เมื่อชีวิตควบคุมไม่ได้ทุกสิ่ง บทเรียนระดับเตรียมอนุบาลจากการมีลูกน้อง

กระทู้สนทนา
เมื่อชีวิตควบคุมไม่ได้ทุกสิ่ง

ขออนุญาตใช้พื้นที่ระบายความเครียด และฝากถึงผู้ที่มีส่วนในการผลิตบัณฑิตออกสู่ตลาดแรงงาน
โดยมีความหวังเล็กๆ ว่าจะมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีคุณภาพขึ้นได้บ้าง

เกือบ 9 เดือนแล้วเราถูกบังคับให้ต้องเลื่อนตำแหน่ง
ทำให้ต้องรับบทบาท ทั้งการเป็น "ลูกน้อง" และ "หัวหน้า" ไปพร้อมๆ กัน

จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการต้องเผชิญกับ “บัณฑิต” จบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศ
แต่ไม่มีความพร้อมในการทำงานและเติบโตเป็นผู้ใหญ่  
ซึ่งเราได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม เพราะอยู่ในฐานะหัวหน้างานแต่!!! ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษใดๆ กับเธอได้

ในทีมงานของเรา ทุกคนทำงานจริงจัง เพราะรู้ดีกว่างานของเราต้องมีความรับผิดชอบ
และกรอบเวลาส่งงานที่ชัดเจนในแต่ละวัน  
ไม่เช่นนั้นจะกระทบไปถึงการผลิตในส่วนอื่นๆ ที่จะต้องล่าช้าไปด้วย

แต่สิ่งที่เราต้องเจอกับบัณฑิตจบใหม่คนนี้ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ที่เข้ามาทำงานคือ

1>ชีวิตทำงาน ณ ออฟฟิสเธอเริ่มที่ 11 โมงกว่า!! โดยไม่มีเหตุผลที่จะอนุโลมได้
ในขณะที่คนอื่นเริ่ม 10 โมง (ตั้งแต่ทำงานมาจะ 9 เดือน มีไม่ถึง 10 วันที่เธอมาก่อน 11 โมง)

2>การส่งงานของเธอไม่เคยตรงเวลา ปกติ 6 โมงเย็น คือเวลาช้าสุดที่จะส่งได้ และเป็นงานที่ต้องส่งวันต่อวัน  
แต่ส่วนใหญ่เธอมักจะใช้เวลาราว 3 “วันทำการ” ในการส่งงาน  
ซึ่งทำให้งานที่ส่งมาถือว่า "ไม่ทันเหตุการณ์" แทบนำไปใช้งานต่อไม่ได้

3>เธอไม่มีความรับผิดชอบ แม้จะถูกทวงอยู่ตลอดเวลา เธอก็ยังสามารถไปนั่งชิลเม้าท์กับชาวบ้านได้เป็นชั่วโมง โดยอ้างว่าไปกินข้าว
ขณะที่คนอื่นนั่งทำงานหัวปั่น จนหลายครั้งเพื่อนร่วมงานต้องนั่งทำงานแทนเธอเพื่อให้ส่งงานได้ทัน

4>เมื่อถูกทวงงานมากๆ เธอมัก “ตีเนียน” ว่า อ้าว! ส่งอีเมล์มาให้แล้วนะ งั้นเดี๋ยวส่งให้ใหม่  
แต่ใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงในการส่ง

5>งานที่ต้องส่งส่วนใหญ่คือการสรุปประเด็นจากสิ่งที่ได้ฟังมา  แต่งานที่เธอส่งมานั้น
เห็นได้ชัดว่า ไม่มีความสามารถในการจับประเด็น  เธอไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรสาระสำคัญ
และไม่สามารถเก็บรายละเอียดของงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายให้ทำได้  
เห็นได้ชัดว่าทักษะภาษาไทยของเธอ ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน มีปัญหา  แต่!! ทักษะภาษาอังกฤษเธอแย่ยิ่งกว่า

6>สุดท้ายหัวหน้างานอย่างเราก็ต้องรื้อทำเองใหม่  จนหลายครั้งทำให้ไม่มีเวลาทำงานในส่วนของตัวเอง


แต่ในวิบากกรรม ก็ยังมีสิ่งให้ได้เรียนรู้  นั่นคือ

1> ทำให้เราตระหนักว่า การจะขยับจากพนักงานธรรมดา มาสู่ระดับหัวหน้างานได้นั้น  
แค่ความรู้ความสามารถในวิชาชีพไม่เพียงพอ  ต้องมีทักษะในการบริหารคนเพิ่มขึ้นอีกมาก
จากเดิมที่คิดว่า มีทักษะอยู่พอจะลากๆ ถูๆ กันไปได้ ก็ปรากฏว่า ยังแค่ระดับเตรียมอนุบาล!
(ตอนแรกๆ ก็มีปัญหากับเด็กใหม่อีกคนเหมือนกัน แต่ไม่นานก็เคลียร์ได้หมด)
ซึ่งเราคงต้องพยายามต่อไป  
เพี้ยนไฟลุก

แต่ปัญหาใหญ่คือ เมื่อเราไม่สามารถให้คุณให้โทษอะไรกับลูกน้องได้ ก็เป็นที่น่าหนักใจ
เพราะต่อให้ตำหนิเธอแรงแค่ไหน
(เราไม่เคยใช้อารมณ์ แต่พูดกันด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง..
ซึ่งหลายคนบอกว่า แรงกว่าจิกหัวด่าเยอะ เพราะมันเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้สักคำ)

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ร้องไห้” แล้วพร่ำขอโทษ แต่!!! ไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็เป็นแบบเดิม
เม่าโศกเม่าโศกเม่าโศก

2>ได้ฝึกความอดทนขั้นสูงขึ้นทุกวัน และคาดว่าอีกสักพักคงถึงขั้นต้องเจริญศีลภาวนาขั้นสุดยอด
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ “บัณฑิต” ผู้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จะได้ “เป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย”
เม่าปัดรังควานเม่าปัดรังควานเม่าปัดรังควาน


ตอนนี้เราคงได้แต่สวมวิญญาณ “เจิน เจิน บุญสูงเนิน” ร้องเพลง “ต้องสู้จึงจะชนะ” ไปเรื่อยๆ
เพี้ยนลุย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่