ชุมทางคนกล้าตาย
คำนำ
จากสยุมภู ทศพล ถึงท่านผู้อ่านที่เคารพ
ผมมีความจำเป็นต้องขออภัยผู้ที่มีชื่อเกี่ยวข้องอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองสิงห์ รท. ปิ่นพันธ์ (วิเศษ) หรือทหารรับจ้างบางคนซึ่งเคยออกปฏิบัติการร่วมกับผมในแผนการรบที่นองเลือดครั้งนั้น มันเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ผมต้องทำเช่นนั้น ผมไม่มีทางดัดแปลงแก้ไขชื่อบุคคลสถานที่ - ที่เกิดเหตุให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้...เรื่องทุกชุดของผมเป็นเรื่องจริง! ฉะนั้น ผมจะต้องยึด เอกลักษณ์ อันนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานในการเขียนเรื่องของผมต่อไป.. นี่คือเหตุผลของคนเขียนหนังสือที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยที่ไม่รู้วันตายของตัวเอง........สยุมภู ทศพล.......
***
ตอนที่ ๑
เสียงติ๊กๆของนาฬิกาดังขึ้นมาเบาๆสม่ำเสมอกัน...เสียงของมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะเดินท่อมๆอยู่บนผิวสะพานในขณะข้ามแม่น้ำงึม เสียงของมันคล้ายๆกับจะติดตามจังหวะการเดินของผมอยู่เสมอ อีก 5 ชั่วโมงระเบิดเวลาจะทำงาน อา...สะพานใต้น้ำของ ซี.ไอ.เอ. ที่ผมประเมินราคาไม่ถูก จะถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือของผมเชียวหรือนี่ กำลังพล 24 คนจากหมวดที่ 5 กองร้อย 2 ของกองพัน 616 ที่มาเสริมกำลังใหม่ พรั่งพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน “M-72” หรือจรวดแมกนีโตรวมทั้งสิ้น 96 กระบอก ปืนกลเบา “M-60” 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุน 10 หีบ นอกจากนั้นก็มีวิทยุสนาม และ “PRC-77” ครบถ้วนตามอัตรากำลังพลระดับกองร้อยทหารราบทุกประการ
หลังจากเสียเวลาในการข้ามสะพานใต้น้ำเกือบ 45 นาที พวกผมก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกเดินทางในลักษณะแถวตอนเรียงสอง ทหารรับจ้าง 6 คน ซึ่งทำหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วพร้อมด้วยวิทุที่เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนมาอย่างสดๆร้อนๆ สองข้างทางของส้นทางหรือบริเวณพื้นที่-ที่ต้องสงสัยถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน สองชั่วโมงให้หลัง ทหารชุดลาดตระเวนก็ค้นพบร่องรอยของข้าศึกในบริเวณหุบร่องน้ำใกล้ๆกับเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง
ชุดลาดตระเวณส่งรหัสวิทยุให้ผมขึ้นไปสมทบ... ผมกับจ่าสรศักดิ์ และทหารคุ้มกันอีก 3 คน เร่งฝีเท้าขึ้นไปสมทบชุดลาดตระเวณใน 20 นาทีต่อมา ทหารรับจ้างและแม้วอพยพหยุดพักประจำชั่วโมงบนเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง อาหารเย็นจากห่อเรชั่นถูกประกอบขึ้นมาด้วยความเอร็ดอร่อยเป็นมื้อแรก แกงส้ม...แกงจืดเห็ดหูหนูสำเร็จรูป ถูกปรุงขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของพ่อครัวจำเป็น กองไฟหลายสิบกองถูกจุดขึ้นมา เพื่อหุงหาอาหาร ควันไฟลอยคละคลุ้งมองเห็นในระยะเป็นสิบๆกิโลเมตรฃ
ในบริเวณหุบร่องน้ำที่อยู่ต่ำจากขอบถนนลงไปในป่าค่อนข้างทึบเบื้องล่าง รอยเท้าของมนุษย์ปรากฏอยู่บนพื้นทรายมองเห็นเป็นทางยาว ทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณคุกเข่าลงพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็หันมากระซิบกับผมพร้อมกับสอดสายตามองไปรอบๆ บริเวณป่าทึบอย่างระมัดระวัง
“รอยเท้าของไอ้แกว...จำนวนกำลังพลไม่น้อยกว่าสี่คนขึ้นไป ลักษณะของรอยเท้ามุ่งทิศทางไปทางเดียวกับพวกเรา รอยเท้าค่อนข้างใหม่ ผมคิดว่าคงจะเป็นชุดลาดตระเวนของพวกมัน ซึ่งคงจะล่วงหน้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย”
ผมขยับไปคุกเข่าแล้วก้มลงไปพิจารณารอยเท้าที่มองเห็นชัดเจน จนผิดสังเกตนั้นด้วยความเคลือบแคลงใจ มันชัดเจนเหมือนกับพวกมันมีเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าให้พวกเราตรวจการณ์พบยังไงยังงั้น.. จากประสพการณ์ที่ผมเคยห้ำหั่นกับพวกมันมาอย่างชนิดท่วมเลือด ทำให้ผมไม่กล้าพอที่จะวินิจฉัยรอยเท้าของพวกมันได้อย่างง่ายๆ พอผมสังเกตุดูชั่วอึดใจก็พบสิ่งผิดปกติบนรอยเท้าของมันเข้าอย่างบังเอิญ รอยเท้าทุกรอย ปรากฏว่า ตรงบริเวณส้นเท้าปรากฏรอยบุ๋มลึก อันเนื่องจากถูกน้ำหนักตัวกดลงไปมากกว่าส่วนอื่น ส่วนบริเวณปลายนิ้วเท้า รอยจางหายไป จนสังเกตเห็นความแตกต่างได้ชัด มันเป็นลักษณะที่ผิดแปลกไปจากลักษณะการเดินตามปกติอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตามปกติแล้ว คนเราเวลาเดินไปข้างหน้า น้ำหนักตัวจะต้องกดลงที่บริเวณปลายเท้า ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ จะต้องมองเห็นรอยลึกหรือรอยบุ๋มบริเวณปลายนิ้วเท้าอย่างชัดเจน แต่จากร่องรอยดังกล่าว ผมสรุปในทฤษฎีของผมได้ในทันที
“ไอ้แกว” เล่นลูกไม้ต้มชุดลาดตระเวณของผมด้วยการ “เดินถอยหลัง” เข้าให้แล้ว พวกมันเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าเอาไว้ เพียงเพื่อจะอำพรางทิศทางการเคลื่อนที่ของพวกมันอยู่ในที... ทุกคนในชุดลาดตระเวณลงความเห็นว่าทหารเวียดนามเหนือ เคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกับพวกเรา ผมคนเดียว ยืนยันว่า ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือย้อนตลบหลัง เข้ามาเกาะขบวนของพวกเราเสียแล้วขณะนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิดขบวนทหารรับจ้างและแม้วอพยพตกอยู่ในสายตาของพวกมันอย่างสิ้นเชิง... เวลาและโอกาสเท่านั้นที่พวกมันคอยจ้องที่จะถล่มพวกเรา เป็นการแก้แค้นอยู่ทุกขณะ ทหารทุกคนเริ่มคล้อยตามเหตุผลของผม และแล้วแผนการ “ลวง” ทหารเวียดนามเหนือจากสมองชุ่ยๆของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ผมกำชับชุดลาดตระเวณให้รักษาความลับในการที่พบสิ่งผิดปกติของทหารเวียดนามเหนืออย่างเคร่งครัด ต่อจากนั้นผมออกคำสั่งให้ชาวแม้วทั้งหมดเคลื่อนที่ออกไปยังถนนหักมุมข้อศอกเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ผมกำลังพักรับประทานอาหารเย็นประมานหนึ่งกิโลเมตร และกำชับให้ชาวแม้วพักแรมคืน ณ บริเวณดังกล่าว ก่อนตะวันตกดิน ผมสั่งให้ทหารรับจ้างทุกคนสร้างเต้นท์สนามด้วยผ้ากันฝน “ปันโจ” เรียงรายกันเป็นพรืดอยู่บนถนน กองไฟถูกจุดขึ้นมาหยั่งกับมีการเฉลิมฉลอง เสียงทหารรับจ้างคุยกันเอ็ดตระโรได้ยินไปไกลเกือบ 500 เมตร ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว บรรยากาศรอบด้านมัวซัวอย่างรวดเร็ว จั๊กจั่น แมลงกลางคืนขยับปีกกรีดสำเนียงกังวานไปทั่วพงไพร ไฟที่ทหารรับจ้างเจตนาจุดเอาไว้สว่างโพลนอยูท่ามกลางความมืด จากลักษณะดังกล่าว ถ้าเป็นผมเป็นชุดลาดตระเวณของทหารเวียตนามเหนือ ผมจะต้องเข้าใจว่าขบวนเดินทางชุดนี้จะต้องพักแรมคืนอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวอย่างแน่นอน
19.00 น. ท่ามกลางความมืดสลัวของบรรยากาศรอบด้าน ทหารรับจ้างคืบคลานลงข้างทางอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นไปวางแนวอยู่บนสันเนิน ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากที่พักแรมเกือบ 50 เมตร หนึ่งชั่วโมงเต็มๆที่พวกผมปีนเขาขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ละก้าวแต่ละคืบเต็มไปด้วยความลำบากแทบเลือดตากระเด็น จากระยะทางบนแผนที่เหลืออีกประมาน 5 ก.ม. ก็จะถึงสนามบินนาซู ระยะขนาดนี้ถ้าพวกผมออกเดินทางรวดเดียวในตอนกลางคืนด้วยอัตราการเดินทางตามปกติ ไม่กี่ชั่วโมงผมก็เข้าถึงชานเมืองนาซูได้อย่างสบาย การเดินทางเข้าสู่นาซูในเวลากลางคืน อันตรายอันดับแรกก็คือการเข้าใจผิดระหว่างยามรักษาการณ์กับทหารของผม อันดับต่อไปก็ทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งเกาะหลังทหารของพวกผมมาติดๆอาจจะสวมรอยปะปนเล็ดรอดเข้าไปในสนามบินก็ได้ ผมไม่แน่ใจตัวเองพุ่งขึ้นมาในห้วงคิด... ความเชื่อมั่นในทฤษฎีเริ่มบังเกิดความลังเลใจ
อา...ทฤษฎีของผมจะถูกต้องไหมหนอ หรือว่าเหตุผลของทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณ เป็นฝ่ายถูกต้องที่แท้จริง ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือชุดนั้นคงจะเดินอกตั้งเคลื่อนที่เข้าไปซุกซ่อน อยู่ในเมืองนาซูเรียบร้อยแล้วละกระมัง? บางทีความเชื่อมั่นตัวเองเกินไปของผู้บังคับบัญชาก็อาจจะพาทหารไปพบกับความวิบัติอันใหญ่หลวง ซึ่งคาดไม่ถึงก็อาจจะเป็นได้ ผมกัดฟันสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นมาดู 23.30 น. พอดิบพอดี...
แสงไฟจากที่พักแรมของผมสิ้นแสงไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทหารรับจ้างที่อยู่ใกล้ๆกับผมฟุบหน้าลงกับพื้นทำเสียงอึกอักอยู่ชั่วครู่ก็จามออกมาเต็มแรง ในเวลาเดียวกันนั่นเองก็ปรากฏแสงสว่างแวบขึ้นมาสองจุดซ้อนๆ ทางเบื้องหน้าของผมเหนือจุดพักแรมขึ้นไปประมาน 50 เมตร แสงสว่างเหมือนกับผีพุ่งไต้วิ่งออกจากพื้นที่ดังกล่าวตรงลงมายังจุดพักแรมของผมด้วยความเร็วจนดูแทบไม่ทัน
“แว้ด...บึ้ม” “แว้ด...บึ้ม” จรวดอาร์พีจี 2 นัดซ้อนๆ ถล่มลงไปในจุดพักแรมของผมเกือบจะพร้อมๆกัน เสียงระเบิดอันรุนแรง กลบเสียงจามของทหารรับจ้างไปโดยสิ้นเชิง จากแสงไฟที่เกิดขึ้นจากอำนาจระเบิดทำให้เต๊นท์สนามที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวๆอยู่นั้นหลุดลอยขึ้นจากพื้นถนนเหมือนกับโดนพายุหมุน มันกระเด็นคว้างอยู่ชั่วครู่ก้ปลิวแวบลงไปข้างๆทาง “บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
คราวนี้ไม่ใช่อำนาจระเบิดจากฝีมือข้าศึกของข้าศึกหรอกครับ เสียงระเบิดที่กระหึ่มขึ้นมาในขณะที่เต๊นท์สนามถอนรากถอนโคลนหลุดปลิวออกไปนั้นมันได้ดึงเอาลูกระเบิด “M-26” ที่พวกผมถอดสลักนิรภัยออกเรียบร้อยแล้ว หลุดปลิวตามออกไปด้วย ด้วยกรรมวิธีอย่างง่ายๆ ที่ทำให้แผน “ลวง” ของผมสมบทสมผลยิ่งขึ้น... ผมสั่งให้ทหารรับจ้างถอดสลักนิรภัยลูกระเบิดออกแล้วหาวัตถุหนักพอสมควรทับลูกระเบิดเอาไว้
แรงระเบิดของจรวด “อาร์พีจี” ผลักดันวัตถุที่วางทับ “M-26” หลุดออกไป ลูกระเบิดจึงทำงาน เสียงระเบิดแทรกซ้อนขึ้นมาย่อมทำให้ทหารเวียดนามเหนือคาดว่าการยิงของเขาคงจะได้ผล วัตถุระเบิดทุกชนิดของพวกเรา คงจะโดนทำลายลงหมดสิ้นแล้ว “ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆ” ปืนกลหนักชนิดหนึ่ง ยิงระรัวเป็นจังหวะจะโคนด้วยช่วงการยิงครั้งละ 5 นัดครางระงมอยู่เหนือแนวขึ้นไปข้างบน กระสุนส่องแสงสีเขียวเข้มพรุ่งปร๊าดผ่านศรีษะผมลงไปเบื้องล่างเป็นสาย อา....ทหารเวียดนามเหนือแอบเข้ามาตั้งรังปืนกลหนักอยู่บนศรีษะของพวกเรานี่เอง ความมืดและการระมัดระวังในขณะเคลื่อนที่ ทำให้พวกผม “ปลอด” จากสายตาของพวกมันไปอย่างหวุดหวิดเต็มที จากสภาพของเหตุการณ์ที่ผมมองเห็น ถ้าพวกผมไม่ล่วงรู้แผนการของพวกมันมาก่อน เชื่อขนมแกวกินก่อนก็ได้ว่าในคืนนี้พวกผมจะต้องแหลกรานไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว ทหารเวียดนามเหนือตั้งอาวุธหนักเป็นสามจุดในลักษณะแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ที่เห็นมุมแหลมเข้าหาแนวของผม ส่วนอีกสองจุดอยู่เยื้องออกไปยังฟากถนนเบื้องหน้า ด้วยลักษณะการยิงประสานกันลงมาจากเบื้องสูงเช่นนี้...แล้วมันจะมีอะไรเหลือ เสียงจรวดอาร์พีจี...ปืนกลหนัก...ลูกระเบิด เอ็ม-26 ปืนอาร์ก้า แผดเสียงครางระงมประสานกันขึ้นมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ เต๊นท์สนามกระจุยกระจายราบเป็นหน้ากลอง
ความลำพองใจที่พวกมันยิงถล่มจุดพักแรมของพวกเราแหลกราน ทำให้พวกมันลืมสิ่งหนึ่งไปอย่างถนัดใจ พวกมันลืมคิดไปว่า ทำไมจึงไม่มีเสียงปืนยิงต่อสู้มาจากเต๊นท์สนามแม้แต่นัดเดียว...สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่มองข้ามกันแบบนี้ มักจะทำให้หน่วยทหารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม “พัง” กันมานักต่อนักแล้ว 30 นาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า 30 นาทีที่ทหารเวียดนามเหนือระดมยิงเต๊นท์สนามของพวกผมอย่างชนิดต่อเนื่องกันโดยมิได้หยุดพัก อาร์พีจีชุดสุดท้าย ไม่น้อยกว่า 10 ลูก กระหน่ำจุดพักแรมของพวกผมเป็นการสั่งลา
ชุมทางคนกล้าตาย ๑๙ ธ.ค.๕๗
คำนำ
จากสยุมภู ทศพล ถึงท่านผู้อ่านที่เคารพ
ผมมีความจำเป็นต้องขออภัยผู้ที่มีชื่อเกี่ยวข้องอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองสิงห์ รท. ปิ่นพันธ์ (วิเศษ) หรือทหารรับจ้างบางคนซึ่งเคยออกปฏิบัติการร่วมกับผมในแผนการรบที่นองเลือดครั้งนั้น มันเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ผมต้องทำเช่นนั้น ผมไม่มีทางดัดแปลงแก้ไขชื่อบุคคลสถานที่ - ที่เกิดเหตุให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้...เรื่องทุกชุดของผมเป็นเรื่องจริง! ฉะนั้น ผมจะต้องยึด เอกลักษณ์ อันนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานในการเขียนเรื่องของผมต่อไป.. นี่คือเหตุผลของคนเขียนหนังสือที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยที่ไม่รู้วันตายของตัวเอง........สยุมภู ทศพล.......
***
ตอนที่ ๑
เสียงติ๊กๆของนาฬิกาดังขึ้นมาเบาๆสม่ำเสมอกัน...เสียงของมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะเดินท่อมๆอยู่บนผิวสะพานในขณะข้ามแม่น้ำงึม เสียงของมันคล้ายๆกับจะติดตามจังหวะการเดินของผมอยู่เสมอ อีก 5 ชั่วโมงระเบิดเวลาจะทำงาน อา...สะพานใต้น้ำของ ซี.ไอ.เอ. ที่ผมประเมินราคาไม่ถูก จะถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือของผมเชียวหรือนี่ กำลังพล 24 คนจากหมวดที่ 5 กองร้อย 2 ของกองพัน 616 ที่มาเสริมกำลังใหม่ พรั่งพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน “M-72” หรือจรวดแมกนีโตรวมทั้งสิ้น 96 กระบอก ปืนกลเบา “M-60” 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุน 10 หีบ นอกจากนั้นก็มีวิทยุสนาม และ “PRC-77” ครบถ้วนตามอัตรากำลังพลระดับกองร้อยทหารราบทุกประการ
หลังจากเสียเวลาในการข้ามสะพานใต้น้ำเกือบ 45 นาที พวกผมก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกเดินทางในลักษณะแถวตอนเรียงสอง ทหารรับจ้าง 6 คน ซึ่งทำหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วพร้อมด้วยวิทุที่เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนมาอย่างสดๆร้อนๆ สองข้างทางของส้นทางหรือบริเวณพื้นที่-ที่ต้องสงสัยถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน สองชั่วโมงให้หลัง ทหารชุดลาดตระเวนก็ค้นพบร่องรอยของข้าศึกในบริเวณหุบร่องน้ำใกล้ๆกับเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง
ชุดลาดตระเวณส่งรหัสวิทยุให้ผมขึ้นไปสมทบ... ผมกับจ่าสรศักดิ์ และทหารคุ้มกันอีก 3 คน เร่งฝีเท้าขึ้นไปสมทบชุดลาดตระเวณใน 20 นาทีต่อมา ทหารรับจ้างและแม้วอพยพหยุดพักประจำชั่วโมงบนเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง อาหารเย็นจากห่อเรชั่นถูกประกอบขึ้นมาด้วยความเอร็ดอร่อยเป็นมื้อแรก แกงส้ม...แกงจืดเห็ดหูหนูสำเร็จรูป ถูกปรุงขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของพ่อครัวจำเป็น กองไฟหลายสิบกองถูกจุดขึ้นมา เพื่อหุงหาอาหาร ควันไฟลอยคละคลุ้งมองเห็นในระยะเป็นสิบๆกิโลเมตรฃ
ในบริเวณหุบร่องน้ำที่อยู่ต่ำจากขอบถนนลงไปในป่าค่อนข้างทึบเบื้องล่าง รอยเท้าของมนุษย์ปรากฏอยู่บนพื้นทรายมองเห็นเป็นทางยาว ทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณคุกเข่าลงพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็หันมากระซิบกับผมพร้อมกับสอดสายตามองไปรอบๆ บริเวณป่าทึบอย่างระมัดระวัง
“รอยเท้าของไอ้แกว...จำนวนกำลังพลไม่น้อยกว่าสี่คนขึ้นไป ลักษณะของรอยเท้ามุ่งทิศทางไปทางเดียวกับพวกเรา รอยเท้าค่อนข้างใหม่ ผมคิดว่าคงจะเป็นชุดลาดตระเวนของพวกมัน ซึ่งคงจะล่วงหน้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย”
ผมขยับไปคุกเข่าแล้วก้มลงไปพิจารณารอยเท้าที่มองเห็นชัดเจน จนผิดสังเกตนั้นด้วยความเคลือบแคลงใจ มันชัดเจนเหมือนกับพวกมันมีเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าให้พวกเราตรวจการณ์พบยังไงยังงั้น.. จากประสพการณ์ที่ผมเคยห้ำหั่นกับพวกมันมาอย่างชนิดท่วมเลือด ทำให้ผมไม่กล้าพอที่จะวินิจฉัยรอยเท้าของพวกมันได้อย่างง่ายๆ พอผมสังเกตุดูชั่วอึดใจก็พบสิ่งผิดปกติบนรอยเท้าของมันเข้าอย่างบังเอิญ รอยเท้าทุกรอย ปรากฏว่า ตรงบริเวณส้นเท้าปรากฏรอยบุ๋มลึก อันเนื่องจากถูกน้ำหนักตัวกดลงไปมากกว่าส่วนอื่น ส่วนบริเวณปลายนิ้วเท้า รอยจางหายไป จนสังเกตเห็นความแตกต่างได้ชัด มันเป็นลักษณะที่ผิดแปลกไปจากลักษณะการเดินตามปกติอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตามปกติแล้ว คนเราเวลาเดินไปข้างหน้า น้ำหนักตัวจะต้องกดลงที่บริเวณปลายเท้า ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ จะต้องมองเห็นรอยลึกหรือรอยบุ๋มบริเวณปลายนิ้วเท้าอย่างชัดเจน แต่จากร่องรอยดังกล่าว ผมสรุปในทฤษฎีของผมได้ในทันที
“ไอ้แกว” เล่นลูกไม้ต้มชุดลาดตระเวณของผมด้วยการ “เดินถอยหลัง” เข้าให้แล้ว พวกมันเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าเอาไว้ เพียงเพื่อจะอำพรางทิศทางการเคลื่อนที่ของพวกมันอยู่ในที... ทุกคนในชุดลาดตระเวณลงความเห็นว่าทหารเวียดนามเหนือ เคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกับพวกเรา ผมคนเดียว ยืนยันว่า ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือย้อนตลบหลัง เข้ามาเกาะขบวนของพวกเราเสียแล้วขณะนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิดขบวนทหารรับจ้างและแม้วอพยพตกอยู่ในสายตาของพวกมันอย่างสิ้นเชิง... เวลาและโอกาสเท่านั้นที่พวกมันคอยจ้องที่จะถล่มพวกเรา เป็นการแก้แค้นอยู่ทุกขณะ ทหารทุกคนเริ่มคล้อยตามเหตุผลของผม และแล้วแผนการ “ลวง” ทหารเวียดนามเหนือจากสมองชุ่ยๆของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ผมกำชับชุดลาดตระเวณให้รักษาความลับในการที่พบสิ่งผิดปกติของทหารเวียดนามเหนืออย่างเคร่งครัด ต่อจากนั้นผมออกคำสั่งให้ชาวแม้วทั้งหมดเคลื่อนที่ออกไปยังถนนหักมุมข้อศอกเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ผมกำลังพักรับประทานอาหารเย็นประมานหนึ่งกิโลเมตร และกำชับให้ชาวแม้วพักแรมคืน ณ บริเวณดังกล่าว ก่อนตะวันตกดิน ผมสั่งให้ทหารรับจ้างทุกคนสร้างเต้นท์สนามด้วยผ้ากันฝน “ปันโจ” เรียงรายกันเป็นพรืดอยู่บนถนน กองไฟถูกจุดขึ้นมาหยั่งกับมีการเฉลิมฉลอง เสียงทหารรับจ้างคุยกันเอ็ดตระโรได้ยินไปไกลเกือบ 500 เมตร ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว บรรยากาศรอบด้านมัวซัวอย่างรวดเร็ว จั๊กจั่น แมลงกลางคืนขยับปีกกรีดสำเนียงกังวานไปทั่วพงไพร ไฟที่ทหารรับจ้างเจตนาจุดเอาไว้สว่างโพลนอยูท่ามกลางความมืด จากลักษณะดังกล่าว ถ้าเป็นผมเป็นชุดลาดตระเวณของทหารเวียตนามเหนือ ผมจะต้องเข้าใจว่าขบวนเดินทางชุดนี้จะต้องพักแรมคืนอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวอย่างแน่นอน
19.00 น. ท่ามกลางความมืดสลัวของบรรยากาศรอบด้าน ทหารรับจ้างคืบคลานลงข้างทางอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นไปวางแนวอยู่บนสันเนิน ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากที่พักแรมเกือบ 50 เมตร หนึ่งชั่วโมงเต็มๆที่พวกผมปีนเขาขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ละก้าวแต่ละคืบเต็มไปด้วยความลำบากแทบเลือดตากระเด็น จากระยะทางบนแผนที่เหลืออีกประมาน 5 ก.ม. ก็จะถึงสนามบินนาซู ระยะขนาดนี้ถ้าพวกผมออกเดินทางรวดเดียวในตอนกลางคืนด้วยอัตราการเดินทางตามปกติ ไม่กี่ชั่วโมงผมก็เข้าถึงชานเมืองนาซูได้อย่างสบาย การเดินทางเข้าสู่นาซูในเวลากลางคืน อันตรายอันดับแรกก็คือการเข้าใจผิดระหว่างยามรักษาการณ์กับทหารของผม อันดับต่อไปก็ทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งเกาะหลังทหารของพวกผมมาติดๆอาจจะสวมรอยปะปนเล็ดรอดเข้าไปในสนามบินก็ได้ ผมไม่แน่ใจตัวเองพุ่งขึ้นมาในห้วงคิด... ความเชื่อมั่นในทฤษฎีเริ่มบังเกิดความลังเลใจ
อา...ทฤษฎีของผมจะถูกต้องไหมหนอ หรือว่าเหตุผลของทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณ เป็นฝ่ายถูกต้องที่แท้จริง ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือชุดนั้นคงจะเดินอกตั้งเคลื่อนที่เข้าไปซุกซ่อน อยู่ในเมืองนาซูเรียบร้อยแล้วละกระมัง? บางทีความเชื่อมั่นตัวเองเกินไปของผู้บังคับบัญชาก็อาจจะพาทหารไปพบกับความวิบัติอันใหญ่หลวง ซึ่งคาดไม่ถึงก็อาจจะเป็นได้ ผมกัดฟันสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นมาดู 23.30 น. พอดิบพอดี...
แสงไฟจากที่พักแรมของผมสิ้นแสงไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทหารรับจ้างที่อยู่ใกล้ๆกับผมฟุบหน้าลงกับพื้นทำเสียงอึกอักอยู่ชั่วครู่ก็จามออกมาเต็มแรง ในเวลาเดียวกันนั่นเองก็ปรากฏแสงสว่างแวบขึ้นมาสองจุดซ้อนๆ ทางเบื้องหน้าของผมเหนือจุดพักแรมขึ้นไปประมาน 50 เมตร แสงสว่างเหมือนกับผีพุ่งไต้วิ่งออกจากพื้นที่ดังกล่าวตรงลงมายังจุดพักแรมของผมด้วยความเร็วจนดูแทบไม่ทัน
“แว้ด...บึ้ม” “แว้ด...บึ้ม” จรวดอาร์พีจี 2 นัดซ้อนๆ ถล่มลงไปในจุดพักแรมของผมเกือบจะพร้อมๆกัน เสียงระเบิดอันรุนแรง กลบเสียงจามของทหารรับจ้างไปโดยสิ้นเชิง จากแสงไฟที่เกิดขึ้นจากอำนาจระเบิดทำให้เต๊นท์สนามที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวๆอยู่นั้นหลุดลอยขึ้นจากพื้นถนนเหมือนกับโดนพายุหมุน มันกระเด็นคว้างอยู่ชั่วครู่ก้ปลิวแวบลงไปข้างๆทาง “บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
คราวนี้ไม่ใช่อำนาจระเบิดจากฝีมือข้าศึกของข้าศึกหรอกครับ เสียงระเบิดที่กระหึ่มขึ้นมาในขณะที่เต๊นท์สนามถอนรากถอนโคลนหลุดปลิวออกไปนั้นมันได้ดึงเอาลูกระเบิด “M-26” ที่พวกผมถอดสลักนิรภัยออกเรียบร้อยแล้ว หลุดปลิวตามออกไปด้วย ด้วยกรรมวิธีอย่างง่ายๆ ที่ทำให้แผน “ลวง” ของผมสมบทสมผลยิ่งขึ้น... ผมสั่งให้ทหารรับจ้างถอดสลักนิรภัยลูกระเบิดออกแล้วหาวัตถุหนักพอสมควรทับลูกระเบิดเอาไว้
แรงระเบิดของจรวด “อาร์พีจี” ผลักดันวัตถุที่วางทับ “M-26” หลุดออกไป ลูกระเบิดจึงทำงาน เสียงระเบิดแทรกซ้อนขึ้นมาย่อมทำให้ทหารเวียดนามเหนือคาดว่าการยิงของเขาคงจะได้ผล วัตถุระเบิดทุกชนิดของพวกเรา คงจะโดนทำลายลงหมดสิ้นแล้ว “ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆ” ปืนกลหนักชนิดหนึ่ง ยิงระรัวเป็นจังหวะจะโคนด้วยช่วงการยิงครั้งละ 5 นัดครางระงมอยู่เหนือแนวขึ้นไปข้างบน กระสุนส่องแสงสีเขียวเข้มพรุ่งปร๊าดผ่านศรีษะผมลงไปเบื้องล่างเป็นสาย อา....ทหารเวียดนามเหนือแอบเข้ามาตั้งรังปืนกลหนักอยู่บนศรีษะของพวกเรานี่เอง ความมืดและการระมัดระวังในขณะเคลื่อนที่ ทำให้พวกผม “ปลอด” จากสายตาของพวกมันไปอย่างหวุดหวิดเต็มที จากสภาพของเหตุการณ์ที่ผมมองเห็น ถ้าพวกผมไม่ล่วงรู้แผนการของพวกมันมาก่อน เชื่อขนมแกวกินก่อนก็ได้ว่าในคืนนี้พวกผมจะต้องแหลกรานไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว ทหารเวียดนามเหนือตั้งอาวุธหนักเป็นสามจุดในลักษณะแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ที่เห็นมุมแหลมเข้าหาแนวของผม ส่วนอีกสองจุดอยู่เยื้องออกไปยังฟากถนนเบื้องหน้า ด้วยลักษณะการยิงประสานกันลงมาจากเบื้องสูงเช่นนี้...แล้วมันจะมีอะไรเหลือ เสียงจรวดอาร์พีจี...ปืนกลหนัก...ลูกระเบิด เอ็ม-26 ปืนอาร์ก้า แผดเสียงครางระงมประสานกันขึ้นมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ เต๊นท์สนามกระจุยกระจายราบเป็นหน้ากลอง
ความลำพองใจที่พวกมันยิงถล่มจุดพักแรมของพวกเราแหลกราน ทำให้พวกมันลืมสิ่งหนึ่งไปอย่างถนัดใจ พวกมันลืมคิดไปว่า ทำไมจึงไม่มีเสียงปืนยิงต่อสู้มาจากเต๊นท์สนามแม้แต่นัดเดียว...สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่มองข้ามกันแบบนี้ มักจะทำให้หน่วยทหารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม “พัง” กันมานักต่อนักแล้ว 30 นาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า 30 นาทีที่ทหารเวียดนามเหนือระดมยิงเต๊นท์สนามของพวกผมอย่างชนิดต่อเนื่องกันโดยมิได้หยุดพัก อาร์พีจีชุดสุดท้าย ไม่น้อยกว่า 10 ลูก กระหน่ำจุดพักแรมของพวกผมเป็นการสั่งลา