ที่มาของหัวข้อนี้เลยคือ เราอยากรุ้ว่าที่เด็กไทยเป็นแบบนี้กันเป็นส่วนใหญ่เนี่ย มันเป็นความผิดของใครกันแน่
เริ่มเลยน่ะค่ะ ตอนเด็กเรา (ร่วมทั้งเด็กคนอื่นๆ เราเชื่อว่ามีคนโดนแบบเรา) ตอนเด็กผู้ใหญ่มากจะพร่ำสอนว่า
ต้องตั้งใจเรียนนะ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน (จากประโยคนี้ใครเจอเหมือนเรา ยกมือขึ้น) ผู้ใหญ่ก็มักจะสอนว่าต้องตั้งใจเรียน
ต้องขยัน อดออม และอดทน โตขึ้นจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี และหวังว่าจะรวย !
คือเราเข้าใจน่ะว่า เขาคงอยากให้เราได้ดี มีอนาคตที่ไกล แต่จากที่สอนมามันทำให้เด็กไทย แทบจะทุกคนได้
ต้องมานั่งเครียดกับการสอบเข้ามหาลัย พอเอ็นไม่ติด แอดมิดชั่นไม่ติด มีฆ่าตัวตายด้วย
เราเลยสงสัยว่า เขาทำไมต้องเครียดกันขนาดนั้น จบมาขั้นต่ำปริญญาตรี 15,000 หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ
แต่เขากลับเอาชีวิตทั้งหมดไปทุ่มกับการเรียนแค่ตำราเพื่อหวังจะให้ติดมหาลัย แต่จบมามีเงินเดือน 15000 ใช้ แค่นั้นหรอ ?
เรารู้ศึกว่า เด็กไทยเราจมปรักอยุ่กับแค่ตำรามากไป เราโดนพร่ำสอน เราเหมือนโดนฝังชิบลงไปภายใต้จิตสำนึกว่า
เราต้องตั้งใจเรียน เราต้องได้เกรดสี่ หรือเราต้องเข้ามหาลัยดีๆ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เรียนไปเราได้อะไรจากมันจริงๆนะหรอ
แถมยังต้องมาท่องตำรา (เน้นว่า "ท่อง" ) เราต้องมานั่งท่องหนังสือ ท่องตำรา
เพื่ออะไรหรอค่ะ เราไม่ได้อยากรู้มันเลยว่ามันมีประโยชน์กับชีวิตเรายังไง แต่เราท่องแทบเป็นเเทบตาย เพื่ออออ "เอาไปสอบ"
ถามว่า ที่ท่องๆไปนั้นเราอยากรู้จริงๆหรอ เราอยากจะอ่านมันจริงๆหรอ
หลายๆคน ไม่เข้าใจว่า เราต้องการอะไร เราต้องทำอะไร หลายคนอยากรวย (เห็นมีเต็มเลยกระทู้อยากรวย อยากทำงานเสริม เพราะอะไรค่ะ เพราะงานประจำ มันให้ผลตอบแทนน้อยไง ) เรียนมาเเทบตาย เรียนมาตั้งแต่จำความได้ กี่ปีๆ ที่ต้องเสียเวลาไปกับมัน โดยที่เราเหมือนกำลังหลอกตัวเองว่าตัวเองเก่ง โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอนาคตของเราจะเป็นแบบไหน เพราะเราไม่ได้เป็นคนกำหนด แต่เราให้เกรดเฉลี่ยเปนตัวกหนด เนี่ยมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ประถมแล้ววววว ที่ต้องมานั่งลุ้นเกรดว่าตัวเองจะได้เกรดเท่าไหร่ แล้วพ่อแม่บางคนก็ต้องมานั่งกลุ้มใจลูกที่ลูกเกรดน้อย
แล้วตีความหมายว่าลูกตัวเองนั้นโง่ แล้วคุณแน่ใจแค่ไหนว่าตำราที่อ่านที่เรียนมา มันถูกหรือมันดีจริง เราต้องเชื่อ เราต้องเรียน
เพราะหนังสือพวกนี้เป็นทุกอย่างของชีวิตเราหรอ
แล้วจากที่คนประสบความสำเร็จ ของโลก เราก็ไม่เห็นใครเขาตอบว่า เพราะผมตั้งใจเรียน เพราะผมทุ่มอ่านตำรา เพราะผมได้เกรดสี่
ผมเลยประสบความสำเร็จมาถึงจุดๆๆนี้ ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ เขาสำเร็จได้อย่างไรหรอ
เพราะเขาทำในสิ่งที่รัก เพราะเขาทำในสิ่งที่เขาถนัด เพราะเขาไม่มัวแต่มานั่งจมปรักกับตำราหลายสิบปี ที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนข้อมูลหรือเปล่า
หนังสือที่พิมพ์ออกมา เรามั่นใจ จนเราทุ่มทุกอย่างไปกับมันเลยหรอ
ไม่ได้จะบอกว่าหนังสือเรียนมันไม่ดีน่ะค่ะ หนังสือทุกอย่างมันดีมันให้ความรู้ แต่เราไม่ยอมรู้ อะไรหลายๆอย่างจากภายนอกมากกว่า
หลายๆคนเชื่อกับตำราเรียนมากเกินไป ทุ่มกับการเรียนเลยไม่มีเวลามาพิจารณาตัวเองว่าตัวเองชอบหรือรักในอะไร
อยากเป็นอะไร อยากเป้นมนุษย์เงินเดือนกันหรอ
เกือบทุกคนเลย ที่เรียนมหาลัยแต่คิดว่า ต้องทำเกรดดีๆๆ เพื่อที่เราจะได้งานดีๆทำ เพื่อที่เราจะได้ไปอยู่บริษัทที่ดี บริษัทชั้นนำ
แต่ทำไมไม่มีคนที่จะสร้างบริษัทเองล่ะ ทำไมต้องคิดว่าเรียนมาตั้งหลายปี เกือบทั้งชีวิต เพื่อที่จะไปทำงานให้คนอื่นและตัวเองก็รับเงินเดือนไป
อย่างนั้นหรอที่เราต้องการ ลองถามตัวเองดูน่ะค่ะ แล้วพอได้งานประจำทำหลายคนก็อยากมีบ้านมีรถเป็นของตัวเอง
แต่เงินที่ได้กับสิ่งที่ต้องการ มันพอหรอ ??? ทำไงล่ะ ก็ต้องหารายได้เสริม จริงไหม ??
เนี่ยพอมาถึงตรงนี้ เราเลยอยากรู้ว่า สิ่งที่ทำๆกันอยู่เนี่ย มันดีแล้วหรอ มันใช่เราหรอ ลองเปลี่ยนทัศนะคติใหม่น่ะค่ะ
ชีวิตเด็กมหาลัย น้อยคนนักที่จะพยายามหาทาง กเษียณจากการทำงานก่อนอายุ 60 ทุกคนต่างเฝ้าฝันว่าจะมีบริษัทขั้นนำ มารับเข้าทำงาน
แล้วก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่ พยายามอ่านหนังสือทั้งชีวิต เพื่อมาเป็นคนๆๆหนึ่ง ที่เจ้าของบริษัท ไม่รู้เเม้กระทั่งชื่อจริงของคุณ
หรือคุณอาจไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ เดินเจอกันข้างนอกคุณอาจไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้านายคุณและแน่นอน เขาไม่มีทางรู้หรอกว่า
คุณเป็นพนักงานในบริษัทเขา
เราตั้งกระทู้นี้เพื่ออยากให้หลายๆคนที่กำลังคิดแบบนี้ ลองมองตัวเองใหม่น่ะค่ะว่าสิ่งที่กำลังทำมันใช่ตัวเราหรอ
ทำไมเราต้องคล้อยไปกับระบบทุนนิยม ทำไมเราต้องคิดว่าความคิดของคนอื่นถูก (เราไม่ได้บอกให้มาเชื่อเราน่ะ แต่ส่วนมากที่เราเห็นมันเป็นแบบนี้)
สมมุติว่าคุณมีเงินเดือน 50,000 (นี่มากกว่า เงินเดือนขั้นต่ำทั่วไปถึง 3 เท่าน่ะคะ) คุณยังไม่มีปัญญาซื้อรถขับ ภายใน10ปีเลยค่ะ โดยที่ซื้อเงินสดน่ะค่ะ
สมมุติว่ารถเก๋งธรรมดา ราคา 500,000 10ปี คุณยังซื้อเงินสดไม่ได้ 50,000 นี่ไหนจะเป็นค่ากินค่าอยู่ ผ่อนบ้าน จ่ายค่าบัตรเครดิตอะไรก็ว่าไป
ไม่มีทางพอที่จะเก็บเงินซื้อรถด้วยเงินสดแน่นอน แล้วรถในฝันของคุณล่ะ ทุกคนต้องมีรถในฝันโดยเฉพาะผู้ชาย ถูกไหมค่ะ อย่าฟอรารี่ ลัมโบ
พอช เบ้นซ์ บีเอ็ม เ ป็นต้น เงินเดือน50,000 ซึ้งมากกว่าเงินเดือนขั้นต่ำถึงสามเท่า คุณก็ไม่มีทางถอยรถพวกนี้ได้หรอกค่ะ
เฉพาะนั้นเราอยากบอกว่า สิ่งที่เราโดนสอนไป มันใช้ไม่ได้สำหรับยุคนี้แล้ว สิ่งที่เราโดนสอนคือ ขยัน ซื้อสัตย์ ประหยัด อดทน ตั้งใจเรียน
มันใช้ไม่ได้แล้วว เมือ่ก่อนมีเงิน10 ล้านเอาเงินไปฝากธนาคารเพื่อหวังจะได้ กินดอกเบี้ยเดือนละเเสน (นั้นมันเมือ่ก่อน)
แต่ปัจจุบัน มีเงินสิบล้าน ดอกเบี้ยที่คุณได้ มันน้อยมากกกกกกกกกก เราเลยบอกคุณว่าคำสอนที่สอนมา มันใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน !
แต่ทำไมหลายๆคน ยังยึดคำสอนที่คุณปู่ คุณตาสอนมาอยู่ล่ะค่ะ
หนังสือดีๆก็มีให้อ่าน แต่ไม่ค่อยได้อ่านกัน ถึงอ่านน้อยนักที่จะทำตาม มองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอยู่เสมอ
เพื่อนมหาลัยแต่ละคน เลิกเรียนนกินเหล้าหลังมอกันเพียบ เลิกเรียนไปเดินสยาม เลิกเรียนไปดูหนัง
เห็นเยอะแยะๆ โดยที่เขาจะรู้ไหมว่า จบมาทำงาน ชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาย
และที่เราจะต้องเผชิญคือ เปิด AEC ในเร็วๆๆนี้
เด็กไทยจบมา ไม่ได้เเข่งกับเด็กด้วยกันแค่นั้น แต่ยังต้องเเข่งกับเด้กซิ่วหรือ พวกตกงานที่หางานทำ แข่งกับอีกหลายๆคน
และที่จะต้องแข่งขันกันอีกคือ อาเซียน และประเทศ 9 ประเทศเพื่อนบ้าน เขาพูดภาษาอังกฤษกันได้น่ะค่ะ อย่าลืม
เด็กไทยเรา อังกฤษส่วนมาก งูๆปลาๆ อันนี้พูดความจริง เน้นย้ำว่าส่วนมาก จริงไหมคะ
แล้วเราจะเอาอะไรไปสู่กับเขา ส่วนแรงงาน พวกเเรงงานต่างด้าว แรงงานพม่า ลาวเป็นต้น เขาขยันกว่าคนไทย
เขาอดทนกว่าคนไทย เขาไม่ขี้เกียดเท่าคนไทย แถมพูดอังกฤษได้ ให้ทายว่าบริษัทต่างๆ นายจ้างๆต่างๆจะเลือกใครระหว่าง
ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกใครล่ะ ?
อันนี้แค่ยกตัวอย่างเล้กๆน้อยๆๆ พอให้เห็นภาพ ที่ตั้งกระทู้มาเราก็แค่สงสัยทำไมคนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้กันแค่นั้นแหละค่ะ
เป็นความผิดของเด็กหรือผู้ใหญ่ ?
เริ่มเลยน่ะค่ะ ตอนเด็กเรา (ร่วมทั้งเด็กคนอื่นๆ เราเชื่อว่ามีคนโดนแบบเรา) ตอนเด็กผู้ใหญ่มากจะพร่ำสอนว่า
ต้องตั้งใจเรียนนะ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน (จากประโยคนี้ใครเจอเหมือนเรา ยกมือขึ้น) ผู้ใหญ่ก็มักจะสอนว่าต้องตั้งใจเรียน
ต้องขยัน อดออม และอดทน โตขึ้นจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี และหวังว่าจะรวย !
คือเราเข้าใจน่ะว่า เขาคงอยากให้เราได้ดี มีอนาคตที่ไกล แต่จากที่สอนมามันทำให้เด็กไทย แทบจะทุกคนได้
ต้องมานั่งเครียดกับการสอบเข้ามหาลัย พอเอ็นไม่ติด แอดมิดชั่นไม่ติด มีฆ่าตัวตายด้วย
เราเลยสงสัยว่า เขาทำไมต้องเครียดกันขนาดนั้น จบมาขั้นต่ำปริญญาตรี 15,000 หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ
แต่เขากลับเอาชีวิตทั้งหมดไปทุ่มกับการเรียนแค่ตำราเพื่อหวังจะให้ติดมหาลัย แต่จบมามีเงินเดือน 15000 ใช้ แค่นั้นหรอ ?
เรารู้ศึกว่า เด็กไทยเราจมปรักอยุ่กับแค่ตำรามากไป เราโดนพร่ำสอน เราเหมือนโดนฝังชิบลงไปภายใต้จิตสำนึกว่า
เราต้องตั้งใจเรียน เราต้องได้เกรดสี่ หรือเราต้องเข้ามหาลัยดีๆ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เรียนไปเราได้อะไรจากมันจริงๆนะหรอ
แถมยังต้องมาท่องตำรา (เน้นว่า "ท่อง" ) เราต้องมานั่งท่องหนังสือ ท่องตำรา
เพื่ออะไรหรอค่ะ เราไม่ได้อยากรู้มันเลยว่ามันมีประโยชน์กับชีวิตเรายังไง แต่เราท่องแทบเป็นเเทบตาย เพื่ออออ "เอาไปสอบ"
ถามว่า ที่ท่องๆไปนั้นเราอยากรู้จริงๆหรอ เราอยากจะอ่านมันจริงๆหรอ
หลายๆคน ไม่เข้าใจว่า เราต้องการอะไร เราต้องทำอะไร หลายคนอยากรวย (เห็นมีเต็มเลยกระทู้อยากรวย อยากทำงานเสริม เพราะอะไรค่ะ เพราะงานประจำ มันให้ผลตอบแทนน้อยไง ) เรียนมาเเทบตาย เรียนมาตั้งแต่จำความได้ กี่ปีๆ ที่ต้องเสียเวลาไปกับมัน โดยที่เราเหมือนกำลังหลอกตัวเองว่าตัวเองเก่ง โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอนาคตของเราจะเป็นแบบไหน เพราะเราไม่ได้เป็นคนกำหนด แต่เราให้เกรดเฉลี่ยเปนตัวกหนด เนี่ยมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ประถมแล้ววววว ที่ต้องมานั่งลุ้นเกรดว่าตัวเองจะได้เกรดเท่าไหร่ แล้วพ่อแม่บางคนก็ต้องมานั่งกลุ้มใจลูกที่ลูกเกรดน้อย
แล้วตีความหมายว่าลูกตัวเองนั้นโง่ แล้วคุณแน่ใจแค่ไหนว่าตำราที่อ่านที่เรียนมา มันถูกหรือมันดีจริง เราต้องเชื่อ เราต้องเรียน
เพราะหนังสือพวกนี้เป็นทุกอย่างของชีวิตเราหรอ
แล้วจากที่คนประสบความสำเร็จ ของโลก เราก็ไม่เห็นใครเขาตอบว่า เพราะผมตั้งใจเรียน เพราะผมทุ่มอ่านตำรา เพราะผมได้เกรดสี่
ผมเลยประสบความสำเร็จมาถึงจุดๆๆนี้ ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ เขาสำเร็จได้อย่างไรหรอ
เพราะเขาทำในสิ่งที่รัก เพราะเขาทำในสิ่งที่เขาถนัด เพราะเขาไม่มัวแต่มานั่งจมปรักกับตำราหลายสิบปี ที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนข้อมูลหรือเปล่า
หนังสือที่พิมพ์ออกมา เรามั่นใจ จนเราทุ่มทุกอย่างไปกับมันเลยหรอ
ไม่ได้จะบอกว่าหนังสือเรียนมันไม่ดีน่ะค่ะ หนังสือทุกอย่างมันดีมันให้ความรู้ แต่เราไม่ยอมรู้ อะไรหลายๆอย่างจากภายนอกมากกว่า
หลายๆคนเชื่อกับตำราเรียนมากเกินไป ทุ่มกับการเรียนเลยไม่มีเวลามาพิจารณาตัวเองว่าตัวเองชอบหรือรักในอะไร
อยากเป็นอะไร อยากเป้นมนุษย์เงินเดือนกันหรอ
เกือบทุกคนเลย ที่เรียนมหาลัยแต่คิดว่า ต้องทำเกรดดีๆๆ เพื่อที่เราจะได้งานดีๆทำ เพื่อที่เราจะได้ไปอยู่บริษัทที่ดี บริษัทชั้นนำ
แต่ทำไมไม่มีคนที่จะสร้างบริษัทเองล่ะ ทำไมต้องคิดว่าเรียนมาตั้งหลายปี เกือบทั้งชีวิต เพื่อที่จะไปทำงานให้คนอื่นและตัวเองก็รับเงินเดือนไป
อย่างนั้นหรอที่เราต้องการ ลองถามตัวเองดูน่ะค่ะ แล้วพอได้งานประจำทำหลายคนก็อยากมีบ้านมีรถเป็นของตัวเอง
แต่เงินที่ได้กับสิ่งที่ต้องการ มันพอหรอ ??? ทำไงล่ะ ก็ต้องหารายได้เสริม จริงไหม ??
เนี่ยพอมาถึงตรงนี้ เราเลยอยากรู้ว่า สิ่งที่ทำๆกันอยู่เนี่ย มันดีแล้วหรอ มันใช่เราหรอ ลองเปลี่ยนทัศนะคติใหม่น่ะค่ะ
ชีวิตเด็กมหาลัย น้อยคนนักที่จะพยายามหาทาง กเษียณจากการทำงานก่อนอายุ 60 ทุกคนต่างเฝ้าฝันว่าจะมีบริษัทขั้นนำ มารับเข้าทำงาน
แล้วก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่ พยายามอ่านหนังสือทั้งชีวิต เพื่อมาเป็นคนๆๆหนึ่ง ที่เจ้าของบริษัท ไม่รู้เเม้กระทั่งชื่อจริงของคุณ
หรือคุณอาจไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ เดินเจอกันข้างนอกคุณอาจไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้านายคุณและแน่นอน เขาไม่มีทางรู้หรอกว่า
คุณเป็นพนักงานในบริษัทเขา
เราตั้งกระทู้นี้เพื่ออยากให้หลายๆคนที่กำลังคิดแบบนี้ ลองมองตัวเองใหม่น่ะค่ะว่าสิ่งที่กำลังทำมันใช่ตัวเราหรอ
ทำไมเราต้องคล้อยไปกับระบบทุนนิยม ทำไมเราต้องคิดว่าความคิดของคนอื่นถูก (เราไม่ได้บอกให้มาเชื่อเราน่ะ แต่ส่วนมากที่เราเห็นมันเป็นแบบนี้)
สมมุติว่าคุณมีเงินเดือน 50,000 (นี่มากกว่า เงินเดือนขั้นต่ำทั่วไปถึง 3 เท่าน่ะคะ) คุณยังไม่มีปัญญาซื้อรถขับ ภายใน10ปีเลยค่ะ โดยที่ซื้อเงินสดน่ะค่ะ
สมมุติว่ารถเก๋งธรรมดา ราคา 500,000 10ปี คุณยังซื้อเงินสดไม่ได้ 50,000 นี่ไหนจะเป็นค่ากินค่าอยู่ ผ่อนบ้าน จ่ายค่าบัตรเครดิตอะไรก็ว่าไป
ไม่มีทางพอที่จะเก็บเงินซื้อรถด้วยเงินสดแน่นอน แล้วรถในฝันของคุณล่ะ ทุกคนต้องมีรถในฝันโดยเฉพาะผู้ชาย ถูกไหมค่ะ อย่าฟอรารี่ ลัมโบ
พอช เบ้นซ์ บีเอ็ม เ ป็นต้น เงินเดือน50,000 ซึ้งมากกว่าเงินเดือนขั้นต่ำถึงสามเท่า คุณก็ไม่มีทางถอยรถพวกนี้ได้หรอกค่ะ
เฉพาะนั้นเราอยากบอกว่า สิ่งที่เราโดนสอนไป มันใช้ไม่ได้สำหรับยุคนี้แล้ว สิ่งที่เราโดนสอนคือ ขยัน ซื้อสัตย์ ประหยัด อดทน ตั้งใจเรียน
มันใช้ไม่ได้แล้วว เมือ่ก่อนมีเงิน10 ล้านเอาเงินไปฝากธนาคารเพื่อหวังจะได้ กินดอกเบี้ยเดือนละเเสน (นั้นมันเมือ่ก่อน)
แต่ปัจจุบัน มีเงินสิบล้าน ดอกเบี้ยที่คุณได้ มันน้อยมากกกกกกกกกก เราเลยบอกคุณว่าคำสอนที่สอนมา มันใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน !
แต่ทำไมหลายๆคน ยังยึดคำสอนที่คุณปู่ คุณตาสอนมาอยู่ล่ะค่ะ
หนังสือดีๆก็มีให้อ่าน แต่ไม่ค่อยได้อ่านกัน ถึงอ่านน้อยนักที่จะทำตาม มองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอยู่เสมอ
เพื่อนมหาลัยแต่ละคน เลิกเรียนนกินเหล้าหลังมอกันเพียบ เลิกเรียนไปเดินสยาม เลิกเรียนไปดูหนัง
เห็นเยอะแยะๆ โดยที่เขาจะรู้ไหมว่า จบมาทำงาน ชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาย
และที่เราจะต้องเผชิญคือ เปิด AEC ในเร็วๆๆนี้
เด็กไทยจบมา ไม่ได้เเข่งกับเด็กด้วยกันแค่นั้น แต่ยังต้องเเข่งกับเด้กซิ่วหรือ พวกตกงานที่หางานทำ แข่งกับอีกหลายๆคน
และที่จะต้องแข่งขันกันอีกคือ อาเซียน และประเทศ 9 ประเทศเพื่อนบ้าน เขาพูดภาษาอังกฤษกันได้น่ะค่ะ อย่าลืม
เด็กไทยเรา อังกฤษส่วนมาก งูๆปลาๆ อันนี้พูดความจริง เน้นย้ำว่าส่วนมาก จริงไหมคะ
แล้วเราจะเอาอะไรไปสู่กับเขา ส่วนแรงงาน พวกเเรงงานต่างด้าว แรงงานพม่า ลาวเป็นต้น เขาขยันกว่าคนไทย
เขาอดทนกว่าคนไทย เขาไม่ขี้เกียดเท่าคนไทย แถมพูดอังกฤษได้ ให้ทายว่าบริษัทต่างๆ นายจ้างๆต่างๆจะเลือกใครระหว่าง
ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกใครล่ะ ?
อันนี้แค่ยกตัวอย่างเล้กๆน้อยๆๆ พอให้เห็นภาพ ที่ตั้งกระทู้มาเราก็แค่สงสัยทำไมคนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้กันแค่นั้นแหละค่ะ