เสียงครวญ "ชาวคลองถม" ในวันที่เดินมาถึง "บทอวสาน"
สกู๊ปหน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 23 ธ.ค. 2557
“80 บาทจ้า 80 บาท ลดกันสุดๆ จ้า 2 อาทิตย์สุดท้ายแล้วจ้า ไม่มีอีกแล้วจ้า”
เสียงแม่ค้ารายหนึ่งเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไป-มาให้เข้ามาเลือกซื้อรองเท้าและของใช้อื่นๆ ภายในร้านของตน เธอพูดด้วยเสียงอันดังพร้อมทั้งย้ำอยู่เป็นระยะๆ ว่านี่คือการ
“ลดกระหน่ำ” ชนิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากเวลาของเธอ ณ สถานที่แห่งนี้ เหลือเพียงแค่ 2 สัปดาห์ เฉกเช่นเพื่อนพ้องผู้ค้ารายอื่นๆ ที่มีชะตากรรมไม่ต่างกัน
ในวันที่ “ตลาดคลองถม” กำลังจะกลายเป็นเพียง “ตำนาน” ที่เหลือไว้แต่ชื่อและเรื่องเล่าขานเท่านั้น!!!
ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครเชื่อว่า..จะมีวันที่ย่านการค้าเก่าแก่แห่งนี้ต้องปิดตัวลง จนเมื่อ 8 ธ.ค. 2557
นายวัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศให้ผู้ค้ากว่า 2,000 ราย รอบพื้นที่คลองถม ต้องยุติการค้าขาย ด้วยเหตุผลว่ากีดขวางทางเท้าและพื้นผิวการจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบพื้นที่โรงพยาบาลกลาง เป็นอุปสรรคต่อการขนย้ายผู้ป่วย อีกทั้งยังมีเรื่องของการจำหน่ายสิ่งของผิดกฎหมาย และมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาหาผลประโยชน์
แม้จะมีการเจรจาต่อรองกันเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2557 ที่กลุ่มผู้ค้ากว่า 300 ราย รวมตัวประท้วงหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แต่ท้ายที่สุด กทม. ยังคงยืนยันคำเดิม คือให้ขายได้วันสุดท้าย วันเสาร์ที่ 27 ธ.ค. 2557 เท่านั้น โดยหลังจากนั้นจะดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังกับผู้ฝ่าฝืน
“3 ม.ค. 2558” ประเดิม “ดีเดย์” กวาดล้างแน่นอน!!!
หลังมีประกาศดังกล่าว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่ชื่นชมความกล้าตัดสินใจของ กทม. ในครั้งนี้ เพราะตลาดคลองถม ก่อความเดือดร้อนรำคาญมาหลายสิบปี ทั้งเรื่องสิ่งผิดกฎหมายและกีดขวางเส้นทางสัญจร
กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เช่น ในมุมของผู้ค้า ดังที่
“สกู๊ปหน้า 5” ลงพื้นที่เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 2557 พบว่า พ่อค้าแม่ค้าหลายราย พากันลดราคาสินค้าโดยบอกว่า
“ต้องรีบขายให้หมด เพราะไม่รู้หลังจากนี้จะไปขายที่ไหน” ขณะเดียวกันก็มีการจับกลุ่มพูดคุยถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของตนเอง
“ผมนี่หนีมาจากคลองหลอดนะครับ เขาไล่จากคลองหลอด ผมก็ไปท่าช้าง พอเขาไปไล่ที่ท่าช้าง ผมก็มาที่คลองถม ถามว่ามาไล่ที่แบบนี้ จะให้ผมไปไหนอีก? ถามว่าคนออกนโยบาย เคยมาดูชีวิตคนจนหรือเปล่า? เศรษฐกิจตอนนี้ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ถ้าไล่กันแบบนี้ จะให้พวกเขาไปเป็นโจรผู้ร้ายหรือ? อย่างเด็กวัยรุ่นหลายคนเคยทำตัวมั่วสุม แต่พอเขาได้มาขายของ มามีอาชีพ มามีรายได้ที่นี่ เขาก็เลิก ถามว่าจะให้เขากลับไปมั่วสุมอย่างเดิมหรือ? นี่เราขายกันแค่สัปดาห์ละครั้ง ไม่ได้ขายกันทุกวันด้วยซ้ำ”
ชายสูงอายุเจ้าของแผงเช่าพระเล็กๆ รายหนึ่ง บอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด เพราะตนและผู้ค้าอีกหลายราย ได้รับผลกระทบจากนโยบายจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ต้องหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และขณะนี้กำลังจะต้องหนีอีกครั้ง หลังตลาดคลองถมถูกสั่งให้ปิดตัวลง พร้อมกับตั้งคำถามถึงกทม. กรณีบอกว่าจัดสถานที่ไว้ให้ขาย แต่ในความเป็นจริง ด้วยความที่ตนอยู่อาศัยในกทม.มานาน ทำให้ทราบดีว่า สถานที่ที่จัดไว้ดังกล่าว
“ไม่ใช่ทำเลที่ดี” เพราะมีรถประจำทางผ่านน้อยมาก โดยเฉพาะยามค่ำคืน จึงยากที่พื้นที่ใหม่ จะขายของได้ดีเท่าพื้นที่เดิม
เช่นเดียวกับ
ลุงอดุลย์ หนุ่มใหญ่วัย 59 ปี อีกผู้หนึ่งที่อยู่กับตลาดคลองถม มานาน เริ่มจากการเป็นคนที่ชอบมาเดินเลือกซื้อสินค้า จนเมื่ออายุ 55 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากงานตามโครงการเกษียณก่อนกำหนด (Early Retire) มาตั้งแผงค้าอย่างเต็มตัว มองว่า
การย้ายตลาดคลองถมหนนี้ ไม่อาจใช้บทเรียนการย้ายตลาด ณ ท้องสนามหลวง ไปยังสวนจตุจักร เมื่อหลายสิบปีก่อนมาเทียบเคียงได้
หนุ่มใหญ่รายนี้ อธิบายว่า พื้นที่สวนจตุจักร แต่เดิมก็ถือเป็น
“ชุมทาง” ที่มีรถประจำทางหลายสายแล่นผ่าน อีกทั้งยังอยู่ใกล้สถานีขนส่งสายเหนือ-สายตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ
“สถานีหมอชิต” จึงเป็นจุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน เป็น
“ทำเลทอง” แห่งหนึ่งในกทม. ยิ่งปัจจุบันมีรถไฟฟ้าเพิ่มมาอีก ยิ่งทำให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างที่ทราบกัน
ทว่าเมื่อเทียบกับสถานที่แห่งใหม่ที่ กทม. บอกว่า รองรับชาวคลองถม ไม่ว่าจะเป็น
“สนามหลวง 2” ย่านทวีวัฒนา,
“ท่าดินแดง” ย่านคลองสาน,
“สายใต้เก่า” ย่านบางกอกน้อย,
“ใต้ทางด่วนรามอินทรา” และอีกหลายแห่ง ปัญหาที่พบคือ
“เข้าถึงยากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย” เพราะไม่ค่อยมีระบบขนส่งมวลชนผ่านไป-มามากนัก ในจำนวนนี้ มีเพียง
“ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์” เท่านั้น ที่บรรดาผู้ค้ามองว่าน่าจะพอทดแทนได้ เพราะไม่ไกลจากคลองถมเดิม ลูกค้าเก่าไม่ต้องลำบากในการเดินทาง อีกทั้งแม้จะเป็นช่วงดึกๆ แต่ก็ยังเป็นเส้นทางสัญจรที่มีรถประจำทางหลายสายแล่นผ่านทั้งคืน
“คือจะไปเทียบกับตอนย้ายสนามหลวงไปจตุจักรไม่ได้นะ บริบทสังคมมันคนละเรื่องกัน คือจตุจักรนี่ที่มันใหญ่ไง แถมมีรถเมล์ผ่านเยอะแยะ แต่ไปดูบางกอกน้อย สายใต้เก่า สายใต้ใหม่ ท่าดินแดง สนามหลวง 2 มันเข้าถึงยาก อย่างลูกค้าอยู่ปากน้ำ (สมุทรปราการ) เคยมาคลองถม ถามว่าเขาจะตามไปสนามหลวง 2 หรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นแถวใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ อันนี้พอได้ เพราะ 1.ไม่ไกลจากตรงนี้ (คลองถมเดิม) มาก กับ 2.เป็นจุดที่ยังพอเดินทางไป-มาได้สะดวก ก็วอน กทม. ให้ช่วยหาที่ค้าขาย ทำเลแบบนี้ให้ด้วย” ลุงอดุลย์ ฝากทิ้งท้าย
ต้องยอมรับว่าตลาดคลองถม กลายเป็น
“แลนด์มาร์ค” หรือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ กทม. ไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ หน่วยงานภาครัฐอย่าง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็เคยร่วมโปรโมตมาแล้ว ในฐานะ
“ตลาดกลางคืน” ที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัส (ดูรายละเอียดได้ที่
http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ตลาดกลางคืน-คลองถม--6175 )
แม้กระทั่ง
กทม. เองก็เคยร่วมโปรโมตเช่นกัน ดังเว็บไซต์ของ
สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย (ดูรายละเอียดได้ที่
http://office.bangkok.go.th/pomprap/index.php?option=com_content&view=article&id=92&Itemid=132 ) เขตพื้นที่ตั้งของคลองถม ก็มีการระบุถึงประวัติ แนะนำสิ่งที่น่าสนใจ ตลอดจนวิธีการเดินทางมายังตลาดแห่งนี้ จึงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ตลาดเก่าแก่แห่งนี้จะเดินทางมาถึงจุดจบ
กล่าวโดยสรุป..แนวทางที่ทั้งผู้ค้า รวมถึงผู้นิยมช็อปปิ้งย่านคลองถม ฝากถึง กทม. คือ 1.เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ต้องย้าย เพราะยังมีซอยย่อยๆ อีกหลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถใช้เป็นตลาดค้าขายได้ หาก กทม. มองว่าการค้าขายบนเส้นทางหลักกีดขวางการจราจร การย้ายเข้าไปขายตามตรอกซอกซอยต่างๆ ก็น่าจะพอ
“พบกันครึ่งทาง” ได้ ระหว่างผู้ที่สัญจรบนเส้นทางหลักที่ต้องการความสะดวก กับผู้ซื้อ-ผู้ขาย ที่จะได้อยู่กับย่านเก่าแก่นี้ต่อไป
กับอีกทางหนึ่ง คือ 2.หากต้องย้ายไปจริงๆ
ขอเป็นทำเลที่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงสะดวก อย่างน้อยๆ ก็ขอให้มีรถประจำทางแล่นผ่านตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งขอให้ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ให้ด้วย ว่าผู้ค้าย่านคลองถมเดิม ย้ายไปค้าขายกัน ณ พื้นที่ใดบ้าง เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบและตามไปจับจ่ายซื้อสินค้าได้ มิใช่ปล่อยลอยแพผู้ค้า บอกว่าเตรียมพื้นที่ไว้ให้ แต่ไม่มีมาตรการอื่นๆ มาสนับสนุนหรือเยียวยา
เพราะต้องไม่ลืมว่า.. “คนรากหญ้า” หาเช้ากินค่ำเหล่านี้ เป็นผู้ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ที่สำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “กลุ่มทุนใหญ่” ใดๆ เลย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
ที่มา :
http://www.naewna.com/scoop/136531
----------------
ผมนี่ใจหายเหมือนกันแหละครับ
เมื่อก่อนชอบไปเดินดูของเก่า จำได้ว่ามีหนนึง ไปหยิบกระบี่โบราณ เป็นกระบี่ฝรั่งยุโรปสภาพเก่า
คนขายบอกว่า
"น้อง..รู้เปล่าว่านี่เป็นกระบี่อายุร้อยปี เป็นกระบี่ของทหารรักษาพระองค์สมัยรัชกาลที่ 5 เชียวนะ"
ฟังแล้วมันฮึกเหิม อยากได้มาครอบครองเลยทีเดียว ในใจก็พาลคิดว่า
"ถ้าเรามีศาสตราวุธชิ้นนี้ เราจะมีพลังเพิ่มขึ้นมหาศาลเป็นแน่แท้"
เลยถามคนขายว่า
"พี่ครับ..ราคาเท่าไรครับ?"
"หมื่นสอง..พี่ลดให้ถูกที่สุดละ"
คนขายตอบเช่นนั้น ยาจกบุรุษปลายแถวเช่นผม จึงต้องวางกระบี่เล่มนั้นลง และตัดใจจากมันเสีย
"เราคงไม่มีโอกาสครอบครองอาวุธวิเศษเช่นนี้กระมัง"
ผมได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกจากร้านนั้นไป...
--------------
อีกเรื่องคือการปล่อยไก่ครับ
มีหนนึง ผมไปเจอแท่งเหล็กคล้ายท่อแป๊บ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณเมตรครึ่ง สีทองเหลืองเก่าๆ มีรอยลอก
ผมหยิบขึ้นมาด้วยความคิดว่า มันต้องเป็นพลองโลหะยุคเก่า มีเรื่องเล่าเป็นแน่แท้ อีกทั้งน้ำหนักก็เหมาะมือพอดี หลังทดลองควงเล่นไปมา
"พี่ครับ..นี่มันคืออะไรอะครับ?" ผมถามเจ้าของแผง
"...เสาผ้าม่านอะน้อง"
จบครับ..จบเลย นึกว่าที่ควงเหวี่ยงอยู่ในมือ คือพลองโลหะที่มีตำนานความเป็นยอดศาสตราเสียอีก
ปล่อยไก่กันเลยทีเดียวงานนี้
---------------
ไหนๆ ตลาดเก่าแก่แห่งนี้ก็เดินทางมาถึงตอนอวสานแล้ว
ใครมีความทรงจำอะไรกับที่นี่ ทั้งดีและไม่ดี มารำลึกกันครับ
ปล.ที่ tag ร้องทุกข์ด้วย ยังไงคือฝาก กทม. หน่อยนะครับ ย้ายเขาไปไม่ว่า แต่ขอทำเลที่การเดินทางสะดวกหน่อยก็ดีครับ ทั้งคนซื้อคนขายจะได้อยู่กันได้
"ตลาดคลองถม" ตำนานบทหนึ่งของ กทม. และประเทศไทยจะปิดตัวลงแล้ว ใครมีความทรงจำกับสถานที่แห่งนี้ยังไงบ้างครับ?
สกู๊ปหน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 23 ธ.ค. 2557
“80 บาทจ้า 80 บาท ลดกันสุดๆ จ้า 2 อาทิตย์สุดท้ายแล้วจ้า ไม่มีอีกแล้วจ้า”
เสียงแม่ค้ารายหนึ่งเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไป-มาให้เข้ามาเลือกซื้อรองเท้าและของใช้อื่นๆ ภายในร้านของตน เธอพูดด้วยเสียงอันดังพร้อมทั้งย้ำอยู่เป็นระยะๆ ว่านี่คือการ “ลดกระหน่ำ” ชนิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากเวลาของเธอ ณ สถานที่แห่งนี้ เหลือเพียงแค่ 2 สัปดาห์ เฉกเช่นเพื่อนพ้องผู้ค้ารายอื่นๆ ที่มีชะตากรรมไม่ต่างกัน
ในวันที่ “ตลาดคลองถม” กำลังจะกลายเป็นเพียง “ตำนาน” ที่เหลือไว้แต่ชื่อและเรื่องเล่าขานเท่านั้น!!!
ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครเชื่อว่า..จะมีวันที่ย่านการค้าเก่าแก่แห่งนี้ต้องปิดตัวลง จนเมื่อ 8 ธ.ค. 2557 นายวัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศให้ผู้ค้ากว่า 2,000 ราย รอบพื้นที่คลองถม ต้องยุติการค้าขาย ด้วยเหตุผลว่ากีดขวางทางเท้าและพื้นผิวการจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบพื้นที่โรงพยาบาลกลาง เป็นอุปสรรคต่อการขนย้ายผู้ป่วย อีกทั้งยังมีเรื่องของการจำหน่ายสิ่งของผิดกฎหมาย และมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาหาผลประโยชน์
แม้จะมีการเจรจาต่อรองกันเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2557 ที่กลุ่มผู้ค้ากว่า 300 ราย รวมตัวประท้วงหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แต่ท้ายที่สุด กทม. ยังคงยืนยันคำเดิม คือให้ขายได้วันสุดท้าย วันเสาร์ที่ 27 ธ.ค. 2557 เท่านั้น โดยหลังจากนั้นจะดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังกับผู้ฝ่าฝืน
“3 ม.ค. 2558” ประเดิม “ดีเดย์” กวาดล้างแน่นอน!!!
หลังมีประกาศดังกล่าว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่ชื่นชมความกล้าตัดสินใจของ กทม. ในครั้งนี้ เพราะตลาดคลองถม ก่อความเดือดร้อนรำคาญมาหลายสิบปี ทั้งเรื่องสิ่งผิดกฎหมายและกีดขวางเส้นทางสัญจร
กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เช่น ในมุมของผู้ค้า ดังที่ “สกู๊ปหน้า 5” ลงพื้นที่เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 2557 พบว่า พ่อค้าแม่ค้าหลายราย พากันลดราคาสินค้าโดยบอกว่า “ต้องรีบขายให้หมด เพราะไม่รู้หลังจากนี้จะไปขายที่ไหน” ขณะเดียวกันก็มีการจับกลุ่มพูดคุยถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของตนเอง
“ผมนี่หนีมาจากคลองหลอดนะครับ เขาไล่จากคลองหลอด ผมก็ไปท่าช้าง พอเขาไปไล่ที่ท่าช้าง ผมก็มาที่คลองถม ถามว่ามาไล่ที่แบบนี้ จะให้ผมไปไหนอีก? ถามว่าคนออกนโยบาย เคยมาดูชีวิตคนจนหรือเปล่า? เศรษฐกิจตอนนี้ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ถ้าไล่กันแบบนี้ จะให้พวกเขาไปเป็นโจรผู้ร้ายหรือ? อย่างเด็กวัยรุ่นหลายคนเคยทำตัวมั่วสุม แต่พอเขาได้มาขายของ มามีอาชีพ มามีรายได้ที่นี่ เขาก็เลิก ถามว่าจะให้เขากลับไปมั่วสุมอย่างเดิมหรือ? นี่เราขายกันแค่สัปดาห์ละครั้ง ไม่ได้ขายกันทุกวันด้วยซ้ำ”
ชายสูงอายุเจ้าของแผงเช่าพระเล็กๆ รายหนึ่ง บอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด เพราะตนและผู้ค้าอีกหลายราย ได้รับผลกระทบจากนโยบายจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ต้องหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และขณะนี้กำลังจะต้องหนีอีกครั้ง หลังตลาดคลองถมถูกสั่งให้ปิดตัวลง พร้อมกับตั้งคำถามถึงกทม. กรณีบอกว่าจัดสถานที่ไว้ให้ขาย แต่ในความเป็นจริง ด้วยความที่ตนอยู่อาศัยในกทม.มานาน ทำให้ทราบดีว่า สถานที่ที่จัดไว้ดังกล่าว “ไม่ใช่ทำเลที่ดี” เพราะมีรถประจำทางผ่านน้อยมาก โดยเฉพาะยามค่ำคืน จึงยากที่พื้นที่ใหม่ จะขายของได้ดีเท่าพื้นที่เดิม
เช่นเดียวกับ ลุงอดุลย์ หนุ่มใหญ่วัย 59 ปี อีกผู้หนึ่งที่อยู่กับตลาดคลองถม มานาน เริ่มจากการเป็นคนที่ชอบมาเดินเลือกซื้อสินค้า จนเมื่ออายุ 55 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากงานตามโครงการเกษียณก่อนกำหนด (Early Retire) มาตั้งแผงค้าอย่างเต็มตัว มองว่า การย้ายตลาดคลองถมหนนี้ ไม่อาจใช้บทเรียนการย้ายตลาด ณ ท้องสนามหลวง ไปยังสวนจตุจักร เมื่อหลายสิบปีก่อนมาเทียบเคียงได้
หนุ่มใหญ่รายนี้ อธิบายว่า พื้นที่สวนจตุจักร แต่เดิมก็ถือเป็น “ชุมทาง” ที่มีรถประจำทางหลายสายแล่นผ่าน อีกทั้งยังอยู่ใกล้สถานีขนส่งสายเหนือ-สายตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ “สถานีหมอชิต” จึงเป็นจุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน เป็น “ทำเลทอง” แห่งหนึ่งในกทม. ยิ่งปัจจุบันมีรถไฟฟ้าเพิ่มมาอีก ยิ่งทำให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างที่ทราบกัน
ทว่าเมื่อเทียบกับสถานที่แห่งใหม่ที่ กทม. บอกว่า รองรับชาวคลองถม ไม่ว่าจะเป็น “สนามหลวง 2” ย่านทวีวัฒนา, “ท่าดินแดง” ย่านคลองสาน, “สายใต้เก่า” ย่านบางกอกน้อย, “ใต้ทางด่วนรามอินทรา” และอีกหลายแห่ง ปัญหาที่พบคือ “เข้าถึงยากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย” เพราะไม่ค่อยมีระบบขนส่งมวลชนผ่านไป-มามากนัก ในจำนวนนี้ มีเพียง “ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์” เท่านั้น ที่บรรดาผู้ค้ามองว่าน่าจะพอทดแทนได้ เพราะไม่ไกลจากคลองถมเดิม ลูกค้าเก่าไม่ต้องลำบากในการเดินทาง อีกทั้งแม้จะเป็นช่วงดึกๆ แต่ก็ยังเป็นเส้นทางสัญจรที่มีรถประจำทางหลายสายแล่นผ่านทั้งคืน
“คือจะไปเทียบกับตอนย้ายสนามหลวงไปจตุจักรไม่ได้นะ บริบทสังคมมันคนละเรื่องกัน คือจตุจักรนี่ที่มันใหญ่ไง แถมมีรถเมล์ผ่านเยอะแยะ แต่ไปดูบางกอกน้อย สายใต้เก่า สายใต้ใหม่ ท่าดินแดง สนามหลวง 2 มันเข้าถึงยาก อย่างลูกค้าอยู่ปากน้ำ (สมุทรปราการ) เคยมาคลองถม ถามว่าเขาจะตามไปสนามหลวง 2 หรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นแถวใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ อันนี้พอได้ เพราะ 1.ไม่ไกลจากตรงนี้ (คลองถมเดิม) มาก กับ 2.เป็นจุดที่ยังพอเดินทางไป-มาได้สะดวก ก็วอน กทม. ให้ช่วยหาที่ค้าขาย ทำเลแบบนี้ให้ด้วย” ลุงอดุลย์ ฝากทิ้งท้าย
ต้องยอมรับว่าตลาดคลองถม กลายเป็น “แลนด์มาร์ค” หรือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ กทม. ไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ หน่วยงานภาครัฐอย่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็เคยร่วมโปรโมตมาแล้ว ในฐานะ “ตลาดกลางคืน” ที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัส (ดูรายละเอียดได้ที่ http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ตลาดกลางคืน-คลองถม--6175 )
แม้กระทั่ง กทม. เองก็เคยร่วมโปรโมตเช่นกัน ดังเว็บไซต์ของ สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย (ดูรายละเอียดได้ที่ http://office.bangkok.go.th/pomprap/index.php?option=com_content&view=article&id=92&Itemid=132 ) เขตพื้นที่ตั้งของคลองถม ก็มีการระบุถึงประวัติ แนะนำสิ่งที่น่าสนใจ ตลอดจนวิธีการเดินทางมายังตลาดแห่งนี้ จึงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ตลาดเก่าแก่แห่งนี้จะเดินทางมาถึงจุดจบ
กล่าวโดยสรุป..แนวทางที่ทั้งผู้ค้า รวมถึงผู้นิยมช็อปปิ้งย่านคลองถม ฝากถึง กทม. คือ 1.เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ต้องย้าย เพราะยังมีซอยย่อยๆ อีกหลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถใช้เป็นตลาดค้าขายได้ หาก กทม. มองว่าการค้าขายบนเส้นทางหลักกีดขวางการจราจร การย้ายเข้าไปขายตามตรอกซอกซอยต่างๆ ก็น่าจะพอ “พบกันครึ่งทาง” ได้ ระหว่างผู้ที่สัญจรบนเส้นทางหลักที่ต้องการความสะดวก กับผู้ซื้อ-ผู้ขาย ที่จะได้อยู่กับย่านเก่าแก่นี้ต่อไป
กับอีกทางหนึ่ง คือ 2.หากต้องย้ายไปจริงๆ ขอเป็นทำเลที่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงสะดวก อย่างน้อยๆ ก็ขอให้มีรถประจำทางแล่นผ่านตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งขอให้ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ให้ด้วย ว่าผู้ค้าย่านคลองถมเดิม ย้ายไปค้าขายกัน ณ พื้นที่ใดบ้าง เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบและตามไปจับจ่ายซื้อสินค้าได้ มิใช่ปล่อยลอยแพผู้ค้า บอกว่าเตรียมพื้นที่ไว้ให้ แต่ไม่มีมาตรการอื่นๆ มาสนับสนุนหรือเยียวยา
เพราะต้องไม่ลืมว่า.. “คนรากหญ้า” หาเช้ากินค่ำเหล่านี้ เป็นผู้ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ที่สำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “กลุ่มทุนใหญ่” ใดๆ เลย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
ที่มา : http://www.naewna.com/scoop/136531
----------------
ผมนี่ใจหายเหมือนกันแหละครับ
เมื่อก่อนชอบไปเดินดูของเก่า จำได้ว่ามีหนนึง ไปหยิบกระบี่โบราณ เป็นกระบี่ฝรั่งยุโรปสภาพเก่า
คนขายบอกว่า "น้อง..รู้เปล่าว่านี่เป็นกระบี่อายุร้อยปี เป็นกระบี่ของทหารรักษาพระองค์สมัยรัชกาลที่ 5 เชียวนะ"
ฟังแล้วมันฮึกเหิม อยากได้มาครอบครองเลยทีเดียว ในใจก็พาลคิดว่า "ถ้าเรามีศาสตราวุธชิ้นนี้ เราจะมีพลังเพิ่มขึ้นมหาศาลเป็นแน่แท้"
เลยถามคนขายว่า "พี่ครับ..ราคาเท่าไรครับ?"
"หมื่นสอง..พี่ลดให้ถูกที่สุดละ"
คนขายตอบเช่นนั้น ยาจกบุรุษปลายแถวเช่นผม จึงต้องวางกระบี่เล่มนั้นลง และตัดใจจากมันเสีย
"เราคงไม่มีโอกาสครอบครองอาวุธวิเศษเช่นนี้กระมัง"
ผมได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกจากร้านนั้นไป...
--------------
อีกเรื่องคือการปล่อยไก่ครับ
มีหนนึง ผมไปเจอแท่งเหล็กคล้ายท่อแป๊บ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณเมตรครึ่ง สีทองเหลืองเก่าๆ มีรอยลอก
ผมหยิบขึ้นมาด้วยความคิดว่า มันต้องเป็นพลองโลหะยุคเก่า มีเรื่องเล่าเป็นแน่แท้ อีกทั้งน้ำหนักก็เหมาะมือพอดี หลังทดลองควงเล่นไปมา
"พี่ครับ..นี่มันคืออะไรอะครับ?" ผมถามเจ้าของแผง
"...เสาผ้าม่านอะน้อง"
จบครับ..จบเลย นึกว่าที่ควงเหวี่ยงอยู่ในมือ คือพลองโลหะที่มีตำนานความเป็นยอดศาสตราเสียอีก
ปล่อยไก่กันเลยทีเดียวงานนี้
---------------
ไหนๆ ตลาดเก่าแก่แห่งนี้ก็เดินทางมาถึงตอนอวสานแล้ว
ใครมีความทรงจำอะไรกับที่นี่ ทั้งดีและไม่ดี มารำลึกกันครับ
ปล.ที่ tag ร้องทุกข์ด้วย ยังไงคือฝาก กทม. หน่อยนะครับ ย้ายเขาไปไม่ว่า แต่ขอทำเลที่การเดินทางสะดวกหน่อยก็ดีครับ ทั้งคนซื้อคนขายจะได้อยู่กันได้