บทความน่าสนใจ ความฝันของจีนจะบรรลุไหมในปี 2025 เส้นทางสายไหมใหม่ทางทะเล และทางบก ไอ้กันจะทำยังไง

‘เส้นทางสายไหมใหม่’ โครงการเปลี่ยนโลกแห่งศตวรรษที่ 21


โดย เปเป้ เอสโคบาร์          
20 ธันวาคม 2557 23:52 น.

        (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
      
       Go west, young Han
       By Pepe Escobar
       17/12/2014
      
       ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดขึ้นมาตามแผนการ (และเป็นไปตามความฝันอันบรรเจิดของคณะผู้นำของจีน) โครงการ “เส้นทางสายไหมเใหม่” ก็จะกลายเป็นโครงการแห่งศตวรรษที่ 21 อีกทั้งเป็นเรื่องราวเล่าขานทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในระยะเวลาหลายๆ ทศวรรษข้างหน้า วอชิงตันอาจจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าไป “ปักหมุดในเอเชีย” ทว่าปักกิ่งกลับมีแผนการของตนเองในการเต้นระบำหมุนตัวอย่างเริงร่าเข้าไปในยุโรป โดยเดินทางตัดข้ามมหาทวีปยูเรเชีย
      
       วันที่ 18 พฤศจิกายน 2014 ควรจะเป็นวันที่จดจำกันเอาไว้ในประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล ในวันนั้น ที่เมืองอี้อู (Yiwu) ในมณฑลเจ้อเจียง ของจีน ซึ่งอยู่ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ไปทางใต้ราว 300 กิโลเมตร รถไฟขบวนแรกที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 82 ตู้บรรจุสินค้าส่งออกน้ำหนักรวมกันมากกว่า 1,000 ตัน เดินทางออกจากกลุ่มอาคารคลังสินค้าขนาดมหึมาของเมืองนี้ มุ่งหน้าไปยังกรุงมาดริด ประเทศสเปน และไปถึงจุดหมายปลายทางในอีก 21 วันต่อมา นั่นคือ วันที่ 9 ธันวาคม
      
       ขอต้อนรับเข้าสู่ ทางรถไฟทรานส์ยูเรเชีย (trans-Eurasia) สายใหม่ครับ
      
       ด้วยระยะทางกว่า 13,000 กิโลเมตร เส้นทางสายนี้จะกลายเป็นเส้นทางรถไฟบรรทุกสินค้าซึ่งมีความยาวที่สุดในโลก (นับเฉพาะที่มีการเดินทางกันเป็นประจำ) ได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอะไรเลย เพราะจะมีความยาวยิ่งกว่า “ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย” (Trans-Siberian Railway) ซึ่งกลายเป็นตำนานไปแล้วถึงราว 40% ทีเดียว สินค้าที่ลำเลียงในเส้นทางสายนี้ จะเดินทางข้ามประเทศจีนจากภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตก จากนั้นก็ผ่านคาซัคสถาน, รัสเซีย, เบลารุส, โปแลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, และไปถึงสเปนในท้ายที่สุด
      
       คุณๆ อาจจะนึกอะไรไม่ออกแม้สักน้อยนิดว่า เมืองอี้อู นี่อยู่ตรงไหน แต่สำหรับพวกนักธุรกิจซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการค้าขายข้ามยูเรเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาจากโลกอาหรับด้วยแล้ว พวกเขาต่างยึดโยงผูกพันตัวเองเข้ากับเมือง “ที่กำลังเกิดสิ่งมหัศจรรย์!” แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เรากำลังพูดถึงเมืองที่เป็นศูนย์กลางค้าส่งขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าผู้บริโภคขนาดเล็กๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงของเด็กเล่น เป็นไปได้ทีเดียวว่ามันเป็นศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เฉพาะในจีนเท่านั้น
      
       ทางรถไฟข้ามยูเรเชียเชื่อมต่อระหว่าง อี้อู-มาดริด สายนี้ เป็นตัวแทนการเริ่มต้นของโครงการการพัฒนาขนาดใหญ่โตมโหฬารชุดหนึ่ง ซึ่งมีศักยภาพที่จะพลิกเกมทำให้ความสัมพันธ์และการแข่งขันด้านต่างๆ ในโลกของเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทางรถไฟสายนี้จะกลายเป็นช่องทางโลจิสติกส์ทรงประสิทธิภาพที่มีระยะยาวยาวเหยียดอย่างเหลือเชื่อ และก็จะเป็นตัวแทนของความคิดเชิงภูมิรัฐศาสตร์ชนิดที่คำนึงถึงมนุษย์ โดยเป็นการถักร้อยผู้ค้ารายเล็กๆ เข้ากับตลาดขนาดมหึมาข้ามผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากนั้น ทางรถไฟสายนี้ยังกลายเป็นตัวอย่างรูปธรรมของกระบวนการผนวกดินแดนมหาทวีปยูเรเชียเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่อย่างคึกคักในเวลานี้ และสิ่งสำคัญที่สุดยิ่งกว่าอื่นใด ทางรถไฟสายนี้คือส่วนประกอบส่วนแรกใน “เส้นทางสายไหมใหม่” (New Silk Road) ของจีน ซึ่งมองเห็นกันว่าเป็นโครงการแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 21 อีกทั้งจะกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในระยะเวลาหลายๆ ทศวรรษข้างหน้า
      
       ในสหรัฐอเมริกาช่วงที่มีการบุกเบิกภาคตะวันตก วลีหนึ่งซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันก็คือ “Go west, young man” อันเป็นการแนะนำคนหนุ่มสาวทั้งหลายให้เดินทางไปแสวงโชคยังดินแดนตะวันตก เราสามารถที่จะนำวลีนี้มาปรับใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันเช่นกัน คำแนะนำของผมสำหรับคนหนุ่มสาวชาวจีนฮั่นก็คือ “Go west, young Han” ในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดขึ้นมาตามแผนการ (และเป็นไปตามความฝันอันบรรเจิดของคณะผู้นำของจีน) ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นของพวกคุณ และขนส่งโดยทางรถไฟไฮสปีดด้วย การเดินทางจากจีนไปยังยุโรปจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน ไม่ใช่ 21 วันอย่างในขณะนี้ อันที่จริงแล้ว ขณะที่ขบวนรถไฟสินค้าแล่นออกจากเมืองอี้อู ขบวนรถไฟความเร็วสูง D8602 ก็กำลังออกจากเมืองอูรุมชี (Urumqi) เมืองเอกของมณฑลซินเจียง (ซินเกียง) มุ่งหน้าไปยังเมืองฮามิ (Hami) เมืองที่อยู่ทางภาคตะวันตกสุดของประเทศจีน นั่นเป็นทางรถไฟไฮสปีดสายแรกที่สร้างขึ้นในซินเจียง และทางรถไฟทำนองเดียวกันนี้จะปรากฏออกมาเพิ่มขึ้นอีกในเร็วๆ นี้ตลอดทั่วทั้งประเทศจีน ด้วยอัตราความเร็วซึ่งน่าจะทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนวิงเวียนได้ทีเดียว
      
       ทุกวันนี้ การค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ (container trade การค้าแบบที่ขนส่งสินค้าด้วยการนำไปบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์) ของทั่วโลก 90% ทีเดียวยังคงเดินทางขนส่งกันทางทะเล และนี่คือสิ่งที่ปักกิ่งมีแผนการที่จะเปลี่ยนแปลง โครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน ซึ่งยังอยู่ในขั้นเป็นตัวอ่อนในครรภ์และเดินหน้าไปค่อนข้างช้า จะกลายเป็นตัวอย่างแรกของการทะลุทะลวงกรอบเดิมๆ เพื่อไปสู่การปฏิวัติการค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ชนิดที่จะเดินทางข้ามทวีปกันด้วยเส้นทางบก ไม่ใช่ข้ามน้ำข้ามทะเลกันอีกต่อไป
      
       การปฏิวัติดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดข้อตกลงแบบ “วิน-วิน” ที่ทุกฝ่ายต่างได้ชัยชนะ ในอนาคตข้างหน้า เป็นต้นว่า ต้นทุนค่าขนส่งจะต่ำลง, พวกบริษัทก่อสร้างของจีนจะขยายตัวไกลออกไปอีกในบรรดาประเทศแถบเอเชียกลางที่มีชื่อลงท้ายว่า “สถาน” (stan) ทั้งหลาย ตลอดจนเข้าไปในยุโรป, ก่อให้เกิดเส้นทางที่สะดวกขึ้นและรวดเร็วขึ้นในการลำเลียงเคลื่อนย้ายแร่ยูเรเนียมและโลหะหายากทั้งหลายจากเอเชียกลางไปยังพื้นที่อื่นๆ ของโลก, และเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนซึ่งประกอบด้วยประชากรหลายร้อยล้านคน
      
       ดังนั้น ถ้าหากวอชิงตันมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าไป “ปักหมุดในเอเชีย” แล้ว จีนก็มีแผนการของตนเองอยู่ในใจเหมือนกัน ลองคิดดูเถอะ พวกเขาไม่ได้ “ปักหมุด” แต่กำลังเต้นระบำหมุนตัวอย่างเริงร่าเข้าไปในยุโรป โดยเดินทางตัดข้ามมหาทวีปยูเรเชีย
      
       เปลี่ยนข้างหันมาอยู่กับฝ่ายตะวันออกจะดีกว่าไหม?
      
       อัตราความเร็วที่สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้กำลังบังเกิดขึ้น อยู่ในระดับที่น่าพิศวงงงงวย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประกาศเปิดตัว “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมใหม่” (New Silk Road Economic Belt) ที่กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน ในเดือนกันยายน 2013 อีก 1 เดือนถัดมา ขณะที่อยู่ในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เขาประกาศเรื่อง “เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21” (21st-century Maritime Silk Road) ปักกิ่งให้คำนิยามสรุปแนวความคิดโดยองค์รวมที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนของตนเหล่านี้เอาไว้ว่า คือ “หนึ่งเส้นทางและหนึ่งแถบเศรษฐกิจ” (one road and one belt) ขณะที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่จีนกำลังขบคิดอยู่ มีลักษณะเป็นพหุพจน์ มีลักษณะเป็นเครือข่ายอันสลับซับซ้อนชวนปวดเศียรเวียนเกล้า ของเส้นทางถนน, เส้นทางราง, เส้นทางเดินทะเล, และแถบเศรษฐกิจ จำนวนมากมาย ที่มีลู่ทางโอกาสจะจัดสร้างขึ้นมาและนำมาต่อเชื่อมกัน
      
       ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่จึงเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะอาศัยอิทธิพลบารมีในประวัติศาสตร์ของเส้นทางสายไหมโบราณ ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นสะพานและตัวเชื่อมต่ออารยธรรมต่างๆ ทั้งตะวันออกและตะวันตก ขณะเดียวกับที่สร้างพื้นฐานสำหรับการจัดตั้งเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั่วทั้งยูเรเซียขึ้นมา เขตดังกล่าวนี้อาจจะประกอบด้วยหลายๆ เขตที่มาต่อเชื่อมประสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นพื้นที่ขนาดกว้างขวางมหึมา ทั้งนี้คณะผู้นำจีนได้เปิดไฟเขียวให้จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว โดยที่มีธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศจีน (China Development Bank) เป็นผู้ทำหน้าที่กำกับดูแล กองทุนนี้จะสร้างถนน, ทางรถไฟความเร็วสูง, และสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ ผ่านกลุ่มมณฑลต่างๆ ของจีน ในไม่ช้าไม่นานกองทุนนี้ยังจะขยับขยายออกไปครอบคลุมสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ตะวันออกกลาง, ตลอดจนหลายๆ ส่วนของยุโรป อีกด้วย แต่ถึงอย่างไร เอเชียกลาง ก็จะเป็นเป้าหมายเฉพาะหน้าที่ถือว่าสำคัญที่สุด
      
       บริษัทจีนแห่งต่างๆ จะเข้าไปทำการลงทุน และไปเข้าร่วมการประมูลก่อสร้างจัดทำโครงการ ในประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศซึ่งอยู่ตามแนวทางของเส้นทางสายไหมที่วางแผนกันเอาไว้เหล่านี้ หลังจากแดนมังกรผ่านช่วง 3 ทศวรรษแห่งการพัฒนา ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวมีการดูดซับเงินลงทุนต่างประเทศด้วยอัตราความเร็วอย่างเร็วจี๋น่ากลัวมาก เวลานี้ยุทธศาสตร์ของจีนกำลังปรับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม ด้วยการเปิดไฟเขียวอนุญาตให้เงินทุนของแดนมังกรเอง หลั่งไหลออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้บริษัทจีนเป็นผู้ชนะประมูลได้ทำสัญญาด้านต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แล้วในคาซัคสถาน และได้อีกประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ในอุซเบกิสถาน นอกจากนั้นจีนยังให้เงินกู้ 8,000 ล้านดอลลาร์แก่เติร์กเมนิสถาน และอีก 1,000 ล้านดอลลาร์แก่ทาจิกิสถาน
      
       ในปี 2013 ความสัมพันธ์ที่แดนมังกรมีอยู่กับคีร์กิซสถาน ได้รับการอัปเกรดขึ้นสู่ระดับที่ฝ่ายจีนใช้คำว่า “ระดับยุทธศาสตร์” ขณะเดียวกัน จีนก็กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ เหล่านี้ทุกๆ ราย ยกเว้นเฉพาะอุซเบกิสถานเท่านั้น และถึงแม้อดีตสาธารณรัฐสังคมนิยมของสหภาพโซเวียตในเอเชียกลางเหล่านี้ ยังมีข้อผูกพันกับเครือข่ายสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย แต่จีนก็ไปทำงานในประเทศเหล่านี้ด้วย โดยกำลังสร้างเครือข่ายสายท่อส่งของตนเองขึ้นมา รวมทั้งสายท่อส่งก๊าซสายใหม่ที่ต่อไปจนถึงเติร์กเมนิสถาน และก็ยังจะมีโครงการทำนองนี้ติดตามออกมาเพิ่มขึ้นอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่