Clever fool เล่นๆเรียนๆยังไงให้ได้เหรียญทอง



ผมลองเอาคำว่า Clever Fool ไป search ดูใน Google แต่ไม่พบความหมายที่แน่ชัด พี่ชายแท้ๆของผมเป็นคนตั้งชื่อให้สำหรับบทความนี้ทันทีที่เค้าอ่านจบ Clever Fool เป็นคำอธิบายถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของคนที่มีปัญญา แต่เริ่มต้นใช้ชีวิตในทางผิดๆ หลงมัวเมากับสิ่งที่ไม่ดี แต่สุดท้ายสามารถพลิกกลับมาใช้ปัญญาตัวเองได้ในทางที่ดี คำว่า Clever เน้นไปที่ลักษณะเฉพาะของคนๆนั้นที่มีสติปัญญาเหนือคนธรรมดา สติปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสามารถในการคิดเลขเร็วหรืออ่านหนังสือเยอะ แต่หมายถึงความคิดความอ่านและวิสัยทัศน์ ส่วนคำว่า Fool คือการทำตัวโง่ๆ หรือใช้ชีวิตโง่ๆนั่นเอง ในบทความนี้ ผมจะมาเปิดเผยเทคนิคการเรียนหนังสือของตัวผมเองแบบเจาะลึก ว่าผมมีเทคนิค แนวความคิด และมุมมองในการเรียนยังไง รวมไปถึงว่าเราจะสามารถนำไปใช้ยังไงให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริงให้มากที่สุด อย่างละเอียดและเข้าใจง่าย


Clever Fool เล่นๆเรียนๆยังไงให้ได้เหรียญทอง


การศึกษาเล่าเรียนเป็นหัวข้อที่พูดยากถ้าจะให้มาโต้แย้งว่าสรุปแล้วมันสำคัญหรือไม่ ผมมีมุมมองทั้งสองด้านอย่างสุดโต่งในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าจะพูดกันง่ายๆก็แน่นอนว่ามันมีความสำคัญอยู่พอสมควรในพื้นฐานชีวิตทั่วไปของพวกเราทุกคน การประสบความสำเร็จในการเรียนนั้นมีประโยชน์เยอะนะครับ แม้จะการันตีอนาคตเราไม่ได้ก็จริง แต่ที่เห็นชัดๆเลยคือ [1] พ่อแม่ภาคภูมิใจ สบายใจ มีความสุข แล้วมันก็จะทำให้เรามีชีวิตอย่างอิสระในแบบที่เราต้องการได้มากขึ้นด้วย เพราะพ่อแม่ก็จะไว้ใจเรามากขึ้น ใครหลายคนอาจจะไม่ให้ความสำคัญกับข้อนี้นะครับ แต่สำหรับผมนั้น จริงๆแล้วมันคือข้อที่สำคัญที่สุด การเป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่มีความสุขอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เด็กๆ คุณก็จะได้พบกับความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากบนโลกนี้เช่นกัน

[2] สมัครงานง่ายครับ พอร์ตสวย เรียนดีรางวัลเยอะ ยังไงมันก็เป็นจุดสนใจอยู่แล้ว เวลาเราจบออกมาใหม่ๆ บริษัทต่างๆเค้าไม่รู้หรอกครับว่าเราเป็นคนยังไง เก่งจริงเก่งเล่น เก่งหลบใน หรืออะไรยังไง เค้าตัดสินเราจากผลงานที่เราทำมา จริงอยู่ครับว่าเกรดดีไม่ได้แปลว่าฉลาด เกรดดีไม่ได้แปลว่าจะทำงานดี ไม่ได้แปลว่าจะนิสัยดี หรือจะอะไรก็ช่าง แต่ถ้าจะพูดให้แฟร์ๆ เกรดแย่ๆก็ไม่ได้แปลว่าฉลาดเหมือนกัน เกรดแย่ๆก็ไม่ได้แปลว่าจะทำงานดีซะที่ไหน นิสัยดีเปล่าก็ไม่รู้ สรุปคือมันตอบอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเรามีผลการเรียนที่ดี อย่างน้อยมันเริ่มง่ายกว่าแน่นอน ง่ายกว่าเยอะครับผมพูดตรงๆ

[3] มีโอกาสชิงทุนการศึกษาครับ ส่วนมากข้อนี้เด็กจะไม่ค่อยสนใจ ผู้ปกครองก็ไม่ค่อยรู้ครับ ต้องเฉพาะไอ้พวกเด็กที่มันจบออกมาแล้วและได้เริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวเองถึงจะรู้ว่าถ้าจะชิงทุนการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ เกียรตินิยมและกิจกรรมนี่โคตรสำคัญ เพื่อนผมที่หัวดีๆหลายคนบ่นเสียดายกันชุดใหญ่ครับ พวกเค้ามีศักยภาพในการคว้าเกียรตินิยมมาง่ายๆเลย แต่เค้าไม่ทำ เค้าไม่ปั้นเกรด พอตอนจบออกมา ฝันไว้ไกลแต่ไปไม่ถึงเพราะติดเรื่องเงิน จะไปขอทุนก็ลำบาก เค้าจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นเด็กหัวดี แล้วคิดดูสิ อนาคตที่เหลือทั้งหมดนะครับ การเรียนต่อต่างประเทศนี่ถือเป็นก้าวสำคัญเลย ตอนผมกำลังจะเลือกคณะเพื่อเรียนต่อระดับปริญญาตรี ผมไม่รู้ว่าจะเรียนต่อที่ไหน ผมตอบตัวเองไม่ได้ แถมติดเกมส์หนักอีกต่างหาก โชคดีที่ม.ปลายปั้นเกรดมาสวยมาก ผมเลยได้รับทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญโดยไม่ต้องจ่ายคืนใดๆทั้งสิ้น รอดตายแบบหวุดหวิดเลยครับ เพราะถ้าไม่มีทุนนี้ ครอบครัวผมไม่มีทางจ่ายค่าเทอมไหว ถึงจะไหวผมก็ไม่ยอมให้พ่อแม่ต้องมาแบกรับภาระกับปัญหาชีวิตที่ผมควรจะรับผิดชอบเองอย่างแน่นอน

จริงๆแล้วมันยังมีข้อดีอีกมากมายแต่ผมก็ไม่รู้จะสาธยายไปทำไม สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือเราจะได้มันมาได้ยังไงมากกว่า หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้เริ่มถอดใจว่าเฮ้ย ถ้าเราเกิดมาเป็นคนหัวไม่ดีก็แย่สิ ก็อดสิ ไม่แฟร์เลย ซึ่งถูกต้องแล้วครับ ผมเห็นด้วยกับคุณ มันแย่อยู่แล้วครับที่จะต้องเกิดมาเป็นคนหัวไม่ดี แต่นั่นมันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เอางี้ละกันผมจะแจกแจงอธิบายให้ฟังง่าย ในมุมมองของผมนั้น การได้มาซึ่งเกียรตินิยมมีสามวิธีเข้าใจง่ายๆครับ

[1] วิธีแรกคือเกิดมาอัจฉริยะ วิธีนี้เป็นวิธีที่เราไม่สามารถเลือกได้ เพราะฉะนั้นผมจะไม่พูดถึง [2] วิธีที่สองคือตั้งใจเรียน ใจจดใจจ่ออยู่กับการเรียน ทุ่มเทให้กับการเรียน วิธีนี้เป็นวิธีที่แพร่หลายมากที่สุด พ่อแม่หลายต่อหลายคนก็กวดขันลูกกันสุดชีวิต ทำอย่างกับลูกเป็นไก่ชน โอ้โห จัดตารางทั้งเรียนปกติทั้งเรียนพิเศษต่อกันจ้าละหวั่น เสาร์อาทิตย์ก็ยังไม่เว้น อัดมันตั้งแต่แปดโมงเช้ายันสี่ทุ่ม ผมรู้จักเด็กคนนึงอยู่ประมาณม.2 แม่ส่งไปเรียนพิเศษฟิสิกส์กับเคมี พระเจ้าบ้าไปแล้วม.2 ตอนนั้นผมยังด่าครูบาอาจารย์ตัวเองอยู่เลยครับ เด็กหลายต่อหลายคนก็มีทั้งให้ความร่วมมือและไม่ให้ความร่วมมือ เด็กบางคนนี่แบบโอ้โหสุดยอด พ่อแม่อัดให้แน่นไม่ว่า ว่างเมื่อไหร่มันก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ตอนเช้าเคารพธงชาติมันก็ยังนั่งทบทวน นั่งคุยกับเพื่อนมันก็เถียงกันเรื่องบทเรียน โหดมากครับพวกนี้ สังเกตได้ง่ายๆคือ ไม่สันทัดเรื่องการแต่งตัวเท่าไหร่ ทรงผมถูกระเบียบ เสื้อผ้าถูกระเบียบ อารมณ์บนใบหน้ามันยังถูกระเบียบเลย คือพวกเค้าจะไม่เสียเวลาให้กับเรื่องพวกนี้ครับ มันไร้สาระ และกลุ่มคนพวกนี้แหละครับ คือพวกที่ให้เราลอกการบ้านทุกเช้าก่อนเข้าเรียน เอาจริงๆแล้วพวกเค้ามีความสุขนะผมเคยแอบถาม แค่บางทีมันไม่กล้าให้ลอกเพราะกลัวครูจับได้ เอาเป็นว่าช่างมัน เริ่มเลอะเทอะละ จุดสำคัญอยู่ที่วิธีที่สามนี่แหละครับ วิธีนี้เป็นวิธีที่ผมใช้และทำให้ผมประสบความสำเร็จในการเรียน ผมเลยอยากเอามาแบ่งปันให้ฟังว่ามันเป็นยังไงมายังไง มีขั้นตอนและกระบวนการคิดอย่างไรบ้าง

[3] วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดมาอัจฉริยะ ไม่ต้องเกิดมาหัวดี ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องกลายร่างเป็นเนิร์ด ทุกวันหลังเลิกเรียนผมไม่เคยใช้เวลาสักวินาทีเดียวกับการทบทวนตำราเรียนเลย เพราะอะไรหนะหรอ เพราะว่าผมไม่ชอบเรียนหนังสือไงครับ โลกนี้มันยังมีอะไรอีกมากมายมหาศาลที่เรายังต้องเรียนรู้ ที่เราต้องไปเล่นต้องไปลอง แค่เวลาที่เรียนในห้องก็เยอะเกินแล้วครับ ออกมาจากนอกห้องเรียนจะให้มานั่งทบทวนอีก ส่วนตัวผม ผมมองว่ามันเสียเวลา มันไม่ใช่แล้วครับ แม้มันจะถูกจุดประสงค์ของการศึกษาเล่าเรียนนะ แต่ผมว่ามันผิดจุดประสงค์ของการใช้ชีวิต การเรียนเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเรื่องเรียนไม่สำคัญ สิ่งนอกห้องเรียนสำคัญกว่า ไม่ใช่นะครับ ไอ้นี่แหละครับคือหัวใจของวิธีที่สาม คือการที่เราให้ความสนใจกับทุกๆอย่างในชีวิต”มาก”เหมือนๆกัน

เทคนิคการเรียนในแบบของผมคือการผสมผสานอุปนิสัยสามอย่างเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ [1] การที่เราสามารถแบ่งสัดส่วนชีวิตเราให้เหมาะสม พูดง่ายๆคือแบ่งเวลาให้เป็น [2] การที่เราประเมินสถานการณ์และวางแผนล่วงหน้า แล้วก็ [3] การที่เรามุ่งมั่นตั้งใจกับสิ่งที่เราทำอยู่ หรือที่คนมักชอบเรียกว่า สมาธิ แต่ผมไม่อยากใช้คำนี้เพราะว่าพ่อแม่มักจะใช้คำนี้บ่อยจนพวกเราเอียนหูอยู่แล้ว พอฟังอีกมันก็ไม่เห็นภาพว่ามันคืออะไรกันแน่ จะเห็นได้ว่าทั้งสามอุปนิสัยนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชค ไม่เกี่ยวกับว่าเกิดมาแล้วมีมั้ย มันคือสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้เองไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม เพียงแค่ต้องเข้าใจลักษณะมันอย่างลึกซึ้ง และทำให้ตัวเราเองมองเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ พูดง่ายๆก็คือ พอคุณอยากจะมีในสิ่งที่คุณเข้าใจอย่างดี เดี๋ยวมันก็มีขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นแล้ววิธีการเรียนหนังสือของผมนั้น ไม่ใช่การเรียนให้เยอะ แต่คือการเรียนให้เป็น

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าผมมีบทกลอน 8 บรรทัด ให้คุณนั่งนิ่งๆเงียบๆคนเดียวและจดจำภายในเวลาหนึ่งนาที แน่นอนครับถ้าไม่ได้เกิดมาอัจฉริยะทำไม่ได้อยู่แล้ว ใครจะไปจำไหว จะอ่านให้ถูกยังยากเลย ถ้างั้นขยายเวลาเป็นหนึ่งชั่วโมง คาดว่าน่าจะได้กันทุกคนละ ในโลกแห่งความเป็นจริง ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าสมองของเราทึบกว่าคนอื่นแค่ไหน แล้วเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ไม่ใช่ครับ ประเด็นมันอยู่ตรงที่เราตั้งใจและจดจ่ออยู่กับบทความมากแค่ไหน หรือเรามัวแต่กลัว พะวงว่าเราจะทำได้มั้ย เพื่อนๆจะจำได้ก่อนเราหรือเปล่า มันน่าขายหน้าเหลือเกิน เราต้องกลายป็นคนโง่ในกลุ่มใช่มั้ย พ่อแม่จะว่ายังไง สุดท้ายหมดเวลาไป 5 นาทีคุณยังไม่ได้เริ่มอ่านบรรทัดแรกเลย โอเคอาจจะอ่าน แต่อ่านแบบผ่านตา ไม่ใช่อ่านแบบมีสมาธิ หรืออ่านแบบพร้อมที่จะจดจำ ปัญหานี้ไม่ใช่ขำๆนะครับ คนที่เรียนไม่ประสบความสำเร็จเป็นกันหมดแทบจะทุกคน ผมเห็นเพื่อนผมจำนวนมากเลยครับ นั่งอ่านหนังสือสอบหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ผมถามว่าอ่านเรื่องไร มันตอบ ไม่รู้ว่ะจำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องแต่งนะครับ เป็นเรื่องจริงที่หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็น นั่นเป็นเพราะการขาดสมาธิในการตั้งใจอ่าน และมิหนำซ้ำยังขาดการประเมินสถานการณ์ของตัวเองด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองไม่มีสมาธิอยู่

สมมติว่าผมสามารถใช้เวลาในการจำได้ที่หนึ่งชั่วโมง นั่นคือข้อเท็จจริงที่ผมต้องรู้เกี่ยวกับตัวเองว่า เออนี่คือศักยภาพกูนะ ผมจะไม่เสียเวลาไปกับการเอาเวลาตรงนี้มาเปรียบเทียบกับของเพื่อนเพื่อวัดว่าใครเจ๋งกว่า มันไม่มีประโยชน์เลยครับ ไม่ทำให้เราได้เหรียญมา กลับกัน ผมจะเริ่มประเมินกระบวนการคิดตัวเองว่า อ๋อ ถ้าเราใช้สมาธิแบบเต็มที่ แล้วเราไม่วอกแวก เราพยายามอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาของบทกลอนรอบแรก เราใช้เวลาประมาณ 5 นาที หลังจากที่เราอ่านออกเสียงเข้าใจทุกคำแล้ว ก็มาเริ่มจำทีละบรรทัด เอาคร่าวๆหนะ จำบรรทัดละ 5 นาที ฝึกพูดให้มันติดปาก แล้วก็มาทวนตั้งแต่ต้นจนจบไปเรื่อยๆจนกว่าเวลาจะหมด แค่นี้ผมก็จำบทกลอนได้แล้ว นี่เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีตัวเลขเป๊ะๆขึ้นมาในหัว มันเป็นอารมณ์ของการประเมินความสามารถเรากับการวางแผนล่วงหน้า ว่าเราจำได้แค่ไหนแล้ว เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ เราต้องทำอะไรต่อไป ถ้าคุณไม่วางแผน ไม่เผื่อเวลาไว้ทวนรอบใหญ่ แม้จะจำทุกบรรทัดได้ แต่เอาเข้าจริงอาจจะติดขัดสมองฟูไปชั่วขณะ ผมว่าทุกคนเคยเป็นครับ ลืมแบบไร้สาเหตุ แล้วก็ออกมา อ๋ออออออออออออออตอนหลัง ตอนที่แม่มสายไปแล้ว

อีกจุดนึงที่สำคัญเลยคือ ถ้าผมใช้เวลาปกติ 1 ชั่วโมงในการจดจำบทกลอนทั้งหมด แต่มีเพื่อนๆหัวเป็ดประมาณ 8 ตัวคอยกวนประสาทอยู่ข้างๆ หรือ มีแฟนสาวสุดสวยเดินวนไปวนมาลูบไล้แผ่นหลังผมไปเรื่อยๆ ผมบอกให้ครับ 8 ชั่วโมงก็ยังจำอะไรไม่ได้ นี่แหละครับคือสมาธิ และนี่แหละครับคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเยาวชนไทยในปัจจุบัน สมาธิคนเรายิ่งสั้นขึ้นเรื่อยๆในโลกที่ข้อมูลมันส่งกันฉับไวแบบนี้ เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็สามารถทำให้คนเบื่อได้ เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มักจะพยายามเติมความรู้สึกตัวเองให้ตื่นเต้นให้มีความสุขอยู่ตลอดเวลา อันเป็นผลทำให้สุดท้ายแล้วสติของเค้าจะหลุดไปอยู่กับสิ่งรอบตัว โทรศัพท์ เฟซบุค การสื่อสารกับเพื่อนๆ กับแฟน หรือจะอะไรก็ตาม แล้วที่แย่มากที่สุดคือพวกเค้าก็ไม่รู้ตัวเลยว่า หนังสือที่กางอยู่ข้างหน้าแม่มไม่มีประโยชน์ เพราะสติคุณอยู่กับสิ่งอื่น คุณกำลังรอคนนั้นตอบไลน์อยู่ คุณกำลังอยากรู้ว่าไอนู่นไอนี่มันจะเป็นยังไงต่อไป ผมรู้ดีครับว่ามันยากมากครับที่จะต้องฝืนความคิดความรู้สึกพวกนี้ ไม่ง่ายครับ แรกๆผมก็ทำไม่ได้ ปัจจุบันบางทีก็ยังทำไม่ได้ แต่มันก็ต้องทำครับ มันคือการฝืนสัญชาตญาณมนุษย์ ฝืนความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ตัวเราได้มาซึ่งสิ่งที่ดีกว่าสิ่งทั่วไป แต่ละคนอาจจะหาเทคนิคมาไม่เหมือนกัน ส่วนตัวของผมคือ ผมเอาผลลัพธ์เป็นหลัก คิดถึงเป้าหมายและความถูกต้อง จินตนาการสร้างความรังเกียจกับการเป็นผู้แพ้ที่ปล่อยให้ตัวเราสุขสบายกับสิ่งยั่วยุรอบข้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่