Middle-earth Tales ดำเนินมาถึงตอนที่สี่แล้ว (แบบงงๆ เขียนเองตอบเอง) วันนี้เราจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครสำคัญสองราย ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเนื้อเรื่องนับตั้งแต่ยุคที่หนึ่ง จนกระทั่งสิ้นสุดยุคที่สาม ทั้งสองคือ เอล์ฟลอร์ดและเลดี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตำนานยุคที่สามของเรา ลอร์ดเคเลบอร์นและเลดี้กาลาเดรียลนั่นเอง
ขอออกตัวก่อนว่าตำนานบทนี้แตกต่างจากตำนานบทอื่นๆตรงที่มันถูกปรับแก้เยอะมาก และโดนแก้มาโดยตลอด จนกระทั่งคริสโตเฟอร์ โทลคีนผู้เรียบเรียงถึงกับเอ่ยปากว่า เป็นตำนานบทที่ซับซ้อนมากที่สุดในบรรดาปกรณัมทั้งหมดของมิดเดิ้ลเอิร์ธ
กาลาเดรียลในวาลินอร์
บนแผ่นดินอาร์มัน (Arman) ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าชายฟินาร์ฟินแห่งโนลดอร์ (Finarfin) โอรสองค์เล็กของกษัตริย์ฟินเว (Finwe) และอินดีส (Indis) ชาววันยาร์ (Vanyar) ทรงอภิเษกกับเออาร์เวน (Earwen) พระธิดาของกษัตริย์โอลเว (Olwe) แห่งชาวเทเลริน (Telerin) ทั้งสองให้กำเนิดพระโอรสสี่พระองค์ ฟินร็อด (Finrod) โอโรเดร็ธ (Orodreth) อังกร็อด (Angrod) และอายก์นอร์ (Aegnor)และแล้วในช่วงปีที่ 1362 ของยุคแห่งทวิพฤกษา (Year of the Trees) เออาร์เวนก็ให้กำเนิดเจ้าหญิงชาวพระองค์หนึ่ง นางมีเกศางดงามดุจแสงทองแห่งเลาเรลิน (Laurelin) เฉกเช่นพระอัยยิกาอินดีส ผู้เป็นชาววันยาร์ ขณะเดียวกันก็มีประกายเงินดุจแสงแห่งพฤกษาเทลเพริออน (Telperion) อันมาจากเชื้อสายฝั่งเทเลรินของพระมารดา เจ้าหญิงน้อยได้รับการกล่าวขานว่างดงามที่สุดในบรรดาราชนิกุลแห่งฟินเว (House of Finwe) นางได้รับนามจากฟินาร์ฟิน (Finarfin) พระบิดาว่า อาร์ทานิส (Artanis) สตรีสูงศักดิ์ และพระมารดาเรียกนางว่า เนอร์เวน (Nerwen) สตรีผู้ทัดเทียมบุรุษ ด้วยนางเห็นว่าธิดาผู้นี้มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งไม่แพ้บุรุษใด

เหล่าโอรสธิดาของฟินาร์ฟินนั้นมีปัญญาอันฉียบแหลมและแข็งแกร่งเฉกเช่นชาวโนลดอร์ งดงามและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอันเป็นลักษณะของชาววันยาร์ มีความรักในห้วงสมุทรและใฝ่ฝันถึงดินแดนโพ้นทะเลเช่นชาวเทเลรีสายเลือดฝ่ายมารดา หากแต่ในบรรดาโนลดอร์ทั้งหมดนั้นกาลาเดรียลคือผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดยกเว้นแต่พียง เฟอาร์นอร์ (Feanor) ผู้เป็นลุงของนาง นางนั้นเนเลิศทั้งกายและจิตใจ สิ่งที่งดงามเป็นเลิศคือเรือนผมของนางที่งดงามที่สุดในบรรดาบุตรแห่งพิภพ พวกเอลดาร์กล่าวไว้ว่าเส้นผมของนางนั้นราวกับสะท้อนแสงผสานอันงามพิสุทธิ์ของทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ไว้ กล่าวกันว่าความงามของเรือนผมของนางดลบันดาลใจเฟอานอร์ให้รังสรรค์มหาไตรมณีซิลมาริล (Silmaril) ขึ้นจากแสงของทวิพฤกษานี้เอง ด้วยเขาเอ่ยปากขอเส้นผมจากเศียรนางเพียงหนึ่งเส้นเขาเพรียรขอถึงสามคราและนางได้ตอบปฏิเสธเขาทั้งสามครั้ง ด้วยนางมองเห็นถึงจิตใจของผู้คนและนางตระหนักถึงจิตใจอันดำมืดของผู้เป็นลุง เช่นนี้เองสองเอลดาร์ผู้เลิศเลอที่สุดในพิภพจึงเป็นอริต่อกันนับแต่นั้นมา
กาลาเดรียล ถือกำเนิดในวาลินอร์ในยามที่ดินแดนแห่งนั้นยังคงงามพิสุทธิ์ ก่อนกาลล่มสลายของสิ่งดีงามทั้งหลาย หากแต่นางนั้นมีความแข็งแกร่ง ทระนง และใฝ่ฝันถึงดินแดนอันแสนไกล ดินแดนอันเป็นของนางเอง ดินแดนที่นางจะปกครองโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติของผู้ใด เช่นกันสายเลือดแห่งวันยาร์ยังไหลเวียนอยู่ในกายนาง นางได้รับพรที่จะมองทะลุถึงจิตใจและตัวตนของผู้อื่น ซึ่งนางพิจารณาเขาเหล่านั้นด้วยเมตตาจิตและความเข้าใจ ยกเว้นเพียงเฟอานอร์ที่นางสัมผัสได้แต่ความดำมืดและเกลียดชัง นางเกลียดกลัวเขานักหากแต่ยังไม่ตระหนักว่าจิตใจอันดำสนิทดวงนี้จะนำพาปีศาจร้ายมาสู่หัวใจของของชาวโนลดอร์ทุกผู้ไม่เว้นกระทั่งตัวนางเอง
และแล้วความรุ่งโรจของวาลินอร์ก็มาถึงจุดสิ้นสุด แสงแห่งทวิพฤกษาถูกมอร์ก็อธทำลายดับไป และฟินเวพระอัยการ์ของนางสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือมอร์ก็อธเป็นการสูญเสียครั้งแรก นางเข้าร่วมในการเดินทางสู่มิดเดิ้ลเอิร์ธภายใต้การชักนำของเฟอานอร์ มิใช่ด้วยความปรารถนาจะทวงคืนซิลมาริลหรือล้างแค้นหากแต่ด้วยจิตใจที่ปรารถนาในดินแดนอันไกลโฟ้น ดินแดนของนางเอง นางและพี่ชายของนางมิได้มีส่วนในการสังหารเหล่าชาวเทเลรินผู้เป็นญาติฝ่ายมารดาของนางในเหตุการณ์ประหัติประหารญาติ ณ อัลควาลอนเด ฟินาร์ฟินพระบิดาไม่อาจทนเรื่องนี้ได้จึงหันหลังกลับไปยังนครทิริออน (Tirion) ของชาวโนลดอร์ หากแต่นางและพี่ชายของนางเดินหน้าต่อไปกับฟิงโกลฟิน (Fingolfin)ลุงของนาง พวกเขาถูกเฟอานอร์หลอกให้ติดค้างอยู่ ณ ชายฝั่งเอลดาร์มาร์ ทั้งตกอยู่ภายใต้คำสาปแห่งเทพมานดอส (Curse of Mandos) โทษฐานที่มีส่วนร่วมในการสังหารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ พวกเขามีเพียงสองทางเลือก เดินทางกลับไปขออภัยโทษจากเหล่าวาลาร์ หรือเดินหน้าต่อไปแม้จักไม่มีเรือที่จะนำข้ามห้วงสมุทรไป พวกเขาตัดสินใจที่จะไปต่อด้วยความแค้นและน้อยใจที่เฟอานอร์ทอดทิ้ง หากแต่ตัวกาลาเดรียลเองนั้นเต็มไปด้วยโทสะ นางกวัดแกว่งดาบปกป้องผู้คนของมารดาของนางจากคนของเฟอานอร์ นางไม่อาจถอยหลังกลับไปขอรับการอภัยในสิ่งที่นางมิได้กระทำ ทั้งเต็มไปด้วยโทสะอันแรงกล้าที่จะติดตามเฟอานอร์ไปไม่ว่าสถานที่เช่นไรจะรอนางอยู่ในเบื้องหน้า ด้วยแรงขับดันนี้ทำให้นางและคนของฟิงโกลฟินเดินทางขึ้นเหนือ สู่ทะเลน้ำแข็งแห่งเฮลคารักเซ (Helcaraxe) สถานที่แห่งเดียวที่เชี่ยมต่อทวีปอาร์มันและทวีปเอนดอร์ (Endor) หรือมิดเดิ้ลเอิร์ธเข้าด้วยกัน การเดินทางครั้งนั้นแสนลำบากและทารุณ เอล์ฟหลายคนจบชีวิตลง บ้างก็หานสาบสูญไปในพายุหิมะอันแรงกล้า แต่แล้วทั้งหมดที่เหลือรอดมาได้ก็ก้าวย่างขึ้นบนชายฝั่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ ฟิงโกลฟินเป่าแตรประจำองค์ขึ้นในวินาทีนั้นเองแสงตะวันแรกแห่งพื้นพิภพก็ได้สาดแสงขึ้น ยุคที่หนึ่งแห่งตะวัน (First age, Year of the Sun) ได้เริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนั้น
ว่าด้วยเคเลบอร์นและกาลาเดรียลในโดริอัธโดริอัธ
เคเลบอร์นมีอีกชื่อหนึ่งว่า เทเลพอร์โน (Teleporno) ซึ่งมีความหมายว่า พฤกษาเงิน กำเนิดของเคเลบอร์น ถูกเขียนขึ้นมาสองแบบ ซึ่งทั้งสองแบบส่งผลต่อสายเลือดของเขาและการพบรักกับกาลาเดรียลของเขาเอง กำเนิดในแบบแรกนั้น เคเลบอร์นเป็นเจ้าชายชาวเทเลรีที่ถือกำเนิดบนอัลควาลอนเด บิดาของเขาคือ กาลาธอน (Galadhon) บุตรแห่ง เอลโม (Elmo) ซึ่งเอลโมนั้นเป็นน้องชายของกษัตริย์ธิงโกล บิดาของลูธิเอน และเป็นน้องชายของกษัตริย์โอลเว แห่งอัลควาลอนเด บิดาของเออาร์เวน มารดาของกาลาเดรียล ทั้งกาลาเดรียลและเคเลบอร์นจึงนับเป็นญาติกัน ตำนานแรกนั้นทั้งสองพบกันในอัลควาลอนเด ทำให้เคเลบอร์นเป็นไฮเอล์ฟ (High Elf) ที่ได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองปรารถนาจักมีดินแดนเป็นของตนเองจึงล่องเรือไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธก่อนการดับแสงของวาลินอร์

อีกตำนานหนึ่งซึ่งยึดเป็นตำนานหลักใน The Silmarillion ต้นกำเนิดของเคลเบอร์นยังคงเดิมหากแต่คราวนี้เขาเป็นซินดาร์เอล์ฟในโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล เมื่อกาลาเดรียลมาถึงยังมิดเดิ้ลเอิร์ธนางได้มาพำนักอยู่ในโดริอัธซึ่งเป็นดินแดนของธิงโกล ผู้มีศํกดิ์เป็นลุงของมารดาของนาง ทั้งสองพบกันในโดริอัธและมีความรักให้แก่กัน ทั้งสองวิวาห์กันในโดริอัธและเคเลบอร์นได้มอบนามใหม่ให้แก่นาง อัลทาริเอล (Altariel) ซึ่งมีความหมายว่า สตรีผู้สวมมงกุฎดอกไม้บนเศียรอันเรืองรอง ในภาษาของชาวซินดาร์ คือ กาลาเดรียล นางจึงใช้ชื่อนี้มาโดยตลอด อันเป็นชื่อที่งดงามที่สุดของนาง
ในโดริอัธนี่เองที่นางได้กลายเป็นสหายกับเทพีเมลิอัน (Melian) เทพีไมอาร์ผู้เป็นราชินีของกษัตริย์ธิงโกล นางได้รับถ่ายทอดความรู้มากมายและนางได้เล่าเรื่องในวาลินอร์ให้เมลิอันท์ฟัง หากแต่ละเหตุการณ์ในอัลควาลอนเดไว้ ด้วยอำนาจของเทพไมอาร์เมลิอันท์รู้สึกได้ว่ากลาเดรียลปกปิดบางสิ่งไว้ จึงขอให้นางเล่าออกมา ความรู้ไปถึงหูกษัตริย์ธิงโกล พระองค์ทรงพิโรธนัก เรียกตัวฟินร็อดหลานชายมาตรัสเค้นหาความจริง พระองค์ไม่โปรดให้ชาวซินดาร์เจรจาด้วยชาวโนลดอร์อีกต่อไป เว้นแต่คนของบุตรแห่งฟินาร์ฟิน พระญาติของพระองค์เท่านั้น
ในยุคแรกนางท่องไปทั่วในดินแดนเบเลริอันท์ ไปยังอาณาจักรนาโกธรอนของฟินร็อด เฟลากุนด์พี่ชายนางหลายครา และเอ่ยปากถามถึงสาเหตุที่ฟินร็อดยังไม่มีราชินีเคียงกาย หากแต่ฟินร็อดไม่ยอมตอบ นางอันเป็นที่รักของเขายังสถิตอยู่ ณ วาลินอร์ อมาริเอ (Amarie) แห่งวันยาร์นั่นเอง นางและเคเลบอร์นละอาณาจักรโดริอัธเมื่อไรไม่มีผู้ใดรู้ และเมื่อถึงกาลล่มสลายของมอร์ก็อธ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะข้ามท้องทะเลไปยังตะวันตก
เกร็ดตำนาน Middle-earth Tales part IV ว่าด้วย กาลาเดรียลและเคเลบอร์น (Galadriel and Celeborn)
ขอออกตัวก่อนว่าตำนานบทนี้แตกต่างจากตำนานบทอื่นๆตรงที่มันถูกปรับแก้เยอะมาก และโดนแก้มาโดยตลอด จนกระทั่งคริสโตเฟอร์ โทลคีนผู้เรียบเรียงถึงกับเอ่ยปากว่า เป็นตำนานบทที่ซับซ้อนมากที่สุดในบรรดาปกรณัมทั้งหมดของมิดเดิ้ลเอิร์ธ
กาลาเดรียลในวาลินอร์
บนแผ่นดินอาร์มัน (Arman) ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าชายฟินาร์ฟินแห่งโนลดอร์ (Finarfin) โอรสองค์เล็กของกษัตริย์ฟินเว (Finwe) และอินดีส (Indis) ชาววันยาร์ (Vanyar) ทรงอภิเษกกับเออาร์เวน (Earwen) พระธิดาของกษัตริย์โอลเว (Olwe) แห่งชาวเทเลริน (Telerin) ทั้งสองให้กำเนิดพระโอรสสี่พระองค์ ฟินร็อด (Finrod) โอโรเดร็ธ (Orodreth) อังกร็อด (Angrod) และอายก์นอร์ (Aegnor)และแล้วในช่วงปีที่ 1362 ของยุคแห่งทวิพฤกษา (Year of the Trees) เออาร์เวนก็ให้กำเนิดเจ้าหญิงชาวพระองค์หนึ่ง นางมีเกศางดงามดุจแสงทองแห่งเลาเรลิน (Laurelin) เฉกเช่นพระอัยยิกาอินดีส ผู้เป็นชาววันยาร์ ขณะเดียวกันก็มีประกายเงินดุจแสงแห่งพฤกษาเทลเพริออน (Telperion) อันมาจากเชื้อสายฝั่งเทเลรินของพระมารดา เจ้าหญิงน้อยได้รับการกล่าวขานว่างดงามที่สุดในบรรดาราชนิกุลแห่งฟินเว (House of Finwe) นางได้รับนามจากฟินาร์ฟิน (Finarfin) พระบิดาว่า อาร์ทานิส (Artanis) สตรีสูงศักดิ์ และพระมารดาเรียกนางว่า เนอร์เวน (Nerwen) สตรีผู้ทัดเทียมบุรุษ ด้วยนางเห็นว่าธิดาผู้นี้มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งไม่แพ้บุรุษใด
เหล่าโอรสธิดาของฟินาร์ฟินนั้นมีปัญญาอันฉียบแหลมและแข็งแกร่งเฉกเช่นชาวโนลดอร์ งดงามและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอันเป็นลักษณะของชาววันยาร์ มีความรักในห้วงสมุทรและใฝ่ฝันถึงดินแดนโพ้นทะเลเช่นชาวเทเลรีสายเลือดฝ่ายมารดา หากแต่ในบรรดาโนลดอร์ทั้งหมดนั้นกาลาเดรียลคือผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดยกเว้นแต่พียง เฟอาร์นอร์ (Feanor) ผู้เป็นลุงของนาง นางนั้นเนเลิศทั้งกายและจิตใจ สิ่งที่งดงามเป็นเลิศคือเรือนผมของนางที่งดงามที่สุดในบรรดาบุตรแห่งพิภพ พวกเอลดาร์กล่าวไว้ว่าเส้นผมของนางนั้นราวกับสะท้อนแสงผสานอันงามพิสุทธิ์ของทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ไว้ กล่าวกันว่าความงามของเรือนผมของนางดลบันดาลใจเฟอานอร์ให้รังสรรค์มหาไตรมณีซิลมาริล (Silmaril) ขึ้นจากแสงของทวิพฤกษานี้เอง ด้วยเขาเอ่ยปากขอเส้นผมจากเศียรนางเพียงหนึ่งเส้นเขาเพรียรขอถึงสามคราและนางได้ตอบปฏิเสธเขาทั้งสามครั้ง ด้วยนางมองเห็นถึงจิตใจของผู้คนและนางตระหนักถึงจิตใจอันดำมืดของผู้เป็นลุง เช่นนี้เองสองเอลดาร์ผู้เลิศเลอที่สุดในพิภพจึงเป็นอริต่อกันนับแต่นั้นมา
กาลาเดรียล ถือกำเนิดในวาลินอร์ในยามที่ดินแดนแห่งนั้นยังคงงามพิสุทธิ์ ก่อนกาลล่มสลายของสิ่งดีงามทั้งหลาย หากแต่นางนั้นมีความแข็งแกร่ง ทระนง และใฝ่ฝันถึงดินแดนอันแสนไกล ดินแดนอันเป็นของนางเอง ดินแดนที่นางจะปกครองโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติของผู้ใด เช่นกันสายเลือดแห่งวันยาร์ยังไหลเวียนอยู่ในกายนาง นางได้รับพรที่จะมองทะลุถึงจิตใจและตัวตนของผู้อื่น ซึ่งนางพิจารณาเขาเหล่านั้นด้วยเมตตาจิตและความเข้าใจ ยกเว้นเพียงเฟอานอร์ที่นางสัมผัสได้แต่ความดำมืดและเกลียดชัง นางเกลียดกลัวเขานักหากแต่ยังไม่ตระหนักว่าจิตใจอันดำสนิทดวงนี้จะนำพาปีศาจร้ายมาสู่หัวใจของของชาวโนลดอร์ทุกผู้ไม่เว้นกระทั่งตัวนางเอง
และแล้วความรุ่งโรจของวาลินอร์ก็มาถึงจุดสิ้นสุด แสงแห่งทวิพฤกษาถูกมอร์ก็อธทำลายดับไป และฟินเวพระอัยการ์ของนางสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือมอร์ก็อธเป็นการสูญเสียครั้งแรก นางเข้าร่วมในการเดินทางสู่มิดเดิ้ลเอิร์ธภายใต้การชักนำของเฟอานอร์ มิใช่ด้วยความปรารถนาจะทวงคืนซิลมาริลหรือล้างแค้นหากแต่ด้วยจิตใจที่ปรารถนาในดินแดนอันไกลโฟ้น ดินแดนของนางเอง นางและพี่ชายของนางมิได้มีส่วนในการสังหารเหล่าชาวเทเลรินผู้เป็นญาติฝ่ายมารดาของนางในเหตุการณ์ประหัติประหารญาติ ณ อัลควาลอนเด ฟินาร์ฟินพระบิดาไม่อาจทนเรื่องนี้ได้จึงหันหลังกลับไปยังนครทิริออน (Tirion) ของชาวโนลดอร์ หากแต่นางและพี่ชายของนางเดินหน้าต่อไปกับฟิงโกลฟิน (Fingolfin)ลุงของนาง พวกเขาถูกเฟอานอร์หลอกให้ติดค้างอยู่ ณ ชายฝั่งเอลดาร์มาร์ ทั้งตกอยู่ภายใต้คำสาปแห่งเทพมานดอส (Curse of Mandos) โทษฐานที่มีส่วนร่วมในการสังหารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ พวกเขามีเพียงสองทางเลือก เดินทางกลับไปขออภัยโทษจากเหล่าวาลาร์ หรือเดินหน้าต่อไปแม้จักไม่มีเรือที่จะนำข้ามห้วงสมุทรไป พวกเขาตัดสินใจที่จะไปต่อด้วยความแค้นและน้อยใจที่เฟอานอร์ทอดทิ้ง หากแต่ตัวกาลาเดรียลเองนั้นเต็มไปด้วยโทสะ นางกวัดแกว่งดาบปกป้องผู้คนของมารดาของนางจากคนของเฟอานอร์ นางไม่อาจถอยหลังกลับไปขอรับการอภัยในสิ่งที่นางมิได้กระทำ ทั้งเต็มไปด้วยโทสะอันแรงกล้าที่จะติดตามเฟอานอร์ไปไม่ว่าสถานที่เช่นไรจะรอนางอยู่ในเบื้องหน้า ด้วยแรงขับดันนี้ทำให้นางและคนของฟิงโกลฟินเดินทางขึ้นเหนือ สู่ทะเลน้ำแข็งแห่งเฮลคารักเซ (Helcaraxe) สถานที่แห่งเดียวที่เชี่ยมต่อทวีปอาร์มันและทวีปเอนดอร์ (Endor) หรือมิดเดิ้ลเอิร์ธเข้าด้วยกัน การเดินทางครั้งนั้นแสนลำบากและทารุณ เอล์ฟหลายคนจบชีวิตลง บ้างก็หานสาบสูญไปในพายุหิมะอันแรงกล้า แต่แล้วทั้งหมดที่เหลือรอดมาได้ก็ก้าวย่างขึ้นบนชายฝั่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ ฟิงโกลฟินเป่าแตรประจำองค์ขึ้นในวินาทีนั้นเองแสงตะวันแรกแห่งพื้นพิภพก็ได้สาดแสงขึ้น ยุคที่หนึ่งแห่งตะวัน (First age, Year of the Sun) ได้เริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนั้น
ว่าด้วยเคเลบอร์นและกาลาเดรียลในโดริอัธโดริอัธ
เคเลบอร์นมีอีกชื่อหนึ่งว่า เทเลพอร์โน (Teleporno) ซึ่งมีความหมายว่า พฤกษาเงิน กำเนิดของเคเลบอร์น ถูกเขียนขึ้นมาสองแบบ ซึ่งทั้งสองแบบส่งผลต่อสายเลือดของเขาและการพบรักกับกาลาเดรียลของเขาเอง กำเนิดในแบบแรกนั้น เคเลบอร์นเป็นเจ้าชายชาวเทเลรีที่ถือกำเนิดบนอัลควาลอนเด บิดาของเขาคือ กาลาธอน (Galadhon) บุตรแห่ง เอลโม (Elmo) ซึ่งเอลโมนั้นเป็นน้องชายของกษัตริย์ธิงโกล บิดาของลูธิเอน และเป็นน้องชายของกษัตริย์โอลเว แห่งอัลควาลอนเด บิดาของเออาร์เวน มารดาของกาลาเดรียล ทั้งกาลาเดรียลและเคเลบอร์นจึงนับเป็นญาติกัน ตำนานแรกนั้นทั้งสองพบกันในอัลควาลอนเด ทำให้เคเลบอร์นเป็นไฮเอล์ฟ (High Elf) ที่ได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองปรารถนาจักมีดินแดนเป็นของตนเองจึงล่องเรือไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธก่อนการดับแสงของวาลินอร์
อีกตำนานหนึ่งซึ่งยึดเป็นตำนานหลักใน The Silmarillion ต้นกำเนิดของเคลเบอร์นยังคงเดิมหากแต่คราวนี้เขาเป็นซินดาร์เอล์ฟในโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล เมื่อกาลาเดรียลมาถึงยังมิดเดิ้ลเอิร์ธนางได้มาพำนักอยู่ในโดริอัธซึ่งเป็นดินแดนของธิงโกล ผู้มีศํกดิ์เป็นลุงของมารดาของนาง ทั้งสองพบกันในโดริอัธและมีความรักให้แก่กัน ทั้งสองวิวาห์กันในโดริอัธและเคเลบอร์นได้มอบนามใหม่ให้แก่นาง อัลทาริเอล (Altariel) ซึ่งมีความหมายว่า สตรีผู้สวมมงกุฎดอกไม้บนเศียรอันเรืองรอง ในภาษาของชาวซินดาร์ คือ กาลาเดรียล นางจึงใช้ชื่อนี้มาโดยตลอด อันเป็นชื่อที่งดงามที่สุดของนาง
ในโดริอัธนี่เองที่นางได้กลายเป็นสหายกับเทพีเมลิอัน (Melian) เทพีไมอาร์ผู้เป็นราชินีของกษัตริย์ธิงโกล นางได้รับถ่ายทอดความรู้มากมายและนางได้เล่าเรื่องในวาลินอร์ให้เมลิอันท์ฟัง หากแต่ละเหตุการณ์ในอัลควาลอนเดไว้ ด้วยอำนาจของเทพไมอาร์เมลิอันท์รู้สึกได้ว่ากลาเดรียลปกปิดบางสิ่งไว้ จึงขอให้นางเล่าออกมา ความรู้ไปถึงหูกษัตริย์ธิงโกล พระองค์ทรงพิโรธนัก เรียกตัวฟินร็อดหลานชายมาตรัสเค้นหาความจริง พระองค์ไม่โปรดให้ชาวซินดาร์เจรจาด้วยชาวโนลดอร์อีกต่อไป เว้นแต่คนของบุตรแห่งฟินาร์ฟิน พระญาติของพระองค์เท่านั้น
ในยุคแรกนางท่องไปทั่วในดินแดนเบเลริอันท์ ไปยังอาณาจักรนาโกธรอนของฟินร็อด เฟลากุนด์พี่ชายนางหลายครา และเอ่ยปากถามถึงสาเหตุที่ฟินร็อดยังไม่มีราชินีเคียงกาย หากแต่ฟินร็อดไม่ยอมตอบ นางอันเป็นที่รักของเขายังสถิตอยู่ ณ วาลินอร์ อมาริเอ (Amarie) แห่งวันยาร์นั่นเอง นางและเคเลบอร์นละอาณาจักรโดริอัธเมื่อไรไม่มีผู้ใดรู้ และเมื่อถึงกาลล่มสลายของมอร์ก็อธ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะข้ามท้องทะเลไปยังตะวันตก