ผาสุก พงษ์ไพจิตร : ยาแรง กฎหมายเอาผิดกับข้าราชการร่ำรวยผิดปกติ ....มติชนออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi

กระทู้สนทนา
การจับกุมผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหรือ ผบช.ก.กับเครือข่ายที่ทำความผิดหลายกระทง
เป็นข่าวที่น่าตกใจสำหรับประชาชนคนธรรมดาๆ มาก เพราะ บชก.มีอำนาจครอบคลุมทั่วประเทศ
สามารถให้คุณให้โทษกับผู้คนหลายฝ่ายแต่ผู้บังคับใช้กฎหมายมากลายเป็น "ผู้ร้าย" เสียเอง
และยังเกิดในยุคปัจจุบันซึ่งหลายประเทศที่เคยมีปัญหาได้มีการปฏิรูปกันไปแล้ว

ที่สำคัญคือ ผบช.ก.และพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดทั้งหลายมาเป็นเวลาหลายปี (อย่างน้อยก็ 4 ปี
กว่า) อีกทั้งผู้ร่วมขบวนการยังมีรอง ผบช.ก.และนายตำรวจจำนวนมาก พฤติกรรมความผิดนั้นมีทั้งการ
เรียกรับสินบนจากบ่อนเถื่อน การค้าของเถื่อน การซื้อขายตำแหน่ง การรุกล้ำทำลายผืนป่า ลำน้ำ การ
กรรโชกทรัพย์รูปแบบต่างๆ ฯลฯ

เครือข่ายได้สะสมเงินทอง และสินทรัพย์หลายอย่างเป็นมูลค่ามหาศาล คาดว่าเป็นหมื่นล้านบาท ผบช.ก.
เองมีบ้าน 11 หลัง

การคอร์รัปชั่นหรือการทุจริตประพฤติมิชอบดังกล่าวเป็นที่มาของความร่ำรวยผิดปกติที่ชัดเจน

ผู้ร่วมขบวนการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายมีเครือข่ายการ "ส่งส่วย" กันเป็นทอดๆ หรือที่ภาษาอังกฤษ
เรียกว่า syndicated corruption

ความน่าตระหนกตกใจอีกประการก็คือ หลังจากกรณีนี้เกิดขึ้น ยังมีผู้สันทัดกรณีออกมาบอกว่า ยังมีเครือ
ข่ายแบบนี้อีก โดยมีนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาเกี่ยวข้องด้วย

การที่เครือข่ายคอร์รัปชั่นดังกล่าวดำเนินไปได้เป็นเวลานานแสดงให้เห็นว่ากลไกป้องปราบคอร์รัปชั่น
ในระบบราชการที่เป็นอยู่ ยังใช้ไม่ได้ผลกับข้าราชการระดับชั้นผู้น้อยถึงกลางสูง ที่ทำการคอร์รัปชั่นกัน
เป็นเครือข่ายแบบ "ส่งส่วย" ให้ประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เป็นการสมยอมร่วมกันคอร์รัปชั่น
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่โตเกินกว่าที่กลไกป้องปรามคอร์รัปชั่นปกติที่มีอยู่จะเอื้อมถึงได้ และทรัพย์สินที่
สะสมมาก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าโยงกับการทุจริตเรื่องใด

สังคมไทยควรจะจัดการอย่างไรกับปัญหานี้?

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรานี้ก็ได้เกิดขึ้นในสังคมอื่นมาแล้ว เพราะว่าอำนาจที่มอบให้กับผู้บังคับใช้กฎหมาย
นั้นเป็นอำนาจที่จะถูกนำไปใช้แบบผิดๆ ได้ง่ายที่สุดนั่นเอง

ฮ่องกงเคยมีปัญหาผู้บัญชาการตำรวจใช้อำนาจให้ลูกน้องส่งส่วย สร้างความร่ำรวยให้กลุ่มตนเองอย่าง
มหาศาล จนฝ่ายประชาชนที่ถูกเก็บส่วยลุกฮือขึ้นมาต่อต้านบนท้องถนน

แต่ฮ่องกงก็ได้จัดการกับปัญหานี้ได้สำเร็จจนในขณะนี้สามารถโอ้อวดว่าตำรวจฮ่องกงมีประสิทธิภาพ
ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ฮ่องกงทำอย่างไร

ฮ่องกงมีกฎหมายป้องกันการรับสินบน โดยมีข้อกำหนดว่าบุคคลที่เป็นข้าราชการหรือเคยเป็นข้าราชการ
ของฮ่องกง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ โดยที่หากมีพฤติกรรมการดำรงชีวิตความ
เป็นอยู่ที่หรูหราเกินกว่าระดับมาตรฐานที่เป็นไปได้จากระดับเงินเดือนปัจจุบันหรือเงินบำนาญหรือเงินออม
ที่สะสมมาในอดีตหรือมีสินทรัพย์ที่ไม่สามารถอธิบายที่มาได้ จะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติมีโทษจำคุก 10 ปี
และจะถูกทางการยึดทรัพย์เหล่านั้นให้ตกเป็นของแผ่นดินได้

ข้อกฎหมายนี้ครอบคลุมญาติและผู้ใกล้ชิดที่เป็นนอมินีถือทรัพย์สินแทนข้าราชการดังกล่าวด้วยนั่นคือ
ทรัพย์สินที่นอมินีถือแทนก็จะถูกยึดได้เช่นกัน

กฎหมายนี้ให้อำนาจหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชั่นเรียกข้าราชการที่มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติให้มาอธิบาย
แหล่งที่มาของรายได้และทรัพย์สินได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจงทรัพย์สินและหนี้สินก่อนและหลังรับ
ตำแหน่งดังกรณีของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงในกฎหมายป.ป.ช.ของไทย

กฎหมายข้าราชการร่ำรวยผิดปกตินี้ กำหนดให้เป็นภาระของข้าราชการที่จะต้องอธิบาย แสดงหลักฐานที่มา
ของทรัพย์สินเหมือนกรณีนักการเมือง ข้าราชการระดับสูงร่ำรวยผิดปกติของไทย ที่ต่างคือ

ที่ฮ่องกงกฎหมายนี้ กำกับข้าราชการทุกระดับ และมีโทษจำคุกถึง 10 ปีด้วย

กฎหมายนี้มักถูกวิจารณ์ว่าเป็น "ยาแรง" เกินไป แต่สำหรับฮ่องกงแล้วเป็นกฎหมายที่ใช้ได้ผลมากในการ
ป้องปรามการรับสินบน และมีประสิทธิภาพมากที่จะลงโทษข้าราชการที่สะสมทรัพย์สมบัติมาเป็นเวลานาน
จากการรับสินบน แต่ทางการไม่อาจหาหลักฐานที่จะโยงทรัพย์สมบัติดังกล่าวกับกรณีคอร์รัปชั่นได้ เพราะ
การทุจริตแบบนี้ไม่มีทางมีใบเสร็จให้จับได้นั่นเอง

ผู้สันทัดกรณีที่ศึกษาปัญหาคอร์รัปชั่นที่ฮ่องกงท่านหนึ่งบอกกับผู้เขียนว่า นี่เป็นมาตรการสำคัญที่สุดที่
ทำให้ฮ่องกง

เป็นมาตรการป้องกันปัญหา "ส่วย" ตำรวจและข้าราชการคอร์รัปชั่นได้ เพราะเป็น "ยาแรง" ที่ได้ผลมาก

อาจจะถึงเวลาที่ประเทศไทย ต้องใช้ "ยาแรง" แบบฮ่องกง กับข้าราชการทุกระดับแล้วกระมัง?


(วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 37 ฉบับที่ 13424 มติชนรายวัน)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418371947

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่