค่ะ
แล้วก็ได้ไปสมัครงานตามงานที่คณะได้จัดให้ผู้ประกอบการมาตั้งบูธรับสมัครได้สักพักนึงแล้ว
ที่ผ่านมาคิดตลอดว่าอยากทำงานองค์กรระหว่างประเทศ หรืออยากทำงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา เพราะเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง
พยายามสอบไปโครงการแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศบ่อยๆ อยากสร้างโปรไฟล์ให้ตัวเองเพื่องานนี้ตลอด
เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี เวียดนาม เพื่ออัพเกรดตัวเอง
จนมาสะดุดกับที่บูธนึง เป็นโรงพยาบาลสัตว์จากบ้านเกิดเราเอง เราเคยเอาหมาไปรักษาที่นี่แล้วเราเกิดสงสัยในการรักษาเลยถามเค้าทั้งๆที่ยังเป็นนิสิตอยู่นี่แหละค่ะ แล้วเจ้าของโรงพยาบาลเค้าก็เลยถามว่านี่เรียนที่ไหน ปีอะไรแล้ว เราก็ลืมๆเหตุการณ์นี้ไปแล้ว จนมาเจอเค้าอีกทีที่งานนี้ค่ะ
เค้าก็บอกว่าจำเราได้ แล้วก็ชวนเรากรอกใบสมัคร
เราก็กรอกไปเล่นๆ แล้วระหว่างนั้นเราก็คิดค่ะ ว่าสมัครไปก่อนไม่เป็นไรหรอก แต่พอลองสัมภาษณ์แล้วรู้สึกดีนะคะ รู้สึกชอบแล้วก็อยากลองเป็นหมอสัตว์เล็กดูทั้งๆที่คิดอยากเป็นทางด้านบริษัทมากกว่ามาตลอด
พอจบงานหลายวันมานี้เราก็โดนเพื่อนหลายคนถามค่ะว่า
-จะกลับไปทำงานบ้าน ไม่ดักดานเหรอ ไม่เสียดายที่ตัวเองก็มีศักยภาพโกอินเตอร์ได้
-อยู่บ้านแล้วไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ มีปัญหากับแฟนแม่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะอยู่ได้เหรอ
-คนอื่นเค้าทำงานกทม.กัน รพ.ใหญ่ๆ นี่แกไปเริ่มที่แรกก็โรงบาลบ้านนอกเลยเหรอ
บลาๆ มันเลยทำให้เราฝ่อๆ แล้วก็แอบสับสนเล็กน้อย
สำหรับเรา สาเหตุที่เราเลือกที่จะทำที่นี่แล้วกลับบ้านเพราะว่า
-เราคิดว่าก็ลองดู แถมบ้านเราก็อยู่แถวๆชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งน่าจะได้มีโอกาสในการทำธุรกิจอะไรที่เอาข้อได้เปรียบของเออีซีนะคะ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ว่าจะลองไปฟังพวกประชุม อบรมอะไรบ่อยๆ เผื่อจะได้แนวคิดบ้าง เพราะที่บ้านก็มีที่ดินอยู่หลายแปลงกระจายๆตามภาคเหนืออยู่ค่ะ
-เจ้าของโรงบาลเป็นอาจารย์ในมหาลัยชื่อดังทางภาคเหนือสอนเฉพาะทางอยู่ ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าจะสอนเราให้ดีเพราะว่าเด็กมหาลัยเรามักจะถูกบริษัทหรือโรงพยาบาลดังๆในภาคกลางดึงไปกันหมดแล้ว เราคนแรกเลยที่หลุดมาถึงเค้า จากที่สัมภาษณ์กันเรารู้สึกว่าเค้าให้เกียรติเรานะคะ
แล้วโรงพยาบาลของเค้าก็ไม่ได้แย่อะไร ก็มีเครื่องมือครบอยู่ระดับหนึ่ง
-เราอยากปรับความเข้าใจกับที่บ้านค่ะ ต้องเท้าความว่าเมื่อหกปีก่อน เราอยากเอนท์เข้าคณะนึง แต่แม่เราต่อต้านมาก จนเราต้องเรียนด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ แต่เราก็ประชดด้วยการไม่ค่อยกลับบ้าน หรือทำตัวเย็นชา จนเมื่อต้นปีคุณตาเราเสีย เราเองก็ช็อคมากเพราะว่าเราเองก็มีเรื่องผิดใจกับคุณตาเราเหมือนกัน เหลียวดูรอบๆตัวเรา แม่เรา ป้าเราก็แก่ลงมากเลย เราอยากดูแลเค้าก่อนที่จะสายเกินไปอ่ะค่ะ
ตอนเค้ายังมีแรงเราก็อยากพาเค้าไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เค้าอยากจะไป แต่ก็ไม่เคยได้ไปกัน
เราเลยเริ่มต้นเก็บตังค์แล้วก็กำลังจะพาที่บ้านไปเที่ยวเวียดนามช่วงปีใหม่นี้ค่ะ
-มีบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานก็ลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปได้ จะได้มีเงินเก็บเยอะๆ แต่อาจจะไม่มีอิสระตรงที่ว่าไม่สามารถแบ็คแพ็คไปเที่ยวยาวๆได้เหมือนตอนปิดเทอมอีกแล้ว
อยากทราบว่าที่เราคิดนี่ เราคิดสั้นไปรึเปล่าคะ หรือมีจุดไหนที่เราควรจะคำนึงถึงมากๆบ้างคะ สำหรับคนที่กำลังจะเรียนจบ แล้วหางานแรกทำอ่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะ
แท็กมนุษย์เงินเดือนเพราะกำลังจะเป็นมนุษย์เงินเดือน
แท็กเออีซีเพราะว่ากล่าวถึงเออีซี
เมื่อโดนคนรอบข้างท้วงติงเรื่องจะไปทำงานที่บ้านเกิดค่ะ เราสงสัยว่าเราคิดสั้นไปจริงๆเหรอคะ
แล้วก็ได้ไปสมัครงานตามงานที่คณะได้จัดให้ผู้ประกอบการมาตั้งบูธรับสมัครได้สักพักนึงแล้ว
ที่ผ่านมาคิดตลอดว่าอยากทำงานองค์กรระหว่างประเทศ หรืออยากทำงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา เพราะเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง
พยายามสอบไปโครงการแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศบ่อยๆ อยากสร้างโปรไฟล์ให้ตัวเองเพื่องานนี้ตลอด
เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี เวียดนาม เพื่ออัพเกรดตัวเอง
จนมาสะดุดกับที่บูธนึง เป็นโรงพยาบาลสัตว์จากบ้านเกิดเราเอง เราเคยเอาหมาไปรักษาที่นี่แล้วเราเกิดสงสัยในการรักษาเลยถามเค้าทั้งๆที่ยังเป็นนิสิตอยู่นี่แหละค่ะ แล้วเจ้าของโรงพยาบาลเค้าก็เลยถามว่านี่เรียนที่ไหน ปีอะไรแล้ว เราก็ลืมๆเหตุการณ์นี้ไปแล้ว จนมาเจอเค้าอีกทีที่งานนี้ค่ะ
เค้าก็บอกว่าจำเราได้ แล้วก็ชวนเรากรอกใบสมัคร
เราก็กรอกไปเล่นๆ แล้วระหว่างนั้นเราก็คิดค่ะ ว่าสมัครไปก่อนไม่เป็นไรหรอก แต่พอลองสัมภาษณ์แล้วรู้สึกดีนะคะ รู้สึกชอบแล้วก็อยากลองเป็นหมอสัตว์เล็กดูทั้งๆที่คิดอยากเป็นทางด้านบริษัทมากกว่ามาตลอด
พอจบงานหลายวันมานี้เราก็โดนเพื่อนหลายคนถามค่ะว่า
-จะกลับไปทำงานบ้าน ไม่ดักดานเหรอ ไม่เสียดายที่ตัวเองก็มีศักยภาพโกอินเตอร์ได้
-อยู่บ้านแล้วไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ มีปัญหากับแฟนแม่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะอยู่ได้เหรอ
-คนอื่นเค้าทำงานกทม.กัน รพ.ใหญ่ๆ นี่แกไปเริ่มที่แรกก็โรงบาลบ้านนอกเลยเหรอ
บลาๆ มันเลยทำให้เราฝ่อๆ แล้วก็แอบสับสนเล็กน้อย
สำหรับเรา สาเหตุที่เราเลือกที่จะทำที่นี่แล้วกลับบ้านเพราะว่า
-เราคิดว่าก็ลองดู แถมบ้านเราก็อยู่แถวๆชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งน่าจะได้มีโอกาสในการทำธุรกิจอะไรที่เอาข้อได้เปรียบของเออีซีนะคะ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ว่าจะลองไปฟังพวกประชุม อบรมอะไรบ่อยๆ เผื่อจะได้แนวคิดบ้าง เพราะที่บ้านก็มีที่ดินอยู่หลายแปลงกระจายๆตามภาคเหนืออยู่ค่ะ
-เจ้าของโรงบาลเป็นอาจารย์ในมหาลัยชื่อดังทางภาคเหนือสอนเฉพาะทางอยู่ ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าจะสอนเราให้ดีเพราะว่าเด็กมหาลัยเรามักจะถูกบริษัทหรือโรงพยาบาลดังๆในภาคกลางดึงไปกันหมดแล้ว เราคนแรกเลยที่หลุดมาถึงเค้า จากที่สัมภาษณ์กันเรารู้สึกว่าเค้าให้เกียรติเรานะคะ
แล้วโรงพยาบาลของเค้าก็ไม่ได้แย่อะไร ก็มีเครื่องมือครบอยู่ระดับหนึ่ง
-เราอยากปรับความเข้าใจกับที่บ้านค่ะ ต้องเท้าความว่าเมื่อหกปีก่อน เราอยากเอนท์เข้าคณะนึง แต่แม่เราต่อต้านมาก จนเราต้องเรียนด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ แต่เราก็ประชดด้วยการไม่ค่อยกลับบ้าน หรือทำตัวเย็นชา จนเมื่อต้นปีคุณตาเราเสีย เราเองก็ช็อคมากเพราะว่าเราเองก็มีเรื่องผิดใจกับคุณตาเราเหมือนกัน เหลียวดูรอบๆตัวเรา แม่เรา ป้าเราก็แก่ลงมากเลย เราอยากดูแลเค้าก่อนที่จะสายเกินไปอ่ะค่ะ
ตอนเค้ายังมีแรงเราก็อยากพาเค้าไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เค้าอยากจะไป แต่ก็ไม่เคยได้ไปกัน
เราเลยเริ่มต้นเก็บตังค์แล้วก็กำลังจะพาที่บ้านไปเที่ยวเวียดนามช่วงปีใหม่นี้ค่ะ
-มีบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานก็ลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปได้ จะได้มีเงินเก็บเยอะๆ แต่อาจจะไม่มีอิสระตรงที่ว่าไม่สามารถแบ็คแพ็คไปเที่ยวยาวๆได้เหมือนตอนปิดเทอมอีกแล้ว
อยากทราบว่าที่เราคิดนี่ เราคิดสั้นไปรึเปล่าคะ หรือมีจุดไหนที่เราควรจะคำนึงถึงมากๆบ้างคะ สำหรับคนที่กำลังจะเรียนจบ แล้วหางานแรกทำอ่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะ
แท็กมนุษย์เงินเดือนเพราะกำลังจะเป็นมนุษย์เงินเดือน
แท็กเออีซีเพราะว่ากล่าวถึงเออีซี