มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย ที่คนจะร่ำรวยได้จากการเป็นลูกจ้าง แล้วคนที่ทำกิจการกันอยู่ เขาก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์กันสักคน
เท่าที่เห็น และ ทำความเข้าใจมา จากการดู ฟังหลายๆครั้ง หลายๆรอบ ก็พบว่า ลูกจ้างหลายๆคน เอาเข้าจริง ก็ไม่มีใครอยากจะมาเป็นลูกจ้างกันซักกะคน เหตุผลก็เพราะ มันไม่มีอิสระในชีวิต การเข้าออกซ้ำๆ ทำแต่หน้าที่เดิมๆ มันก็ทำให้เกิดความเบือ่หน่าย ซึ่งองค์กร ก็จะมี career path มาให้พนักงาน ดูว่าจะก้าวหน้าได้อยางไร แต่ก็มีอยู่น้อยคนเท่านั้น ที่จะเข้าไปเป็นกรรมการ บริษัทใหญ่ๆ เงินเดือนเป็นล้านได้ ส่วนที่เหลือ อย่างดีหน่อยก็หัวหน้าเเผนก พอเขาปรับเงินเดือนสูงขึ้น ไปจนระดับนึง องค์กรก็อยากจะรับคนใหม่ เข้ามาแทน หรือ ไม่ก็บอกกล่าวว่าจะจ้างออก ได้เงินชดเชย หรือ รับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอะไรก็ว่าไป พอออกมาก็ทำอะไรกับชีวิตต่อไม่ได้ เพราะเคยชินกับการเป็นลุกจ้างเขา บางคนก็บอกว่า ก็ไปเป็นที่ปรึกษา ไม่ก็หางานอดิเรกทำสิ (มันง่ายอย่างที่คิดอย่างนั้นหรอ) ซึ่งชีวิตมนุษย์เงินเดือน หลายๆคนคงจะเบื่อหน่าย และ อยากจะไปพ้นจากวงจรนี้ ต้นเดือน รับเงิน ใช้กิน อยากได้อะไรผ่อน สิ้นเดือนไม่เหลือ แล้วก็วนไปแบบนี้จนกว่าเขาจะให้ออก หรือ ทำไม่ไหว
ขณะที่คนที่ทำธุรกิจ ส่วนใหญ่ เขาก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ บางคนก็อาจจะเถียง ไม่จริง เขาเริ่มจากตัวเปล่าๆ ไอเปล่าทีว่า ก็ไม่ได้เปล่าเลยนะ อย่างน้อยถึงจะเป็นหนี้ แต่คนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว ที่บ้าน เขาก็ได้วิธีคิด มีแหล่งลูกค้า หาวัตถุดิบ ตึกใหญ่ อุปกรณ์พร้อม ยิ่งถ้ากิจการดำเนินงานมาได้ดี ก็ไม่เห็นจะต้องไปสะสมทุน เป็นสี่สิบห้าสิบปีเลย แค่ลงมาทำต่อก็ได้เลย ดูอย่างหลายๆคนสิ จบใหม่ๆ ทำไมได้เป็นกรรมการกันแล้วหล่ะ ขณะที่คนทั่วไป ให้แบบเก่งๆเลย พยายามจนได้ทุน คนแนะนำให้ทำบริษัทใหญ่ กว่าจะตำแหน่งโต และกว่าจะรุ้เรื่องหมด กว่าจะเปิดบริษัทเอง มันกี่กันหล่ะ แล้วคนที่เป็นเจ้าของ มาเปิดเอง อย่างน้อยๆเขาก็ต้องรุ้ทุกอย่าง แต่หลายๆคน ไม่ได้รับในส่วนตรงนั้นเลย นอกเสียจาก มาประกอบอาชีพส่วนตัวกิ๊กก๊อก แล้วก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ ทำกันเยอะแล้ว เช่น ขายกาแฟ หมูปิ้ง ทำเเซนวิซ น้ำเผื่อสุขภาพ เสื้อผ้า ตัดผม
แล้วเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ๋เท่าที่เห็น มักจะมาในเชิง จัดอบรม เป็นวิทยากรกันซะมากกว่า โดยอาศัยชื่อเสียงเก่าๆ มาหาผลประโยชน์จากคนจนๆ อยากรวยทั้งหลาย แล้วก็เก็บกันแบบแสนแพง ปากเขาก็บอกมีอิสระแล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเขาไม่จัดอบรมแบบนี้ ไม่ออกหนังสือ (ภาพโตๆ เว้นเยอะ ราคาแพงๆ)มาเขาจะยังอยุ่ได้หรอ ทั้งที่ไม่ได้เป็นลุกจ้างใครเลย แล้วก็มีบางคน สร้างภาพลักษณ์ขึ้นมา โดยอาศัยความโลภ ความเชื่อ อยากรวย มาให้คนจ่ายเงินให้อีก หรือว่านี่แหล่ะมั้ง ที่เขาเรียกธุรกิจ แตมันจะยั่งยืนหรอ
ส่วนธุรกิจ ที่พอจะเป็นไปได้เดี๋ยวนี้ ก็คงไม่พ้นอาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพ ความงาม ที่น่าจะยังพอไปได้ แต่ก็ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาแล้วด้วย เพราะไม่งั้นก็ต้องแย่งลูกค้า เผลอๆทำไปก็เจ้ง แล้วมันก็จริงอยู่ว่า เดี๋ยวนี้ มีอะไรเยอะขึ้น แต่ปัญหาคือ คนทั่วไปที่ไม่รุ้อะไรเลย จะมาประกอบธุรกิจได้อย่างไร เเบบที่ไม่ต้องไปเช่าตึก เสียค่าตกแต่ง ทำร้าน ขนวัตถุดิบ จ้างพนักงาน พอดี หมดไปเป็นล้านๆ "ถ้าอยากนั้นแล้ว คนที่เริ่มธุรกิจจากไม่มีอะไรเลย มีข้อจำกัดมากมาย โปรดชี้แนะ หรือ ให้คำแนะนำทีว่าทำอย่างไร ถึงได้มีธุรกิจอย่างวันนี้ โดยเฉพาะแนวทางที่พอเป็นไปได้"
ซึ่งก็เคยมีเข้าไปถามนะ เจ้าของยี่ห้อนึง แรกๆก็เกรงว่าเขาจะไม่ตอบ แต่ก็ได้คำตอบแบบ เหมือนไม่ได้ตอบ แล้วหลังจากนั้นก็พบว่า เขาพอมีฐานะทางบ้านอยุ่แล้วด้วย ก็เลยรุ้สึกไม่เป็นประโยชน์เท่าไห่ร่กับคำแนะนำนี้
ซึ่งเมื่อพอ มีรายได้จากธุรกิจเข้ามา มันก็อาจจะง่ายที่จะเอาไปลงทุน พวกหุ้น อสังหาต่อไปได้ ดูพวกดารานักร้องสิ ทำไมแปปๆมีเงินก้อน เพราะเขาแสดงที เล่นทีได้เยอะ
ยังไงขอความกรุณาด้วย หากมีผุ้ประกอบการ เริ่มจากศูนย์เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจ และ ชีวิตหลายๆคนอาจจะดีขึ้น และ สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้เยอะขึ้น
มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย ที่คนจะร่ำรวยได้จากการเป็นลูกจ้าง แล้วคนที่ทำกิจการกันอยู่ เขาก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์กันสักคน
เท่าที่เห็น และ ทำความเข้าใจมา จากการดู ฟังหลายๆครั้ง หลายๆรอบ ก็พบว่า ลูกจ้างหลายๆคน เอาเข้าจริง ก็ไม่มีใครอยากจะมาเป็นลูกจ้างกันซักกะคน เหตุผลก็เพราะ มันไม่มีอิสระในชีวิต การเข้าออกซ้ำๆ ทำแต่หน้าที่เดิมๆ มันก็ทำให้เกิดความเบือ่หน่าย ซึ่งองค์กร ก็จะมี career path มาให้พนักงาน ดูว่าจะก้าวหน้าได้อยางไร แต่ก็มีอยู่น้อยคนเท่านั้น ที่จะเข้าไปเป็นกรรมการ บริษัทใหญ่ๆ เงินเดือนเป็นล้านได้ ส่วนที่เหลือ อย่างดีหน่อยก็หัวหน้าเเผนก พอเขาปรับเงินเดือนสูงขึ้น ไปจนระดับนึง องค์กรก็อยากจะรับคนใหม่ เข้ามาแทน หรือ ไม่ก็บอกกล่าวว่าจะจ้างออก ได้เงินชดเชย หรือ รับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอะไรก็ว่าไป พอออกมาก็ทำอะไรกับชีวิตต่อไม่ได้ เพราะเคยชินกับการเป็นลุกจ้างเขา บางคนก็บอกว่า ก็ไปเป็นที่ปรึกษา ไม่ก็หางานอดิเรกทำสิ (มันง่ายอย่างที่คิดอย่างนั้นหรอ) ซึ่งชีวิตมนุษย์เงินเดือน หลายๆคนคงจะเบื่อหน่าย และ อยากจะไปพ้นจากวงจรนี้ ต้นเดือน รับเงิน ใช้กิน อยากได้อะไรผ่อน สิ้นเดือนไม่เหลือ แล้วก็วนไปแบบนี้จนกว่าเขาจะให้ออก หรือ ทำไม่ไหว
ขณะที่คนที่ทำธุรกิจ ส่วนใหญ่ เขาก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ บางคนก็อาจจะเถียง ไม่จริง เขาเริ่มจากตัวเปล่าๆ ไอเปล่าทีว่า ก็ไม่ได้เปล่าเลยนะ อย่างน้อยถึงจะเป็นหนี้ แต่คนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว ที่บ้าน เขาก็ได้วิธีคิด มีแหล่งลูกค้า หาวัตถุดิบ ตึกใหญ่ อุปกรณ์พร้อม ยิ่งถ้ากิจการดำเนินงานมาได้ดี ก็ไม่เห็นจะต้องไปสะสมทุน เป็นสี่สิบห้าสิบปีเลย แค่ลงมาทำต่อก็ได้เลย ดูอย่างหลายๆคนสิ จบใหม่ๆ ทำไมได้เป็นกรรมการกันแล้วหล่ะ ขณะที่คนทั่วไป ให้แบบเก่งๆเลย พยายามจนได้ทุน คนแนะนำให้ทำบริษัทใหญ่ กว่าจะตำแหน่งโต และกว่าจะรุ้เรื่องหมด กว่าจะเปิดบริษัทเอง มันกี่กันหล่ะ แล้วคนที่เป็นเจ้าของ มาเปิดเอง อย่างน้อยๆเขาก็ต้องรุ้ทุกอย่าง แต่หลายๆคน ไม่ได้รับในส่วนตรงนั้นเลย นอกเสียจาก มาประกอบอาชีพส่วนตัวกิ๊กก๊อก แล้วก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ ทำกันเยอะแล้ว เช่น ขายกาแฟ หมูปิ้ง ทำเเซนวิซ น้ำเผื่อสุขภาพ เสื้อผ้า ตัดผม
แล้วเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ๋เท่าที่เห็น มักจะมาในเชิง จัดอบรม เป็นวิทยากรกันซะมากกว่า โดยอาศัยชื่อเสียงเก่าๆ มาหาผลประโยชน์จากคนจนๆ อยากรวยทั้งหลาย แล้วก็เก็บกันแบบแสนแพง ปากเขาก็บอกมีอิสระแล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเขาไม่จัดอบรมแบบนี้ ไม่ออกหนังสือ (ภาพโตๆ เว้นเยอะ ราคาแพงๆ)มาเขาจะยังอยุ่ได้หรอ ทั้งที่ไม่ได้เป็นลุกจ้างใครเลย แล้วก็มีบางคน สร้างภาพลักษณ์ขึ้นมา โดยอาศัยความโลภ ความเชื่อ อยากรวย มาให้คนจ่ายเงินให้อีก หรือว่านี่แหล่ะมั้ง ที่เขาเรียกธุรกิจ แตมันจะยั่งยืนหรอ
ส่วนธุรกิจ ที่พอจะเป็นไปได้เดี๋ยวนี้ ก็คงไม่พ้นอาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพ ความงาม ที่น่าจะยังพอไปได้ แต่ก็ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาแล้วด้วย เพราะไม่งั้นก็ต้องแย่งลูกค้า เผลอๆทำไปก็เจ้ง แล้วมันก็จริงอยู่ว่า เดี๋ยวนี้ มีอะไรเยอะขึ้น แต่ปัญหาคือ คนทั่วไปที่ไม่รุ้อะไรเลย จะมาประกอบธุรกิจได้อย่างไร เเบบที่ไม่ต้องไปเช่าตึก เสียค่าตกแต่ง ทำร้าน ขนวัตถุดิบ จ้างพนักงาน พอดี หมดไปเป็นล้านๆ "ถ้าอยากนั้นแล้ว คนที่เริ่มธุรกิจจากไม่มีอะไรเลย มีข้อจำกัดมากมาย โปรดชี้แนะ หรือ ให้คำแนะนำทีว่าทำอย่างไร ถึงได้มีธุรกิจอย่างวันนี้ โดยเฉพาะแนวทางที่พอเป็นไปได้"
ซึ่งก็เคยมีเข้าไปถามนะ เจ้าของยี่ห้อนึง แรกๆก็เกรงว่าเขาจะไม่ตอบ แต่ก็ได้คำตอบแบบ เหมือนไม่ได้ตอบ แล้วหลังจากนั้นก็พบว่า เขาพอมีฐานะทางบ้านอยุ่แล้วด้วย ก็เลยรุ้สึกไม่เป็นประโยชน์เท่าไห่ร่กับคำแนะนำนี้
ซึ่งเมื่อพอ มีรายได้จากธุรกิจเข้ามา มันก็อาจจะง่ายที่จะเอาไปลงทุน พวกหุ้น อสังหาต่อไปได้ ดูพวกดารานักร้องสิ ทำไมแปปๆมีเงินก้อน เพราะเขาแสดงที เล่นทีได้เยอะ
ยังไงขอความกรุณาด้วย หากมีผุ้ประกอบการ เริ่มจากศูนย์เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจ และ ชีวิตหลายๆคนอาจจะดีขึ้น และ สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้เยอะขึ้น