เป็นความผิดของเด็กหรือผู้ใหญ่ ?

ที่มาของหัวข้อนี้เลยคือ  เราอยากรุ้ว่าที่เด็กไทยเป็นแบบนี้กันเป็นส่วนใหญ่เนี่ย มันเป็นความผิดของใครกันแน่

เริ่มเลยน่ะค่ะ    ตอนเด็กเรา (ร่วมทั้งเด็กคนอื่นๆ เราเชื่อว่ามีคนโดนแบบเรา)   ตอนเด็กผู้ใหญ่มากจะพร่ำสอนว่า
ต้องตั้งใจเรียนนะ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน   (จากประโยคนี้ใครเจอเหมือนเรา ยกมือขึ้น)   ผู้ใหญ่ก็มักจะสอนว่าต้องตั้งใจเรียน
ต้องขยัน  อดออม  และอดทน  โตขึ้นจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี และหวังว่าจะรวย !

คือเราเข้าใจน่ะว่า เขาคงอยากให้เราได้ดี มีอนาคตที่ไกล  แต่จากที่สอนมามันทำให้เด็กไทย แทบจะทุกคนได้
ต้องมานั่งเครียดกับการสอบเข้ามหาลัย  พอเอ็นไม่ติด  แอดมิดชั่นไม่ติด มีฆ่าตัวตายด้วย
เราเลยสงสัยว่า  เขาทำไมต้องเครียดกันขนาดนั้น   จบมาขั้นต่ำปริญญาตรี 15,000  หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ
แต่เขากลับเอาชีวิตทั้งหมดไปทุ่มกับการเรียนแค่ตำราเพื่อหวังจะให้ติดมหาลัย  แต่จบมามีเงินเดือน 15000 ใช้  แค่นั้นหรอ ?



เรารู้ศึกว่า เด็กไทยเราจมปรักอยุ่กับแค่ตำรามากไป   เราโดนพร่ำสอน เราเหมือนโดนฝังชิบลงไปภายใต้จิตสำนึกว่า
เราต้องตั้งใจเรียน เราต้องได้เกรดสี่  หรือเราต้องเข้ามหาลัยดีๆ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เรียนไปเราได้อะไรจากมันจริงๆนะหรอ
แถมยังต้องมาท่องตำรา (เน้นว่า "ท่อง" )  เราต้องมานั่งท่องหนังสือ ท่องตำรา
เพื่ออะไรหรอค่ะ   เราไม่ได้อยากรู้มันเลยว่ามันมีประโยชน์กับชีวิตเรายังไง  แต่เราท่องแทบเป็นเเทบตาย  เพื่ออออ   "เอาไปสอบ"
ถามว่า  ที่ท่องๆไปนั้นเราอยากรู้จริงๆหรอ เราอยากจะอ่านมันจริงๆหรอ


หลายๆคน ไม่เข้าใจว่า เราต้องการอะไร  เราต้องทำอะไร  หลายคนอยากรวย  (เห็นมีเต็มเลยกระทู้อยากรวย  อยากทำงานเสริม เพราะอะไรค่ะ เพราะงานประจำ มันให้ผลตอบแทนน้อยไง  )  เรียนมาเเทบตาย  เรียนมาตั้งแต่จำความได้  กี่ปีๆ ที่ต้องเสียเวลาไปกับมัน โดยที่เราเหมือนกำลังหลอกตัวเองว่าตัวเองเก่ง  โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอนาคตของเราจะเป็นแบบไหน  เพราะเราไม่ได้เป็นคนกำหนด แต่เราให้เกรดเฉลี่ยเปนตัวกหนด   เนี่ยมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ประถมแล้ววววว    ที่ต้องมานั่งลุ้นเกรดว่าตัวเองจะได้เกรดเท่าไหร่  แล้วพ่อแม่บางคนก็ต้องมานั่งกลุ้มใจลูกที่ลูกเกรดน้อย
แล้วตีความหมายว่าลูกตัวเองนั้นโง่  แล้วคุณแน่ใจแค่ไหนว่าตำราที่อ่านที่เรียนมา มันถูกหรือมันดีจริง  เราต้องเชื่อ เราต้องเรียน
เพราะหนังสือพวกนี้เป็นทุกอย่างของชีวิตเราหรอ


แล้วจากที่คนประสบความสำเร็จ ของโลก เราก็ไม่เห็นใครเขาตอบว่า  เพราะผมตั้งใจเรียน เพราะผมทุ่มอ่านตำรา เพราะผมได้เกรดสี่
ผมเลยประสบความสำเร็จมาถึงจุดๆๆนี้   ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ  เขาสำเร็จได้อย่างไรหรอ  
เพราะเขาทำในสิ่งที่รัก  เพราะเขาทำในสิ่งที่เขาถนัด  เพราะเขาไม่มัวแต่มานั่งจมปรักกับตำราหลายสิบปี ที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนข้อมูลหรือเปล่า
หนังสือที่พิมพ์ออกมา เรามั่นใจ จนเราทุ่มทุกอย่างไปกับมันเลยหรอ

ไม่ได้จะบอกว่าหนังสือเรียนมันไม่ดีน่ะค่ะ  หนังสือทุกอย่างมันดีมันให้ความรู้  แต่เราไม่ยอมรู้ อะไรหลายๆอย่างจากภายนอกมากกว่า
หลายๆคนเชื่อกับตำราเรียนมากเกินไป    ทุ่มกับการเรียนเลยไม่มีเวลามาพิจารณาตัวเองว่าตัวเองชอบหรือรักในอะไร
อยากเป็นอะไร อยากเป้นมนุษย์เงินเดือนกันหรอ



เกือบทุกคนเลย ที่เรียนมหาลัยแต่คิดว่า ต้องทำเกรดดีๆๆ เพื่อที่เราจะได้งานดีๆทำ เพื่อที่เราจะได้ไปอยู่บริษัทที่ดี  บริษัทชั้นนำ
แต่ทำไมไม่มีคนที่จะสร้างบริษัทเองล่ะ  ทำไมต้องคิดว่าเรียนมาตั้งหลายปี เกือบทั้งชีวิต เพื่อที่จะไปทำงานให้คนอื่นและตัวเองก็รับเงินเดือนไป
อย่างนั้นหรอที่เราต้องการ  ลองถามตัวเองดูน่ะค่ะ    แล้วพอได้งานประจำทำหลายคนก็อยากมีบ้านมีรถเป็นของตัวเอง

แต่เงินที่ได้กับสิ่งที่ต้องการ  มันพอหรอ ???  ทำไงล่ะ  ก็ต้องหารายได้เสริม จริงไหม ??


เนี่ยพอมาถึงตรงนี้ เราเลยอยากรู้ว่า สิ่งที่ทำๆกันอยู่เนี่ย มันดีแล้วหรอ   มันใช่เราหรอ  ลองเปลี่ยนทัศนะคติใหม่น่ะค่ะ


ชีวิตเด็กมหาลัย  น้อยคนนักที่จะพยายามหาทาง กเษียณจากการทำงานก่อนอายุ 60  ทุกคนต่างเฝ้าฝันว่าจะมีบริษัทขั้นนำ มารับเข้าทำงาน
แล้วก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่ พยายามอ่านหนังสือทั้งชีวิต เพื่อมาเป็นคนๆๆหนึ่ง ที่เจ้าของบริษัท ไม่รู้เเม้กระทั่งชื่อจริงของคุณ
หรือคุณอาจไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ    เดินเจอกันข้างนอกคุณอาจไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้านายคุณและแน่นอน เขาไม่มีทางรู้หรอกว่า
คุณเป็นพนักงานในบริษัทเขา


เราตั้งกระทู้นี้เพื่ออยากให้หลายๆคนที่กำลังคิดแบบนี้   ลองมองตัวเองใหม่น่ะค่ะว่าสิ่งที่กำลังทำมันใช่ตัวเราหรอ
ทำไมเราต้องคล้อยไปกับระบบทุนนิยม  ทำไมเราต้องคิดว่าความคิดของคนอื่นถูก  (เราไม่ได้บอกให้มาเชื่อเราน่ะ  แต่ส่วนมากที่เราเห็นมันเป็นแบบนี้)
สมมุติว่าคุณมีเงินเดือน 50,000 (นี่มากกว่า เงินเดือนขั้นต่ำทั่วไปถึง 3 เท่าน่ะคะ)  คุณยังไม่มีปัญญาซื้อรถขับ ภายใน10ปีเลยค่ะ โดยที่ซื้อเงินสดน่ะค่ะ
สมมุติว่ารถเก๋งธรรมดา ราคา 500,000  10ปี คุณยังซื้อเงินสดไม่ได้  50,000 นี่ไหนจะเป็นค่ากินค่าอยู่  ผ่อนบ้าน จ่ายค่าบัตรเครดิตอะไรก็ว่าไป
ไม่มีทางพอที่จะเก็บเงินซื้อรถด้วยเงินสดแน่นอน  แล้วรถในฝันของคุณล่ะ ทุกคนต้องมีรถในฝันโดยเฉพาะผู้ชาย ถูกไหมค่ะ  อย่าฟอรารี่   ลัมโบ
พอช  เบ้นซ์  บีเอ็ม เ ป็นต้น  เงินเดือน50,000  ซึ้งมากกว่าเงินเดือนขั้นต่ำถึงสามเท่า  คุณก็ไม่มีทางถอยรถพวกนี้ได้หรอกค่ะ


เฉพาะนั้นเราอยากบอกว่า  สิ่งที่เราโดนสอนไป มันใช้ไม่ได้สำหรับยุคนี้แล้ว  สิ่งที่เราโดนสอนคือ ขยัน ซื้อสัตย์ ประหยัด อดทน  ตั้งใจเรียน
มันใช้ไม่ได้แล้วว    เมือ่ก่อนมีเงิน10 ล้านเอาเงินไปฝากธนาคารเพื่อหวังจะได้ กินดอกเบี้ยเดือนละเเสน   (นั้นมันเมือ่ก่อน)
แต่ปัจจุบัน มีเงินสิบล้าน  ดอกเบี้ยที่คุณได้  มันน้อยมากกกกกกกกกก   เราเลยบอกคุณว่าคำสอนที่สอนมา มันใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน !


แต่ทำไมหลายๆคน ยังยึดคำสอนที่คุณปู่ คุณตาสอนมาอยู่ล่ะค่ะ
หนังสือดีๆก็มีให้อ่าน  แต่ไม่ค่อยได้อ่านกัน  ถึงอ่านน้อยนักที่จะทำตาม  มองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอยู่เสมอ
เพื่อนมหาลัยแต่ละคน  เลิกเรียนนกินเหล้าหลังมอกันเพียบ  เลิกเรียนไปเดินสยาม  เลิกเรียนไปดูหนัง
เห็นเยอะแยะๆ โดยที่เขาจะรู้ไหมว่า จบมาทำงาน ชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาย

และที่เราจะต้องเผชิญคือ เปิด AEC  ในเร็วๆๆนี้
เด็กไทยจบมา ไม่ได้เเข่งกับเด็กด้วยกันแค่นั้น  แต่ยังต้องเเข่งกับเด้กซิ่วหรือ พวกตกงานที่หางานทำ  แข่งกับอีกหลายๆคน
และที่จะต้องแข่งขันกันอีกคือ  อาเซียน   และประเทศ 9 ประเทศเพื่อนบ้าน  เขาพูดภาษาอังกฤษกันได้น่ะค่ะ อย่าลืม
เด็กไทยเรา  อังกฤษส่วนมาก งูๆปลาๆ อันนี้พูดความจริง เน้นย้ำว่าส่วนมาก จริงไหมคะ
แล้วเราจะเอาอะไรไปสู่กับเขา  ส่วนแรงงาน  พวกเเรงงานต่างด้าว แรงงานพม่า ลาวเป็นต้น  เขาขยันกว่าคนไทย
เขาอดทนกว่าคนไทย  เขาไม่ขี้เกียดเท่าคนไทย แถมพูดอังกฤษได้  ให้ทายว่าบริษัทต่างๆ นายจ้างๆต่างๆจะเลือกใครระหว่าง
ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน  แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกใครล่ะ ?


อันนี้แค่ยกตัวอย่างเล้กๆน้อยๆๆ พอให้เห็นภาพ  ที่ตั้งกระทู้มาเราก็แค่สงสัยทำไมคนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้กันแค่นั้นแหละค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่