สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เคยอ่านเจอแม่คนนึงในชานเรือนนี่แหละ
บอกว่าเป็นคนทุ่มให้ลูกมากสุดตัว
ถึงประชุมอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาต้องปั๊มนมก็เดินออกเลย
ยังไงลูกต้องมาที่หนึ่ง รักลูกที่สุด ไม่สนอะไรทั้งนั้น
คนมาชื่นชมในความทุ่มเทกันเพียบ
แต่เราอ่านแล้วขนลุก เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ
รักมากขนาดนั้นไม่ลาออกไปเลี้ยงเองล่ะ มาเบียดเบียนที่ทำงานทำไม
บอกว่าเป็นคนทุ่มให้ลูกมากสุดตัว
ถึงประชุมอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาต้องปั๊มนมก็เดินออกเลย
ยังไงลูกต้องมาที่หนึ่ง รักลูกที่สุด ไม่สนอะไรทั้งนั้น
คนมาชื่นชมในความทุ่มเทกันเพียบ
แต่เราอ่านแล้วขนลุก เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ
รักมากขนาดนั้นไม่ลาออกไปเลี้ยงเองล่ะ มาเบียดเบียนที่ทำงานทำไม
ความคิดเห็นที่ 26
เราขอออกความเห็นนิดหนึ่งนะค่ะ ในฐานะที่เคยผ่านจุดแบบนี้ แบบเดียวกับ จขกท.
เราทำงานเอกชน อยู่ในจังหวัดใหญ่ภาคอีสาน ที่ทำงานเรา เจ้านายมีกิจการหลายอย่างมาก รับเหมาก่อสร้าง โรงโม่หิน ปั้นน้ำมันขนาดใหญ่หลายแห่ง เราเข้ามาทำงาน ตอนนั้นเป็นน้องสุด และเป็นสาวโสด รับทำหน้าที่บัญชี พี่ๆ เขาก็จะมีหน้าที่ทำอย่างอื่นไป ส่วนใหญ่ก็มีครอบครัวกันแล้ว มีลูกเล็กต้องดูแล เขาก็จะมีข้ออ้างที่ต้องไปรับลูก วันพ่อ วันแม่ วันสำคัญ ลูกป่วย สาระพัด ปัญหา งานของพี่ๆก็จะมากองอยู่ที่เราส่วนใหญ่ เราก็ตั้งหน้าตั้งหน้าทำงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่เคยบ่นหรือต่อว่า อาจจะมีบ้างที่น้อยใจเจ้านายที่อะไรก็เอามาลงที่เราหมด พี่ๆลาคลอด เราต้องทำงานแทนเขาทุกอย่าง พี่คนนี้ลา ก็ย้ายมาทำงานด้านบุคคล บ้าง จัดส่งเอกสารบ้าง ทำเอกสารส่งแบงค์บ้าง ไปทำธุระโอน ขายที่ดินบ้าง ดูแลพนักงานบ้าง
ส่วนใหญ่พี่เขามีครอบครัว ไม่ว่างเหมือนเรา สองสามปีที่พี่ๆลาคลอด ลาดูลูกป่วย เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานทุกอย่างแทนพี่ๆเขา บทลงเอยของเราเป็นอย่างนี้
ตอนนี้ เราได้รับการไว้างใจจากเจ้านาย ให้ดูแลพนักงานทั้งหมด รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้เจ้านายไปด้วย งานทุกอย่างที่คนอื่นแก้ไม่ได้จะมาลงที่เราทั้งหมด รวมทั้งตอนนี้ หน้าที่การงานถือว่าอยู่เหนือคนอื่น(ในส่วนหน่วยงานของเราเท่านั้นนะ) เงินเดือนเราก้าวกระโดด มากกว่าพี่ๆอีกเท่าตัว
ตอนนี้ เจ้านายให้ความเมตตากับเรามาก ออกรถยนต์ให้ ให้รถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้ในงาน สวัสดิการดีกว่าทุกคน โบนัส หกเดือนทุกปี ไม่รวมให้สามารถพักร้อนได้อีก ปีละ 3 ครั้ง ครั้งละอาทิตย์ รวมไปทั้งเมตตาต่อญาติพี่น้อง ดูแลไปทั้งตระกูลเลย เรารู้สึกรักเจ้านายมาก รักเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง ทุกครั้งที่ไปงานด้วยกัน เจ้านายก็จะแนะนำในฐานะเลขาส่วนตัว ทำให้เรารู้จัก ผัหลักผู้ใหญ่ ทำให้เราสามารถต่อยอดทำธุรกิจอย่างอื่นไปด้วยได้
มันอาจไม่ถูกใจ จขกท.เท่าไร นะค่ะ แต่การที่เราเสียสละบ้าง มันก็อาจจะส่งผลดี ก็ได้ เหมือนที่เราได้พบเจอ ตอนนี้เราก็มีลูก 1 คน เหมือนกัน เราได้รับอนุญาตให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดังนั้น เราทำงานตั้งแต่ลูกได้ หนึ่งเดือน มาทำงาน 2 ชั่วโมงก็กลับบ้านไปให้นมลูกครั้ง วันหนึ่งไปกลับ 3-4 ครั้ง เพื่อนนร่วมงานรวมทั้งพี่ๆที่ท้องก่อน ลาคลอดก่อนเขาก็เต็มใจเข้าใจ ในส่วนที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ความโชคดี ที่เราเสียสละให้คนเป็นแม่คน เลี้ยงลูกเขา ทำให้เรา มีงานทำที่ดี รวมทั้งมีกิจการเป็นของตัวเองด้วย
เราทำงานเอกชน อยู่ในจังหวัดใหญ่ภาคอีสาน ที่ทำงานเรา เจ้านายมีกิจการหลายอย่างมาก รับเหมาก่อสร้าง โรงโม่หิน ปั้นน้ำมันขนาดใหญ่หลายแห่ง เราเข้ามาทำงาน ตอนนั้นเป็นน้องสุด และเป็นสาวโสด รับทำหน้าที่บัญชี พี่ๆ เขาก็จะมีหน้าที่ทำอย่างอื่นไป ส่วนใหญ่ก็มีครอบครัวกันแล้ว มีลูกเล็กต้องดูแล เขาก็จะมีข้ออ้างที่ต้องไปรับลูก วันพ่อ วันแม่ วันสำคัญ ลูกป่วย สาระพัด ปัญหา งานของพี่ๆก็จะมากองอยู่ที่เราส่วนใหญ่ เราก็ตั้งหน้าตั้งหน้าทำงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่เคยบ่นหรือต่อว่า อาจจะมีบ้างที่น้อยใจเจ้านายที่อะไรก็เอามาลงที่เราหมด พี่ๆลาคลอด เราต้องทำงานแทนเขาทุกอย่าง พี่คนนี้ลา ก็ย้ายมาทำงานด้านบุคคล บ้าง จัดส่งเอกสารบ้าง ทำเอกสารส่งแบงค์บ้าง ไปทำธุระโอน ขายที่ดินบ้าง ดูแลพนักงานบ้าง
ส่วนใหญ่พี่เขามีครอบครัว ไม่ว่างเหมือนเรา สองสามปีที่พี่ๆลาคลอด ลาดูลูกป่วย เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานทุกอย่างแทนพี่ๆเขา บทลงเอยของเราเป็นอย่างนี้
ตอนนี้ เราได้รับการไว้างใจจากเจ้านาย ให้ดูแลพนักงานทั้งหมด รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้เจ้านายไปด้วย งานทุกอย่างที่คนอื่นแก้ไม่ได้จะมาลงที่เราทั้งหมด รวมทั้งตอนนี้ หน้าที่การงานถือว่าอยู่เหนือคนอื่น(ในส่วนหน่วยงานของเราเท่านั้นนะ) เงินเดือนเราก้าวกระโดด มากกว่าพี่ๆอีกเท่าตัว
ตอนนี้ เจ้านายให้ความเมตตากับเรามาก ออกรถยนต์ให้ ให้รถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้ในงาน สวัสดิการดีกว่าทุกคน โบนัส หกเดือนทุกปี ไม่รวมให้สามารถพักร้อนได้อีก ปีละ 3 ครั้ง ครั้งละอาทิตย์ รวมไปทั้งเมตตาต่อญาติพี่น้อง ดูแลไปทั้งตระกูลเลย เรารู้สึกรักเจ้านายมาก รักเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง ทุกครั้งที่ไปงานด้วยกัน เจ้านายก็จะแนะนำในฐานะเลขาส่วนตัว ทำให้เรารู้จัก ผัหลักผู้ใหญ่ ทำให้เราสามารถต่อยอดทำธุรกิจอย่างอื่นไปด้วยได้
มันอาจไม่ถูกใจ จขกท.เท่าไร นะค่ะ แต่การที่เราเสียสละบ้าง มันก็อาจจะส่งผลดี ก็ได้ เหมือนที่เราได้พบเจอ ตอนนี้เราก็มีลูก 1 คน เหมือนกัน เราได้รับอนุญาตให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดังนั้น เราทำงานตั้งแต่ลูกได้ หนึ่งเดือน มาทำงาน 2 ชั่วโมงก็กลับบ้านไปให้นมลูกครั้ง วันหนึ่งไปกลับ 3-4 ครั้ง เพื่อนนร่วมงานรวมทั้งพี่ๆที่ท้องก่อน ลาคลอดก่อนเขาก็เต็มใจเข้าใจ ในส่วนที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ความโชคดี ที่เราเสียสละให้คนเป็นแม่คน เลี้ยงลูกเขา ทำให้เรา มีงานทำที่ดี รวมทั้งมีกิจการเป็นของตัวเองด้วย
ความคิดเห็นที่ 28
ขอมนุษย์แม่เล่าบ้าง...เรารับราชการค่ะ ทุกวันทำการเราส่งลูกที่โรงเรียนเสร็จก็เข้าที่ทำงาน และออกจากที่ทำงาน 16.00 น. เพื่อรับลูก และเมื่อถึงที่ทำงานเราก็จัดการรับประทานอาหารเช้าและทำธุระส่วนตัวเสร็จพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 8.30
แต่ค่ะ...แต่... หน.เป็นหญิงโสด นางเข้าที่ทำงานตอน 10.00 น. มาถึงก็ต้องรับประทานอาหารและแต่งหน้า ว่าจะเริ่มงานจริงจังก็ใกล้เที่ยง
ซึ่งบางงานเป็นที่ต้องใช้เวลานาน ถ้าเริ่มตั้งแต่ 9.00 น. ก็สามารถเสร็จได้ภายใน 15.00 น. แต่เมื่อเริ่มงานตอนเที่ยง งานก็ไปจบลงตอน 18.00 น.
บางครั้งก็นัดประชุมตอน 15.00 น. แล้วก็สายไป 30 นาทีตามธรรมเนียม (ของใครวะคะ?) ซึ่งเราต้องออกไปรับลูกตอน 16.00 น. เราขอออกก่อน ก็กลายเป็น "คนไม่ให้ความร่วมมือ"
บางงานต้องทำเป็นคณะกรรมการ...คณะทำงานก็คุยกันว่าจะนัดประชุมกลุ่มย่อยกี่โมง? กลุ่มมนุษย์แม่ขอ 9.00 น. (เพราะออกกันเช้าอยู่แล้ว) ส่วนกลุ่มมนุษย์โสด ขอ 10.30 น. ด้วยเหตุผล คือ "ตื่นไม่ไหว" และมนุษย์แม่ก็แพ้ไปตามเคยเพราะมีจำนวนน้อยกว่า
งานที่ต้องทำเดี่ยวก็พบปัญหาคล้ายกัน...มนุษย์แม่เริ่มงานเช้าและจบงานตั้งแต่ตอนบ่าย ส่งงานแล้วก็ทำงานอื่นต่อ ส่วนมนุษย์โสดมากันสายๆ เริ่มงานเที่ยงๆ ไม่เสร็จก็ทำ OT หน.เห็นว่านี่แหละ คือ "ความทุ่มเทให้หน่วยงาน" ค่ะ
อีกเรื่องหนึ่ง...การ "ประชุมเชิงปฏิบัติการ" ที่ต่างจังหวัด...ความจริงงานในหน่วยงานเราทำให้จบได้ในกทม.
แต่ไม่ทำ...กลับยกทรัพยากรทั้งหมดไปชายทะเล และใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ในการทำงานที่สามารถทำให้จบได้ใน 1 วัน
เราเป็นแม่ลูกอ่อน ทำบันทึกฯ ไม่ไปราชการก็ถูกมองว่า "ไม่ให้ความร่วมมือ" ทั้งๆ ที่เราส่งงานที่ทำเสร็จแล้วให้กับคณะกรรมการฯ ได้ก่อนเดินทางซะอีก
ถือว่าคุยกันสนุกๆ นะคะ
แต่ค่ะ...แต่... หน.เป็นหญิงโสด นางเข้าที่ทำงานตอน 10.00 น. มาถึงก็ต้องรับประทานอาหารและแต่งหน้า ว่าจะเริ่มงานจริงจังก็ใกล้เที่ยง
ซึ่งบางงานเป็นที่ต้องใช้เวลานาน ถ้าเริ่มตั้งแต่ 9.00 น. ก็สามารถเสร็จได้ภายใน 15.00 น. แต่เมื่อเริ่มงานตอนเที่ยง งานก็ไปจบลงตอน 18.00 น.
บางครั้งก็นัดประชุมตอน 15.00 น. แล้วก็สายไป 30 นาทีตามธรรมเนียม (ของใครวะคะ?) ซึ่งเราต้องออกไปรับลูกตอน 16.00 น. เราขอออกก่อน ก็กลายเป็น "คนไม่ให้ความร่วมมือ"
บางงานต้องทำเป็นคณะกรรมการ...คณะทำงานก็คุยกันว่าจะนัดประชุมกลุ่มย่อยกี่โมง? กลุ่มมนุษย์แม่ขอ 9.00 น. (เพราะออกกันเช้าอยู่แล้ว) ส่วนกลุ่มมนุษย์โสด ขอ 10.30 น. ด้วยเหตุผล คือ "ตื่นไม่ไหว" และมนุษย์แม่ก็แพ้ไปตามเคยเพราะมีจำนวนน้อยกว่า
งานที่ต้องทำเดี่ยวก็พบปัญหาคล้ายกัน...มนุษย์แม่เริ่มงานเช้าและจบงานตั้งแต่ตอนบ่าย ส่งงานแล้วก็ทำงานอื่นต่อ ส่วนมนุษย์โสดมากันสายๆ เริ่มงานเที่ยงๆ ไม่เสร็จก็ทำ OT หน.เห็นว่านี่แหละ คือ "ความทุ่มเทให้หน่วยงาน" ค่ะ
อีกเรื่องหนึ่ง...การ "ประชุมเชิงปฏิบัติการ" ที่ต่างจังหวัด...ความจริงงานในหน่วยงานเราทำให้จบได้ในกทม.
แต่ไม่ทำ...กลับยกทรัพยากรทั้งหมดไปชายทะเล และใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ในการทำงานที่สามารถทำให้จบได้ใน 1 วัน
เราเป็นแม่ลูกอ่อน ทำบันทึกฯ ไม่ไปราชการก็ถูกมองว่า "ไม่ให้ความร่วมมือ" ทั้งๆ ที่เราส่งงานที่ทำเสร็จแล้วให้กับคณะกรรมการฯ ได้ก่อนเดินทางซะอีก
ถือว่าคุยกันสนุกๆ นะคะ
ความคิดเห็นที่ 5
สังคมไทยเป็นสังคมที่ตำหนิกันตรงๆ ไม่ได้ค่ะ เป็นสังคมปั้นหน้า ไม่งั้นคุณจขกท.จะอัดอั้นขนาดนี้เหรอคะถ้าเค้าพูดตรงๆ ได้ คนที่อ้างความเป็นแม่เพื่อมาดูลูกที่เจ็บป่วยอันนี้รับได้ แต่ถ้าอ้างว่าลูกรออยู่ต้องรีบกลับ อันนี้ต้องพิจารณาตัวเองในเมื่อมีลูกเมื่อไม่พร้อม
พร้อมในที่นี้คือพร้อมจะดูแลในทุกๆ ด้านของชีวิตค่ะ งานต้องทำได้เต็มที่ ลูกต้องดูแลได้เต็มที่ ไม่งั้นก็ควรลามาอยู่ดูแลลูกจนกว่าจะกล้าปล่อยให้คนอื่นดูแลค่ะ การทำงานแค่ครึ่งดีอีกครึ่งโยนให้คนอื่นทำ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำค่ะ
เราเลี้ยงลูกอยู่จนเกือบ 3 ขวบค่ะถึงได้กลับไปทำงานแล้วให้ลูกอยู่ในความดูแลของคนอื่นได้
พร้อมในที่นี้คือพร้อมจะดูแลในทุกๆ ด้านของชีวิตค่ะ งานต้องทำได้เต็มที่ ลูกต้องดูแลได้เต็มที่ ไม่งั้นก็ควรลามาอยู่ดูแลลูกจนกว่าจะกล้าปล่อยให้คนอื่นดูแลค่ะ การทำงานแค่ครึ่งดีอีกครึ่งโยนให้คนอื่นทำ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำค่ะ
เราเลี้ยงลูกอยู่จนเกือบ 3 ขวบค่ะถึงได้กลับไปทำงานแล้วให้ลูกอยู่ในความดูแลของคนอื่นได้
ความคิดเห็นที่ 2
สงสัยจะอัดอั้นนะคะ
เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่แปปนึง
ตอนนี้ลาออกมาเป็นมนุษย์แม่เต็มตัวแล้ว
ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ก็มาทำงานที่บ้าน
ทำไมคุณไม่พูดกับเค้าไปตรงๆละคะ
ว่า... ฉันไม่พอใจ ฉันถูกเอาเปรียบ
หรือลึกๆคุณเองยังรู้สึกว่าพวกมนุษย์แม่เหล่านั้น
มีความจำเป็นจริงๆ จึงไม่เอ่ยปากไปตรงๆ
มาบอกตรงนี้ คุณก็ยังต้องรับสภาพเดิมๆค่ะ
เพราะคนส่วนมาก เค้ารับได้ เค้าเข้าใจ
ถ้าคุณรับไม่ได้ ไม่เข้าใจ คุณก็บอกไปตรงๆค่ะ
จะได้เคลียร์จบๆไป สบายใจคุณด้วย
มองอีกแง่ กว่าแม่จะเลี้ยงคุณมาจนโต
ก็คงเหนื่อยและเคยอ้าง...อะไรมากมาย
เพื่อให้ได้กลับบ้านมาดูแลคุณในช่วงเวลานึง
อยากให้คนอื่นคิดถึงตัวเอง
ก็ต้องลองคิดถึงคนอื่นด้วยนะคะ
ปล. ไม่ได้-ดันนะคะ แค่ให้ความเห็น
เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่แปปนึง
ตอนนี้ลาออกมาเป็นมนุษย์แม่เต็มตัวแล้ว
ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ก็มาทำงานที่บ้าน
ทำไมคุณไม่พูดกับเค้าไปตรงๆละคะ
ว่า... ฉันไม่พอใจ ฉันถูกเอาเปรียบ
หรือลึกๆคุณเองยังรู้สึกว่าพวกมนุษย์แม่เหล่านั้น
มีความจำเป็นจริงๆ จึงไม่เอ่ยปากไปตรงๆ
มาบอกตรงนี้ คุณก็ยังต้องรับสภาพเดิมๆค่ะ
เพราะคนส่วนมาก เค้ารับได้ เค้าเข้าใจ
ถ้าคุณรับไม่ได้ ไม่เข้าใจ คุณก็บอกไปตรงๆค่ะ
จะได้เคลียร์จบๆไป สบายใจคุณด้วย
มองอีกแง่ กว่าแม่จะเลี้ยงคุณมาจนโต
ก็คงเหนื่อยและเคยอ้าง...อะไรมากมาย
เพื่อให้ได้กลับบ้านมาดูแลคุณในช่วงเวลานึง
อยากให้คนอื่นคิดถึงตัวเอง
ก็ต้องลองคิดถึงคนอื่นด้วยนะคะ
ปล. ไม่ได้-ดันนะคะ แค่ให้ความเห็น
แสดงความคิดเห็น
มนุษย์แม่..จอมเบียดเบียน
ไอ้เรื่องเห่อลูกก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะ วันๆ พูดถึงแต่เรื่องลูกตัวเอง คนฟังอย่างเราก็เบื่อแหละ แต่ก็ช่างมันเหอะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เราก็แล้วไป แต่พฤติกรรมที่รับไม่ได้เลยของมนุษย์แม่ ก็คือการเอาเปรียบคนอื่น
คนเป็นแม่หลายคนใช้ความเป็นแม่ของตัวเองเอาเปรียบผู้อื่นในที่ทำงาน เราเองโดนกับตัวมาหลายครั้ง จนตอนนี้อยากจะลาออกแล้ว (ที่ทำงานมีแม่ลูกอ่อนหลายคน) ตัวอย่างง่ายๆนะ งานบางอย่างต้องทำเป็นทีม เวลานัดคุยงาน มนุษย์แม่ก็จะ "เออ พี่ไม่ว่าง มาไม่ได้ ลูกพี่ บลาๆๆ" หรือ "พี่ขอกลับก่อนนะ ลูกรออยู่" หรือ "คุยกันไปนะ แล้วมีอะไรก็มา update พี่" หรือไม่ก็ "ว่าไงก็ว่าตามกันค่ะ" (ไม่ขอช่วยคิด คิดไม่ออก คิดถึงแต่ลูก) คือ... กินแรงคนอื่น ทุเรศอะค่ะ! นอกจากนี้ เธอเหล่านี้ก็จะสามารถพูดขอความเห็นใจจากผู้บังคับบัญชา ชักแม่น้ำทั้ง 5 ถึงความยากลำบากในการเป็นแม่มาอ้างเพื่อให้พวกเธอไม่ต้องรับผิดชอบงานบางอย่าง ที่สุดท้ายงานเหล่านั้นก็มาลงที่เราหรือไม่ก็คนอื่น!!
มีเพื่อนในที่ทำงานหลายคนที่ตกอยู่ในสภาวะถูกเบียดเบียนอย่างเรา ด้วยความที่พวกเราโสด หรือไม่ก็ไม่มีลูก แล้วมันแฟร์เหรอ?? เราคนโสดควรมีเสรีมากกว่าคนเป็นแม่ปะคะ ควรมีเวลาว่างหลังเลิกงานเพราะไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใครปะคะ แต่กลับต้องได้รับงานที่ควรกระจายไปยังพวกมนุษย์แม่ ต้องหอบงานมาทำที่บ้าน และคับแค้นใจจากความไม่ยุติธรรมที่พวกเราได้รับ ทั้งๆที่สุดท้ายแล้วพวกเราจะไม่ได้มีลูกมาดูแลเราตอนแก่เหมือนพวกเธอเหล่านั้น
คนเลือกที่จะมีลูก ก็ต้องรู้ตัวอยู่แล้วว่าสร้างภาระระยะยาวให้ตัวเอง และเต็มใจยอมรับมัน เพื่อว่าตนเองนั้นจะได้มีหลักประกันตอนบั้นปลายชีวิต (ความคิดแบบคนส่วนใหญ่ มีลูกเพื่อหวังให้ทดแทนบุญคุณ) พวกเธอได้รับสิทธิ์ลาคลอด 3 เดือนไปแล้ว ได้เงินเดือนโดยที่ไม่ต้องทำงาน พอพวกเธอกลับมาทำงาน ก็มากินแรงคนอื่นๆ โดยใช้ "ความเป็นแม่" มาอ้าง ถ้าจะไม่ทำงานให้สมกับเงินเดือนที่ได้ พวกเธอก็ควรใช้สิทธิ์ลาต่อโดยไม่เอาเงินเดือนซะ จะมาทำงานแบบทำครึ่งโยนครึ่ง เบียดเบียนเพื่อนร่วมงานทำไม ไม่ละอายแก่ใจกันบ้างเหรอ
พวกเธอ win win ลูกก็มี งานหนักก็กระจายความลำบากไปให้คนโสดได้ สังคมให้ท้าย และพวกเธอก็ยัง ask for more อยู่ร่ำไป พวกเธอภาคภูมิใจ ซาบซึ้งเมื่อวันแม่เวียนมาถึง แต่พวกเธอคงไม่สำนึกเลยว่าการได้มาซึ่งการยกย่องว่าเธอเป็น "ผู้เสียสละ" นั้น พวกเธอได้เอาเปรียบ เบียดเบียนผู้อื่นไปมากขนาดไหน เราอยากจะเล่าความรู้สึกนี้ให้ลูกๆของคนเหล่านี้ได้ฟัง อยากรู้ว่าลูกๆยังจะภาคภูมิใจในตัวแม่ของพวกเขาเหมือนเดิมไหม
ใครเคยเจอพวกแม่ๆ เอาความเป็นแม่มาอ้างแพื่อหลบเลี่ยงงานโดยไม่เกรงใจบ้างไหม และคิดเห็นกันอย่างไรคะ