ผมขอเล่าโดยจะพยายามสรุปให้สั้นๆได้ใจความนะครับ
ย้อนไปสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 ผมได้มีโอกาสรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กที่เรียบร้อย เชื่อฟังพ่อแม่ เรียนหนังสือเก่ง
และเธอค่อนข้างจะหน้าตาดีเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มมากมาย เธออายุน้อยกว่าผม1 ปี ด้วยความที่บ้านเราอยู่ใกล้กัน
ก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์มาคบหาเป็นแฟนกัน เราคบกันในสายตาของผู้ใหญ่ไม่ได้มีอะไรที่ล่วงเกิน ทุกอย่างก็ดูจะลงตัว
ยิ่งนานวันเราต่างก็รักกันมาก มีแต่สิ่งดีๆมอบให้กันเสมอ จนกระทั่งผมจบ ม.3 ผมก็มีเหตุจำเป็นจะต้องย้ายไปอยู่กับพ่อแม่
ที่หาดใหญ่ ไปเรียนต่อ ปวช.ที่นั่น ช่วงระยะเวลาที่ห่างกันทั้งผมและเธอเราก็ต่างคิดถึงกันมาก มั่นคงต่อกัน สมัยนั้นเทคโนโลยี
ยังไม่ทันสมัยอย่างวันนี้ ต้องอาศัยโทรศัพท์คุยกันแต่ก็ไม่บ่อยนัก ใน1ปีมีผมจะมีโอกาสได้กลับมาหาเธอแค่ 2-3 ครั้ง และในช่วง
นี้นี่เองที่เราเริ่มแอบมีอะไรกันโดยที่ผู้ใหญ่ไม่ทราบ คงเป็นเพราะต้องห่างกันนานๆ พออยู่ใกล้กันมันจึงสปาร์ค โหยหากันและกันมาก
กว่าปกติ แต่ละครั้งที่มาก็จะมีเวลาแค่2-3 วันผมก็ต้องรีบกลับไปเรียน อีกทั้งผมต้องช่วยที่ขายของด้วย แต่ละครั้งที่มาพบเจอและจาก
ก่อนมาตื้นเต้นดีใจ พอจะกลับน้ำตาไหลใจจะขาด ความรู้สึกเหล่านี้มันฝังลึกจนทำให้ผมและเธอคิดเหมือนกันว่าชีวิตนี้เราคงจะเป็นเนื้อคู่กัน
สักวันหนึ่งเมื่อโตพอเราคงได้แต่งงานกัน วาดฝันไปต่างๆนาๆ 3ปีเต็มๆที่เราห่างกัน แต่เราก็ยังมั่นคงต่อกันมาตลอด ทั้งๆที่มีใครผ่านเข้ามา
ในชีวิตมากมายทั้งผมและเธอ แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่จะหวั่นไหว จนในที่สุดมันก็มาถึงจุดเปลี่ยนตอนที่เธอเรียนจบชั้น ม.6 ในเวลานั้นผมก็
เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ช่วงก่อนเข้าสู่การเอ็นทราน ทาง รร.เก่าเธอมีโค้วต้าเกี่ยวกับหลักสูตรอินเตอร์
ที่จะเข้าศึกษาต่อโดยตรงที่คณะวิทยาการจัดการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ผมเรียนอยู่ ด้วยความที่ใจเราทั้งสองอยากจะมาอยู่ใกล้กัน
ผมไม่สนใจว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบสาขาวิชานี้ ผมคะยั้นคะยอให้เธอรีบตอบตกลงเพื่อจะได้มาอยู่ใกล้กัน จนในที่สุดเธอก็ได้ย้ายมาอยู่ที่
หาดใหญ่และเรียนในมหาลัยเดียวกับผม แต่ต่างคณะกัน แต่ใครจะไปรู้ว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญกับสังคมใหม่ที่เธอจะพบเจอ ด้วยความที่
เธอตอนยังอยู่กับครอบครัว พ่อแม่ก็คอยดูแลควบคุมเธออย่างดีมาโดยตลอด เธอไม่เคยสัมผัสถึงแสงสีเสียงในเมืองใหญ่ อบายมุขต่างๆ
นาๆ หลังจากเธอย้ายมาได้สัก 1 เทอม เราก็ได้มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันเสมือนสามีภรรยา มีอะไรกันเท่าที่อยากจะมีแต่ผมก็
ป้องกันทุกครั้ง สาขาวิชาที่เธอเรียนเป็นหลักสูตรอินเตอร์ซึ่งมีระบบการเรียนแตกต่างจากภาคปกติ เช่นพอผมเปิดเทอมเธอปิดเทอม
สลับกันไปมา ประกอบทั้งผู้คนที่เรียนหลักสูตรนี้ล้วนแต่เป็นคนมีอันจะกิน ขับรถแพงๆหรูๆมาเรียนกันทั้งนั้น แฟนผมเธอคลุกคลีอยู่กับ
เพื่อนเหล่านี้ทุกวันจนเริ่มจะติดนิสัยชอบหรูหรา

ไม่ว่าหน้าใหญ่ไว้ก่อน หลังๆมาเวลาผมขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งเธอ เธอก็ไม่ยอมให้
ผมไปส่งถึงตึกคณะ ให้ส่งไกลๆเพราะเธออายคนที่นั่งมอเตอร์ไซค์มาเรียน แม้ผมจะน้อยใจแต่ก็ยินยอมจะทำตามด้วยเพราะรักเธอ
ไม่อยากให้เธอต้องอับอาย พอเธอขึ้นปี 2 เราก็เริ่มจะทะเลาะกันบ่อยขึ้น เธอเริ่มติดเพื่อน เลิกเรียนก็ต้องไปนู่นนี่กับเพื่อนไม่ยอมกลับบ้าน
สิ่งที่เธอไม่เคยพูดกับผมเลยเธอก็พูด ถ้อยคำรุนแรงทำร้ายน้ำใจต่างๆที่เธอต่อว่าผม ผมก็ได้เเต่อดทนมาโดยตลอด ต่อมาเธอเริ่มเที่ยว
กลางคืน เที่ยวผับเที่ยวบาร์ จากสัปดาห์ละครั้งพัฒนาเป็นวันเว้นวัน จนบางทีไปติดๆกันทุกวัน ช่วงนั้นเรามีปัญหาทะเลาะกันรุนแรงขึ้น
เริ่มมีผู้ชายมาติดพัน บางครั้งเธอปิดมือถือเวลาไปเที่ยว ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับขับมอเตอร์ไซค์ตามหาเธอไปทั่วทุกที่ตามสถานบันเทิง
หลายต่อหลายครั้งที่ผมต้องกลับมานั่งร้องไห้คนเดียว ผมห้ามอะไรเธอไม่ได้อีกแล้ว มันเหมือนสูญเสียการควบคุม จากคนรักกัน คนที่เคย
สนิทสนมกันมันดูเหมือนไร้ค่าไปหมด เด็กผู้หญิงที่เคยน่ารักสำหรับผมมันไม่มีอยู่อีกแล้ว ผมเริ่มหันมาเสพยาเสพติด ใช้มันทุกวันทุกคืน
มันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพจิตใจแบบนี้ แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อวันหนึ่งเธออาศัยจังหวะที่ผม
ไม่อยู่บ้านเข้ามาเก็บเสื้อผ้าบางส่วน แล้วหายไปจากชีวิตผมอย่าชนิดที่ผมงงจนแทบไม่เชื่อว่ามันจะะเป็นเรื่องจริง เธอเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
ผมติดต่อเธอไม่ได้เลย ไม่ว่าจะโทรหาใครทุกคนก็ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น แม้แต่ผมโทรไปบ้านเธอที่ต่างจังหวัด แม่เธอก็บอกไม่รู้ไม่เห็น ผมรู้สึกเหมือน
ไม่มีใครเห็นใจหรือสงสารผมเลย ผมต้องนอนและตื่นมาพร้อมน้ำตาทุกวัน กินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นทุกข์อย่างหนัก ลองจินตนาการดูสิครับว่า
หากใครก็ตามเจอแบบผม จะรู้สึกยังไง เป็นเวลา 4 เดือนเต็มๆที่เธอหายไปแบบไร้ร่องรอย และแล้วในเช้าวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังช่วยทางบ้าน
จัดของขาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่เธอปิดใช้ไปนาน ผมตื้นเต้นและตกใจว่าเธอโทรมาทำไม แล้วสิ่งที่ผมคิดก็เป็นจริง เธอโทรมาร้องห่ม
ร้องไห้สำนึกผิด บอกว่าโดนผู้ชายคนหนึ่งหลอกไปอยู่ด้วยที่จังหวัดกระบี่ เธอบอกผู้ชายที่เธอหนีตามไปเจ้าชู้ โรคจิต ชอบถ่ายคลิปตอนมีอะไรกัน
เล่าเรื่องร้ายๆต่างๆนาๆ เธอบอกว่าอยากกลับมาเหมือนเดิม ด้วยหัวใจที่ยังรักเธออยู่อย่างมากล้น ผมยินดีและไม่ปฏิเสธการกลับมาของเธอ
ผมต้อนรับเธออย่างอบอุ่น คอยเอาใจดูแลเหมือนไม่เคยมีไรเกิดขึ้น เธอบอกว่ายังไม่พร้อมจะมาใช้ชีวิตในบ้านเดียวกัน ผมก็ตกลงไปเช่าหอพัก
ใกล้มหาลัยให้เธออยู่ คอยตามรับตามส่ง ระหว่างนั้นผู้ชายที่เธอหนีตามไปอยู่ด้วยถึง4เดือน ก็ยังมาคอยตามรังควาญ ทั้งโทรมา ไปดักรอที่คณะ
ผมจึงไปเคลียร์กับผู้ชายคนนั้นและบอกให้เลิกยุ่งถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ นาทีนั้นผมเอาจริง เพราะในหาดใหญ่มันคืถื่นของผม พรรคพวกเพื่อนฝูง
มีมากมาย สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ยอมล่าถอยไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ผมคิดว่าจากนี้ทุกๆอย่างคงจะดีขึ้น ผมให้อภัยเธอได้สำหรับความผิดพลาด
ที่เธอได้พลาดพลั้งไป เรื่องราวเหมือนจะจบได้สวย แต่ไม่เป็นเช่นนั้น วิบากกรรมครั้งใหญ่กำลังรอผมอยู่ เธอได้ขอให้พ่อแม่ของเธอซื้อรถยนต์ให้
พอเธอมีรถขับ ผมก็หมดหน้าที่ตามรับตามส่ง เธอเริ่มจะทำตัวเหินห่างกับผมอีกครั้ง จากโทรหาทุกวันก็เริ่มไม่โทร เวลาผมโทรไปก็รีบตัดบท และพูดอะไรแปลกๆ เช่นว่า "เราคงจะกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้" หรือ "เธอเป็นผู้หญิงที่เสียแล้ว" ประมาณนั้น ผมพยายามตามง้อทั้งๆที่ไม่ได้ทำไรผิด
ผมไม่อยากเสียเธอไปอีกแล้ว แต่ไม่เป็นผล เราเริ่มกลับมาทะเลาะกัน ผมลองหยุดโทรหาเธอด้วยหวังว่าเธอคงจะสำนึกแล้วโทรมาขอโทษผมเอง แต่ไม่เลย 10 วันผ่านไปก็ไม่มีแม้แต่สักสายเดียวที่เธอจะโทรมา แล้วจุดจบก็มาถึง ในคืนหนึ่งประมาณตี1 ขณะที่ผมกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว อยู่ๆไม่รู้อะไร
มาดลใจว่า ทำไมเราไม่ไปหาเธอแล้วเคลียร์ซะให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ผมก็ลุกขึ้นแต่งตัวแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเธอที่หอพัก เมื่อไปถึงผมเคาะประตูเรียกอยู่นานกว่า 15 นาที ในห้องมีคนอยู่แต่ไม่มีใครมาเปิด ผมก็ชักกังวลใจเลยเริ่มเคาะประตูดังขึ้น ทั้งกดโทรศัพท์ไปด้วย และแล้วประตูก็เปิดออก
สิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็เกดขึ้น นั่นก็คือ มีผู้ชายคนหนึ่งมาเปิดประตู ผมตกใจและช๊อก หลังจากตั้งสติผมจึงรีบหุนหันเข้าไปในห้อง
สิ่งที่พบคือแฟนผมเธอนอนห่มผ้าอยู่บนเตียงลักษณะเปลือยกาย ผมเจ็บปวดอย่างสุดหัวใจ น้ำตาไหลออกมาเองทั้งที่ไม่ได้ร้อง ขาสั่นมือสั่นไปหมด
ผมกระชากคอผู้ชายคนนั้นมาถามว่า "เป็นใคร ทำไมมาอยู่กับเมียกู" สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นตอบคือ มันไม่รู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว อีกทั้งเพิ่งรู้จักกันในผับแห่งหนึ่ง ผมยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ผู้ชายคนนั้นบอกว่ามันเป็นทหารมาประจำการอยู่ในค่ายเสณาณรงค์ ผมทำไรไม่ถูกจึงเดินเข้าไปต่อว่าเธออย่างรุนแรง
แล้วรีบขีรถกลับไปที่บ้านตั้งใจจะไปเอาปืนลูกซองของพ่อที่เก็บไว้ พอกลับถึงบ้านผมเคร่งเครียดมาก ใจนึงอยากจะเอาปืนไปยิ่ง

ให้ตายห่าให้หมด อีกใจนึงก็กลัว คิดว่าถ้าลงมือทำไปแล้วจะได้อะไรนอกจากความสะใจ ผมย้ำคิดย้ำทำอยู่ ชม.กว่า สูบบุหรี่มวนต่อมวนหมดไปเป็นซอง จนถึงเช้าเมื่อเห็นแสง
พระอาทิตย์ส่องมาเข้าตาผม ผมจึงรู้สึกว่านี่คงเป็นวันใหม่สำหรับผมแล้ว เราหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ ณ นาทีนั้นผมตัดสินใจลบเธอออกไปจากชีวิต
เราคงมีกรรมร่วมกันทำให้ชาตินี้ต้องมาพบพานเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
นับจากวันนั้นผมก็ยังคงเจ็บปวดหัวใจอยู่ตลอดเวลา มันเสียใจ เสียดายเวลา เสียดายเรื่องราวมากมายที่ส้รางมาด้วยกัน ภาพเก่าๆที่เคยมีความสุข
ด้วยกันมันยังตามหลอกหลอนผมเสมอ ผมรู้มาว่าเธอก็มีความสุขดีตามประสาเธอ ผมแค่อยากรู้เพียงอย่างเดียวในชีวิต ว่าเธอเคยรักผมแบบจริงๆบ้างไหม
ทำไมทำร้ายผมได้เพียงนี้ ถ้าไม่คิดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำไมไม่ไปให้พ้นตั้งแต่ทีแรก กลับมาทำร้ายผมซ้ำสองอีกทำไม นึกถึงครั้งที่เธอเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ผมคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ เอาใจเธอสารพัด ผมรักเธอแม้นยามเจ็บป่วยหน้าตาดูไม่ได้ผมก็ยังรัก ตอนเธอเป็นปกติ ดูดี ผมก็รัก แต่ผมพบคำตอบในใจผมเองแล้วล่ะว่า "เธอไม่เคยรักผมจริงๆหรอก เพราะถ้าเธอรักผมบ้างสักนิด เธอจะไม่ทำแบบนี้กับผม"
**********************************************************************************************************
จริงๆเรื่องราวมันมีรายละเอียดมากกว่านี้เยอะ แต่ผมคิดว่าผู้อ่านที่เคยมีความรัก คงอนุมานเอาได้ ว่าหนุ่มสาวยามแรกรักมันสุขเพียงใดครับ
เรื่องจริงที่ยิ่งกว่าละคร กับความรักที่แสนจะเจ็บปวดใจ แชร์ประสบการณ์จริงครับ
ย้อนไปสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 ผมได้มีโอกาสรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กที่เรียบร้อย เชื่อฟังพ่อแม่ เรียนหนังสือเก่ง
และเธอค่อนข้างจะหน้าตาดีเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มมากมาย เธออายุน้อยกว่าผม1 ปี ด้วยความที่บ้านเราอยู่ใกล้กัน
ก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์มาคบหาเป็นแฟนกัน เราคบกันในสายตาของผู้ใหญ่ไม่ได้มีอะไรที่ล่วงเกิน ทุกอย่างก็ดูจะลงตัว
ยิ่งนานวันเราต่างก็รักกันมาก มีแต่สิ่งดีๆมอบให้กันเสมอ จนกระทั่งผมจบ ม.3 ผมก็มีเหตุจำเป็นจะต้องย้ายไปอยู่กับพ่อแม่
ที่หาดใหญ่ ไปเรียนต่อ ปวช.ที่นั่น ช่วงระยะเวลาที่ห่างกันทั้งผมและเธอเราก็ต่างคิดถึงกันมาก มั่นคงต่อกัน สมัยนั้นเทคโนโลยี
ยังไม่ทันสมัยอย่างวันนี้ ต้องอาศัยโทรศัพท์คุยกันแต่ก็ไม่บ่อยนัก ใน1ปีมีผมจะมีโอกาสได้กลับมาหาเธอแค่ 2-3 ครั้ง และในช่วง
นี้นี่เองที่เราเริ่มแอบมีอะไรกันโดยที่ผู้ใหญ่ไม่ทราบ คงเป็นเพราะต้องห่างกันนานๆ พออยู่ใกล้กันมันจึงสปาร์ค โหยหากันและกันมาก
กว่าปกติ แต่ละครั้งที่มาก็จะมีเวลาแค่2-3 วันผมก็ต้องรีบกลับไปเรียน อีกทั้งผมต้องช่วยที่ขายของด้วย แต่ละครั้งที่มาพบเจอและจาก
ก่อนมาตื้นเต้นดีใจ พอจะกลับน้ำตาไหลใจจะขาด ความรู้สึกเหล่านี้มันฝังลึกจนทำให้ผมและเธอคิดเหมือนกันว่าชีวิตนี้เราคงจะเป็นเนื้อคู่กัน
สักวันหนึ่งเมื่อโตพอเราคงได้แต่งงานกัน วาดฝันไปต่างๆนาๆ 3ปีเต็มๆที่เราห่างกัน แต่เราก็ยังมั่นคงต่อกันมาตลอด ทั้งๆที่มีใครผ่านเข้ามา
ในชีวิตมากมายทั้งผมและเธอ แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่จะหวั่นไหว จนในที่สุดมันก็มาถึงจุดเปลี่ยนตอนที่เธอเรียนจบชั้น ม.6 ในเวลานั้นผมก็
เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ช่วงก่อนเข้าสู่การเอ็นทราน ทาง รร.เก่าเธอมีโค้วต้าเกี่ยวกับหลักสูตรอินเตอร์
ที่จะเข้าศึกษาต่อโดยตรงที่คณะวิทยาการจัดการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ผมเรียนอยู่ ด้วยความที่ใจเราทั้งสองอยากจะมาอยู่ใกล้กัน
ผมไม่สนใจว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบสาขาวิชานี้ ผมคะยั้นคะยอให้เธอรีบตอบตกลงเพื่อจะได้มาอยู่ใกล้กัน จนในที่สุดเธอก็ได้ย้ายมาอยู่ที่
หาดใหญ่และเรียนในมหาลัยเดียวกับผม แต่ต่างคณะกัน แต่ใครจะไปรู้ว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญกับสังคมใหม่ที่เธอจะพบเจอ ด้วยความที่
เธอตอนยังอยู่กับครอบครัว พ่อแม่ก็คอยดูแลควบคุมเธออย่างดีมาโดยตลอด เธอไม่เคยสัมผัสถึงแสงสีเสียงในเมืองใหญ่ อบายมุขต่างๆ
นาๆ หลังจากเธอย้ายมาได้สัก 1 เทอม เราก็ได้มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันเสมือนสามีภรรยา มีอะไรกันเท่าที่อยากจะมีแต่ผมก็
ป้องกันทุกครั้ง สาขาวิชาที่เธอเรียนเป็นหลักสูตรอินเตอร์ซึ่งมีระบบการเรียนแตกต่างจากภาคปกติ เช่นพอผมเปิดเทอมเธอปิดเทอม
สลับกันไปมา ประกอบทั้งผู้คนที่เรียนหลักสูตรนี้ล้วนแต่เป็นคนมีอันจะกิน ขับรถแพงๆหรูๆมาเรียนกันทั้งนั้น แฟนผมเธอคลุกคลีอยู่กับ
เพื่อนเหล่านี้ทุกวันจนเริ่มจะติดนิสัยชอบหรูหรา
ผมไปส่งถึงตึกคณะ ให้ส่งไกลๆเพราะเธออายคนที่นั่งมอเตอร์ไซค์มาเรียน แม้ผมจะน้อยใจแต่ก็ยินยอมจะทำตามด้วยเพราะรักเธอ
ไม่อยากให้เธอต้องอับอาย พอเธอขึ้นปี 2 เราก็เริ่มจะทะเลาะกันบ่อยขึ้น เธอเริ่มติดเพื่อน เลิกเรียนก็ต้องไปนู่นนี่กับเพื่อนไม่ยอมกลับบ้าน
สิ่งที่เธอไม่เคยพูดกับผมเลยเธอก็พูด ถ้อยคำรุนแรงทำร้ายน้ำใจต่างๆที่เธอต่อว่าผม ผมก็ได้เเต่อดทนมาโดยตลอด ต่อมาเธอเริ่มเที่ยว
กลางคืน เที่ยวผับเที่ยวบาร์ จากสัปดาห์ละครั้งพัฒนาเป็นวันเว้นวัน จนบางทีไปติดๆกันทุกวัน ช่วงนั้นเรามีปัญหาทะเลาะกันรุนแรงขึ้น
เริ่มมีผู้ชายมาติดพัน บางครั้งเธอปิดมือถือเวลาไปเที่ยว ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับขับมอเตอร์ไซค์ตามหาเธอไปทั่วทุกที่ตามสถานบันเทิง
หลายต่อหลายครั้งที่ผมต้องกลับมานั่งร้องไห้คนเดียว ผมห้ามอะไรเธอไม่ได้อีกแล้ว มันเหมือนสูญเสียการควบคุม จากคนรักกัน คนที่เคย
สนิทสนมกันมันดูเหมือนไร้ค่าไปหมด เด็กผู้หญิงที่เคยน่ารักสำหรับผมมันไม่มีอยู่อีกแล้ว ผมเริ่มหันมาเสพยาเสพติด ใช้มันทุกวันทุกคืน
มันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพจิตใจแบบนี้ แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อวันหนึ่งเธออาศัยจังหวะที่ผม
ไม่อยู่บ้านเข้ามาเก็บเสื้อผ้าบางส่วน แล้วหายไปจากชีวิตผมอย่าชนิดที่ผมงงจนแทบไม่เชื่อว่ามันจะะเป็นเรื่องจริง เธอเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
ผมติดต่อเธอไม่ได้เลย ไม่ว่าจะโทรหาใครทุกคนก็ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น แม้แต่ผมโทรไปบ้านเธอที่ต่างจังหวัด แม่เธอก็บอกไม่รู้ไม่เห็น ผมรู้สึกเหมือน
ไม่มีใครเห็นใจหรือสงสารผมเลย ผมต้องนอนและตื่นมาพร้อมน้ำตาทุกวัน กินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นทุกข์อย่างหนัก ลองจินตนาการดูสิครับว่า
หากใครก็ตามเจอแบบผม จะรู้สึกยังไง เป็นเวลา 4 เดือนเต็มๆที่เธอหายไปแบบไร้ร่องรอย และแล้วในเช้าวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังช่วยทางบ้าน
จัดของขาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่เธอปิดใช้ไปนาน ผมตื้นเต้นและตกใจว่าเธอโทรมาทำไม แล้วสิ่งที่ผมคิดก็เป็นจริง เธอโทรมาร้องห่ม
ร้องไห้สำนึกผิด บอกว่าโดนผู้ชายคนหนึ่งหลอกไปอยู่ด้วยที่จังหวัดกระบี่ เธอบอกผู้ชายที่เธอหนีตามไปเจ้าชู้ โรคจิต ชอบถ่ายคลิปตอนมีอะไรกัน
เล่าเรื่องร้ายๆต่างๆนาๆ เธอบอกว่าอยากกลับมาเหมือนเดิม ด้วยหัวใจที่ยังรักเธออยู่อย่างมากล้น ผมยินดีและไม่ปฏิเสธการกลับมาของเธอ
ผมต้อนรับเธออย่างอบอุ่น คอยเอาใจดูแลเหมือนไม่เคยมีไรเกิดขึ้น เธอบอกว่ายังไม่พร้อมจะมาใช้ชีวิตในบ้านเดียวกัน ผมก็ตกลงไปเช่าหอพัก
ใกล้มหาลัยให้เธออยู่ คอยตามรับตามส่ง ระหว่างนั้นผู้ชายที่เธอหนีตามไปอยู่ด้วยถึง4เดือน ก็ยังมาคอยตามรังควาญ ทั้งโทรมา ไปดักรอที่คณะ
ผมจึงไปเคลียร์กับผู้ชายคนนั้นและบอกให้เลิกยุ่งถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ นาทีนั้นผมเอาจริง เพราะในหาดใหญ่มันคืถื่นของผม พรรคพวกเพื่อนฝูง
มีมากมาย สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ยอมล่าถอยไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ผมคิดว่าจากนี้ทุกๆอย่างคงจะดีขึ้น ผมให้อภัยเธอได้สำหรับความผิดพลาด
ที่เธอได้พลาดพลั้งไป เรื่องราวเหมือนจะจบได้สวย แต่ไม่เป็นเช่นนั้น วิบากกรรมครั้งใหญ่กำลังรอผมอยู่ เธอได้ขอให้พ่อแม่ของเธอซื้อรถยนต์ให้
พอเธอมีรถขับ ผมก็หมดหน้าที่ตามรับตามส่ง เธอเริ่มจะทำตัวเหินห่างกับผมอีกครั้ง จากโทรหาทุกวันก็เริ่มไม่โทร เวลาผมโทรไปก็รีบตัดบท และพูดอะไรแปลกๆ เช่นว่า "เราคงจะกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้" หรือ "เธอเป็นผู้หญิงที่เสียแล้ว" ประมาณนั้น ผมพยายามตามง้อทั้งๆที่ไม่ได้ทำไรผิด
ผมไม่อยากเสียเธอไปอีกแล้ว แต่ไม่เป็นผล เราเริ่มกลับมาทะเลาะกัน ผมลองหยุดโทรหาเธอด้วยหวังว่าเธอคงจะสำนึกแล้วโทรมาขอโทษผมเอง แต่ไม่เลย 10 วันผ่านไปก็ไม่มีแม้แต่สักสายเดียวที่เธอจะโทรมา แล้วจุดจบก็มาถึง ในคืนหนึ่งประมาณตี1 ขณะที่ผมกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว อยู่ๆไม่รู้อะไร
มาดลใจว่า ทำไมเราไม่ไปหาเธอแล้วเคลียร์ซะให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ผมก็ลุกขึ้นแต่งตัวแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเธอที่หอพัก เมื่อไปถึงผมเคาะประตูเรียกอยู่นานกว่า 15 นาที ในห้องมีคนอยู่แต่ไม่มีใครมาเปิด ผมก็ชักกังวลใจเลยเริ่มเคาะประตูดังขึ้น ทั้งกดโทรศัพท์ไปด้วย และแล้วประตูก็เปิดออก
สิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็เกดขึ้น นั่นก็คือ มีผู้ชายคนหนึ่งมาเปิดประตู ผมตกใจและช๊อก หลังจากตั้งสติผมจึงรีบหุนหันเข้าไปในห้อง
สิ่งที่พบคือแฟนผมเธอนอนห่มผ้าอยู่บนเตียงลักษณะเปลือยกาย ผมเจ็บปวดอย่างสุดหัวใจ น้ำตาไหลออกมาเองทั้งที่ไม่ได้ร้อง ขาสั่นมือสั่นไปหมด
ผมกระชากคอผู้ชายคนนั้นมาถามว่า "เป็นใคร ทำไมมาอยู่กับเมียกู" สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นตอบคือ มันไม่รู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว อีกทั้งเพิ่งรู้จักกันในผับแห่งหนึ่ง ผมยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ผู้ชายคนนั้นบอกว่ามันเป็นทหารมาประจำการอยู่ในค่ายเสณาณรงค์ ผมทำไรไม่ถูกจึงเดินเข้าไปต่อว่าเธออย่างรุนแรง
แล้วรีบขีรถกลับไปที่บ้านตั้งใจจะไปเอาปืนลูกซองของพ่อที่เก็บไว้ พอกลับถึงบ้านผมเคร่งเครียดมาก ใจนึงอยากจะเอาปืนไปยิ่ง
พระอาทิตย์ส่องมาเข้าตาผม ผมจึงรู้สึกว่านี่คงเป็นวันใหม่สำหรับผมแล้ว เราหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ ณ นาทีนั้นผมตัดสินใจลบเธอออกไปจากชีวิต
เราคงมีกรรมร่วมกันทำให้ชาตินี้ต้องมาพบพานเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
นับจากวันนั้นผมก็ยังคงเจ็บปวดหัวใจอยู่ตลอดเวลา มันเสียใจ เสียดายเวลา เสียดายเรื่องราวมากมายที่ส้รางมาด้วยกัน ภาพเก่าๆที่เคยมีความสุข
ด้วยกันมันยังตามหลอกหลอนผมเสมอ ผมรู้มาว่าเธอก็มีความสุขดีตามประสาเธอ ผมแค่อยากรู้เพียงอย่างเดียวในชีวิต ว่าเธอเคยรักผมแบบจริงๆบ้างไหม
ทำไมทำร้ายผมได้เพียงนี้ ถ้าไม่คิดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำไมไม่ไปให้พ้นตั้งแต่ทีแรก กลับมาทำร้ายผมซ้ำสองอีกทำไม นึกถึงครั้งที่เธอเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ผมคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ เอาใจเธอสารพัด ผมรักเธอแม้นยามเจ็บป่วยหน้าตาดูไม่ได้ผมก็ยังรัก ตอนเธอเป็นปกติ ดูดี ผมก็รัก แต่ผมพบคำตอบในใจผมเองแล้วล่ะว่า "เธอไม่เคยรักผมจริงๆหรอก เพราะถ้าเธอรักผมบ้างสักนิด เธอจะไม่ทำแบบนี้กับผม"
**********************************************************************************************************
จริงๆเรื่องราวมันมีรายละเอียดมากกว่านี้เยอะ แต่ผมคิดว่าผู้อ่านที่เคยมีความรัก คงอนุมานเอาได้ ว่าหนุ่มสาวยามแรกรักมันสุขเพียงใดครับ