ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ในความมืดนั้นดำสนิทกว่าความมืดมิดใดๆ ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดสัมผัสประสาท มืดเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ถึง ความรู้สึกหยุดนิ่งล่องลอยไม่มีอดีตไม่มีปัจจุบันไม่มีอนาคต ไม่มีการรับรู้ ไม่มีเวลาว่านานชั่วกัปชั่วกัลป์หรือสั้นเพียงเสี้ยว สภาวะของฌานขั้นสูง บางสภาวะก็เห็นกายหยาบของตนนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่ บางสภาวะก็ล่องลอยไปยังที่ๆห่างแสนไกลสู่ภพภูมิอื่นสุดแต่จิตที่ตั้งมั่นไว้ก่อน
สิ่งหนึ่งไม่มีเสียงไม่มีรูป สัมผัสที่จิตละเอียด เสียงร้อง ความเจ็บปวด ความรักความแค้นเคือง การชดใช้และการยุตินั่นคือสัญญาณ จิตรับรู้กำหนดจดจำได้แล้วค่อยๆถอยออกอย่างช้าๆ
ไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นปล่อยให้จิตรับรู้ประสาททุกส่วนของร่างกายให้สมบูรณ์ก่อน ชายวัยห้าสิบเก้าปีใบหน้าเข้มแววตามีอำนาจ สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวนั่งท่าขัดสมาธิวางมือขวาทับซ้ายไว้บนตักในห้องพระของบ้าน ซึ่งตกแต่งจัดวางอย่างมีระเบียบ
พระพุทธรูปหน้าตักเก้านิ้วประดิษฐานเป็นองค์ประธานบนโต๊ะหมู่สิบสอง ลดหลั่นลงมาคือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์พระแม่ทรงธรรมและพระอริยบุคคลหลายองค์ ด้านข้างของห้องพระมีแท่นบูชาเทวะรูปของมหาเทพฯมหาเทวีฯหลายพระองค์ ทั้งยังมีรูปสลักบูชาขององค์ท้าวเวสสุวัณ แม่พระธรณี แม่พระคงคาและองค์พญายมราชวางเรียงอยู่ อีกด้านหนึ่งมีพระบรมรูปบูรพมหากษัตริย์หลายพระองค์จัดวางเรียงกันบนแท่นบูชา
ไกรศักดิ์ซึ่งเพิ่งถอยออกจากวิปัสสนากรรมฐาน เขาหยิบชุดกรวดน้ำที่เตรียมไว้ตรงหน้ามาตั้งจิตกรวดน้ำ จากนั้นก็กราบลาพระรัตนตรัยแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องพระลงบันไดมาชั้นล่างของบ้าน ไกรศักดิ์เป็นคนสมถะไม่มีครอบครัวบ้านของเขาเป็นบ้านไม้สองชั้นปลูกอยู่กลางสวนแถวชานเมืองอันเป็นสมบัติที่พ่อแม่ของเขาเหลือไว้ให้ ในบ้านมีเพียงแม่บ้านและทหารรับใช้อยู่แค่สองคน
อดีตในวัยหนุ่มเขาไม่เคยมีเวลาให้กับการสร้างครอบครัวเพราะต้องรอนแรมกรำศึกอยู่ในสมรภูมิป่าเขา สภาวะดังกล่าวบีบให้เขาไม่มีเวลาคิดอะไรนอกจากสงคราม ภารกิจและเรียนรู้เรื่องเวทย์มนต์จากพรานผาไปด้วยเพื่อการดำรงชีพและต่อสู้กับอาถรรพ์ของป่า หลังสงครามเขานั่งทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆหลายสิ่งที่ผ่านมา หลายชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์ป่าที่ต้องปลดปลงลงด้วยน้ำมือของเขา ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่รู้และไม่รู้ เขาจึงหันเข้าหาพระธรรมและมุ่งมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมุ่งหวังตั้งใจจะส่งบุญกุศลไปให้พวกเขาเหล่านั้นและสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง เขาตั้งความหวังกับตัวเองว่า “เผื่อสวรรค์จะให้อภัย”
ไกรศักดิ์เดินผ่านห้องรับแขกเหลือบเห็นมีแขกสองคนมารออยู่ เขาเดินเลยไปเพื่อจะหยาดน้ำในมือลงที่โคนต้นไม้ให้เสร็จก่อน เมื่อหยาดน้ำเสร็จแล้วก็ส่งขันกรวดน้ำให้ทหารรับใช้แล้วจึงเดินกลับเข้ามาในห้อง
“มานานแล้วรึ” ไกรศักดิ์เอ่ยถามทักทาย
“สวัสดีครับคุณลุง” สองหนุ่มโจและพีลุกขึ้นไหว้พร้อมกัน
“สักชั่วโมงกว่าครับ ป้าอิ่มบอกว่าคุณลุงนั่งกรรมฐานพวกผมก็เลยไปนั่งรอในครัวน่ะครับ” พีพูดยิ้มแฮะๆ
“มีอะไรกินกันล่ะ” ลุงไกรถามอย่างใจดี
“โหเยอะแยะครับ ซัดซะพุงกางเลย” พีตอบ
“เป็นยังไงบ้างเที่ยวนี้ เรียบร้อยดีนะ แล้วซองนั่น” ลุงไกรถามไม่จบคำ
“ถึงมือเรียบร้อยครับ” โจชิงตอบบ้าง
“อืม ขอบใจ ทุกคนเค้าสบายดีกันอยู่รึเปล่า” ลุงไกรถามถึงชาวบ้าน
“สบายดีครับ ปู่ผาฝากมาขอบคุณคุณลุงด้วยครับ” โจตอบ
“พี่ผาแกดูเป็นยังไงบ้าง” ลุงไกรถาม
“ก็ดูเนือยๆนะครับ แต่รวมๆแล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร” พีตอบบ้าง
“คุยอะไรกันบ้าง” ลุงไกรถาม
“ก็ทั่วๆไปครับเออ แต่เห็นปู่ผาพูดเรื่องจะต้องพาสร้อยไปไหนสักที่ก็ไม่รู้” โจตอบลุงไกร
ไกรศักดิ์เหลือบมองหน้าโจถาม “ไม่ได้บอกให้เราฟังเหรอ”
“ไม่ได้บอกครับ” “แค่บอกว่าจะไม่อยู่ที่หมู่บ้านสักเดือนกว่า” โจบอกลุง
“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อรึเปล่า” ลุงไกรหันไปถามพี
“เปล่าครับคุณลุง ยังไม่มีแผน” พีตอบ
“เออแล้วเชียรกับแสงดาวล่ะ สบายดีมั้ยไม่ได้เจอนานแล้ว” ไกรศักดิ์หันไปถามพี
“พ่อกับแม่สบายดีครับ อาทิตย์หน้าผมกับโจก็ว่าจะขึ้นไปหาอยู่” พีตอบลุง
“ดีแล้วไปหาพ่อแม่บ้าง เค้าจะได้ไม่ห่วงนะ” ไกรศักดิ์พูดมองหน้าทั้งสองคน
“แต่ยังไม่แน่ครับ เห็นพ่อบอกว่าอาจจะลงมากรุงเทพฯ มีธุระเรื่องไม้แล้วก็คงจะไปนอนค้างกับคุณลุงสุรเกียรติสักสองสามวัน” พีบอกไกรศักดิ์
“ดี มาเมื่อไหร่บอกลุงด้วย ลุงจะไปนอนค้างด้วยอยากเจอกันครบๆ” ไกรศักดิ์พูดอย่างดีใจ “เราสองคนด้วยนะ”
“ครับคุณลุง ผมสองคนไปร่วมวงด้วยแน่ครับ” พีตอบรับ
“คุณลุงครับ” โจเรียกเหมือนมีอะไรจะคุย “นั่งกรรมฐานแล้ว เอ่อ ยังไงครับ” โจถามอึกอักไม่เข้าใจ
“ถามทำไม” ไกรศักดิ์หันไปมองหน้าหลานชาย
“ทำยากมั้ยครับ แล้วนั่งแล้วดีมั้ยครับ” โจถาม
“ยากง่ายมันอยู่ที่ศรัทธากับมานะ แล้วก็ขึ้นอยู่กับบุญเก่าที่สร้างมาด้วย” ไกรศักดิ์บอกหลาน
“แล้วดียังไงครับ” โจย้ำคำถามเดิม พีก็เริ่มสนใจฟังด้วย
“เบื้องต้นฝึกใหม่ๆทำสมถะกรรมฐานสักสิบห้านาทีก็จะรู้สึกสมองโปร่งขึ้น แค่สิบห้านาที” ไกรศักดิ์พูดย้ำ
“ทำยังไงครับ” โจถามตั้งใจฟังคำตอบ
“ทำได้ทุกที่นะ นั่งก็ได้นอนก็ได้ หลับตาแล้วตั้งสมาธิเฝ้าดูลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าลมสัมผัสตรงไหนที่จมูกก็ภาวนา พุทธ พอหายใจออกสัมผัสตรงไหนก็ภาวนาว่า โธ กลิ่นเสียงอะไรที่สัมผัสขณะนั้นก็ตัดนิวรณ์ออกไปคือรับรู้แต่ไม่ชอบไม่ชัง ถ้าจิตมันเขวไปคิดอย่างอื่นก็ดึงมันกลับมาที่ลมหายใจใหม่ ลองไปทำดู” ไกรศักดิ์สอนหลานยืดยาว
“ถ้าบุญเก่ามี ลุงก็คงไม่ต้องตอบว่าดียังไง” ไกรศักดิ์วางอุบายบุญเก่าให้หลานเกิดมีมานะ
“ผมก็อยากลองฝึกด้วยครับคุณลุง” พีพูด
“เออ ไปช่วยกัน เพื่อนกันก็ต้องพากันไปดี สงสัยอะไรก็โทรมาถาม” ไกรศักดิ์บอกหลานทั้งสองคน
ป้าอิ่มแม่บ้านยกสำรับชาและขนมปุยฝ้ายเข้ามาวางบนโต๊ะรับแขกแล้วจัดให้ทั้งสามคนลุงหลาน กลิ่นขนมปุยฝ้ายหอมฟุ้งกับน้ำชายามบ่ายเช่นนี้เพิ่มอรรถรสในการสนทนายิ่งขึ้น
“ขอบคุณนะคุณอิ่ม” ไกรศักดิ์ยิ้มพูดกับป้าอิ่มแม่บ้าน
“เจ้าค่ะ” ป้าอิ่มยิ้มตอบรับ
สองหนุ่มเหลือบมองตากันรู้สึกทึ่งกับวาจาและบุคลิกภาพของลุงของเขา ในความเข้มแข็งนั้นแฝงความสุภาพอ่อนโยนน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่มีทีท่าของบุรุษที่ผ่านการฆ่าอย่างโชกโชนมาก่อนหลงเหลืออยู่
“คุณลุงได้ฌานขั้นไหนครับ” โจวางถ้วยชาแล้วถามต่อ
“ตอบไม่ได้” ไกรศักดิ์บอก
“มันอวดอุตริ ทำไมถึงสนใจเรื่องนี้ล่ะ” ไกรศักดิ์วางถ้วยชาถามโจ
“เอ่อ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” โจตอบ
“เหมือนอยากมี อำนาจ วาสนา บารมีอะไรทำนองนั้นน่ะครับ” โจตอบลังเลในความคิดตัวเอง
ไกรศักดิ์ยิ้มกอดอกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ถาม
“อืม น่าสนใจ แล้วจะเอาไปทำอะไรล่ะ ไอ้ที่ว่าน่ะ”
“ก็ใครๆอยากมีอย่างนั้นนี่ครับ” พีขยับเข้าร่วมวงตอบ
“ขอแสดงความเสียใจนะ วิปัสสนากรรมฐานไม่ได้มีไว้เพื่อสิ่งนั้น” ไกรศักดิ์พูด
“บารมีในโลกทิพย์น่ะใช่ วาสนาสั่งสมมาจากบุญเก่า ส่วนอำนาจ..นั่นอันตรายเหลือเกิน”
“ลุงไม่สามารถตอบได้หมดหรอกนะ ลองไปทำดูแล้วจะพบคำตอบด้วยตัวเอง” ไกรศักดิ์บอกหลานชายทั้งสอง
“ครับคุณลุง” โจและพีตอบรับพร้อมกัน
“คุณลุงเล่าเรื่องปู่ผาให้พวกผมฟังบ้างได้มั้ยครับ” โจถามลุงไกร
“พวกเราก็รู้จักดีอยู่แล้วนี่” ไกรศักดิ์ตอบ “มีอะไรที่อยากรู้อีกล่ะ”
“บางครั้งผมก็อยากทราบว่าทำไมคุณลุงถึงต้องเป็นห่วงเป็นใยมากนักน่ะครับ”
“ที่ถามนี่ไม่ใช่พวกผมไม่รักแกนะครับ แค่คิดว่าอาจมีเรื่องราวในอดีตที่…” โจถามค้างไว้แค่นั้นไม่กล้าพูดต่อ
“พี่ผาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ สำหรับลุงนะ หอบหิ้วช่วยชีวิตกันมา เล่าสามวันสามคืนไม่จบหรอก” ไกรศักดิ์พูด
“แล้วข้าวของที่ขนไปช่วยค่าน้ำมันค่าแรงที่คุณลุงให้ผมสองคนนี่เป็นของทางการหรือของคุณลุงครับ” โจถาม
“จะถามว่าลุงฉ้อราษฎร์บังหลวงรึเปล่าอย่างนั้นซิ” ไกรศักดิ์ถามยิ้มๆ
“โอ๊ะ เปล่าครับคุณลุง ผมขอโทษครับ” โจรีบตอบแล้วยกมือไหว้พีเองก็รีบไหว้ตามด้วย
“ของส่วนตัว ลุงควักเองทุกบาททุกสตางค์” ไกรศักดิ์พูด
“แค่อยากให้พี่ผากับคนเหล่านั้นไม่ขัดสนลำบากนัก ส่วนเรื่องความปลอดภัยของเราสองคนลุงแน่ใจว่าลุงยังดูแลได้ แต่ถ้ามีภาวะเสี่ยงลุงก็จะไม่ให้พวกเราไปเด็ดขาด” เขาบอก
“ที่ผมเรียนถามคุณลุงก็แค่อยากทราบว่าจะช่วยอะไรได้อีกบ้างน่ะครับ” โจอธิบาย
“ถ้างั้นต่อไปพวกผมขอไม่รับค่าแรงนะครับ” พีพูดเสริมเพื่อแสดงน้ำใจ โจพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วเราจะเอาอะไรกินกันล่ะ ขอบใจทั้งสองคนนะ ธุรกิจมันก็ต้องเดินไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วงลุงยังมีทรัพย์สินเงินทองอีกเยอะลำพังตัวเองจะกินเข้าไปสักกี่บาทกี่คำ” ไกรศักดิ์บอกหลาน
“พวกผมได้ยินแต่คุณลุงพูดถึงปู่ผา คุณลุงรู้จักคนอื่นๆอีกบ้างหรือเปล่าครับ” โจถาม
ไกรศักดิ์มองหน้าโจแล้วพูด “เช่นใครอีกล่ะ มันนานแล้วบางทีลุงก็ลืม”
“คุณลุงรู้จักพี่โละ คือเอ่อพรานโละน่ะครับ” โจถามต่อ
“ก็รู้จักนะ สมัยนั้นโละมันยังเพิ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสักยี่สิบละมั้งคอยเดินตามพี่ผาอยู่” ไกรศักดิ์เล่า
“ทำไมล่ะ” ไกรศักดิ์ถามต่อ
“ไม่มีอะไรครับ แกมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อโส่ยแต่พวกผมเรียกเธอว่าสร้อย คุณลุงไม่รู้จักหรอกครับเธออายุสิบเก้าเองน่าจะเพิ่งครบยี่สิบไปเมื่อไม่กี่วันนี้กระมังครับ” โจพูด
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าครบยี่สิบมาไม่กี่วัน” ไกรศักดิ์ถาม
“ก็ที่ปู่ผาบอกอายุครบยี่สิบแล้วต้องไปทำอะไรนั่นล่ะครับ” โจตอบลุงไกรศักดิ์ซึ่งนั่งนิ่งตั้งใจฟังอยู่
แล้วเสียงหนึ่งก็แผดกึกก้องกัมปนาทเหมือนระเบิดดังขึ้นในสัมผัสของไกรศักดิ์ เขาสะดุ้งสุดตัวหงายหน้าไปบนพนักเก้าอี้ ตาเบิกโพลงร่างกายเกร็งแข็งทื่อ โจและพีที่นั่งสนทนาอยู่ด้วยต่างตกใจที่จู่ๆลุงของพวกเขามีอาการเช่นนั้นเพราะทั้งสองไม่ได้ยินเสียงนั้นด้วย
“ป้าอิ่มป้าอิ่มคุณลุงเป็นอะไร” โจตะโกนเรียกแม่บ้านส่วนพีรีบเข้าไปประคองลุงไกรไว้
“ท่านคะท่านคะเป็นอะไรคะท่าน” ป้าอิ่มวิ่งเข้ามาในห้อง เธอตกใจเมื่อเห็นสภาพของเจ้านายเป็นเช่นนั้นเธอรีบเข้าประคองเจ้านายแล้วร้องเรียกทหารรับใช้
“ทหาร ทหาร เอารถออกเร็ว” ป้าอิ่มสั่งเมื่อทหารรับใช้เข้ามา
“คุณลุงท่านมีโรคประจำตัวอย่างเช่นโรคหัวใจรึเปล่าป้าอิ่ม” โจถามระร่ำระลัก
“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านไม่เคยเป็นอะไร” ป้าอิ่มร้องไห้ตอบปากคอสั่น
“รถพร้อมแล้วครับ” ทหารรับใช้วิ่งเข้ามาบอก
“ไอ้โจกับกูอุ้มเลยสองคน” พีบอกเพื่อน
พีกับโจสอดแขนเข้าด้วยกันใต้ลำตัวแทนเปลเตรียมจะอุ้มลุงของพวกเขาขึ้น แต่ลุงไกรที่อยู่ในสภาพแข็งทื่อก็ตัวอ่อนลงลืมตาขึ้นช้าๆแล้วพูดเบาๆ
ธารทิพย์ บทที่ 5
ในความมืดนั้นดำสนิทกว่าความมืดมิดใดๆ ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดสัมผัสประสาท มืดเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ถึง ความรู้สึกหยุดนิ่งล่องลอยไม่มีอดีตไม่มีปัจจุบันไม่มีอนาคต ไม่มีการรับรู้ ไม่มีเวลาว่านานชั่วกัปชั่วกัลป์หรือสั้นเพียงเสี้ยว สภาวะของฌานขั้นสูง บางสภาวะก็เห็นกายหยาบของตนนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่ บางสภาวะก็ล่องลอยไปยังที่ๆห่างแสนไกลสู่ภพภูมิอื่นสุดแต่จิตที่ตั้งมั่นไว้ก่อน
สิ่งหนึ่งไม่มีเสียงไม่มีรูป สัมผัสที่จิตละเอียด เสียงร้อง ความเจ็บปวด ความรักความแค้นเคือง การชดใช้และการยุตินั่นคือสัญญาณ จิตรับรู้กำหนดจดจำได้แล้วค่อยๆถอยออกอย่างช้าๆ
ไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นปล่อยให้จิตรับรู้ประสาททุกส่วนของร่างกายให้สมบูรณ์ก่อน ชายวัยห้าสิบเก้าปีใบหน้าเข้มแววตามีอำนาจ สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวนั่งท่าขัดสมาธิวางมือขวาทับซ้ายไว้บนตักในห้องพระของบ้าน ซึ่งตกแต่งจัดวางอย่างมีระเบียบ
พระพุทธรูปหน้าตักเก้านิ้วประดิษฐานเป็นองค์ประธานบนโต๊ะหมู่สิบสอง ลดหลั่นลงมาคือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์พระแม่ทรงธรรมและพระอริยบุคคลหลายองค์ ด้านข้างของห้องพระมีแท่นบูชาเทวะรูปของมหาเทพฯมหาเทวีฯหลายพระองค์ ทั้งยังมีรูปสลักบูชาขององค์ท้าวเวสสุวัณ แม่พระธรณี แม่พระคงคาและองค์พญายมราชวางเรียงอยู่ อีกด้านหนึ่งมีพระบรมรูปบูรพมหากษัตริย์หลายพระองค์จัดวางเรียงกันบนแท่นบูชา
ไกรศักดิ์ซึ่งเพิ่งถอยออกจากวิปัสสนากรรมฐาน เขาหยิบชุดกรวดน้ำที่เตรียมไว้ตรงหน้ามาตั้งจิตกรวดน้ำ จากนั้นก็กราบลาพระรัตนตรัยแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องพระลงบันไดมาชั้นล่างของบ้าน ไกรศักดิ์เป็นคนสมถะไม่มีครอบครัวบ้านของเขาเป็นบ้านไม้สองชั้นปลูกอยู่กลางสวนแถวชานเมืองอันเป็นสมบัติที่พ่อแม่ของเขาเหลือไว้ให้ ในบ้านมีเพียงแม่บ้านและทหารรับใช้อยู่แค่สองคน
อดีตในวัยหนุ่มเขาไม่เคยมีเวลาให้กับการสร้างครอบครัวเพราะต้องรอนแรมกรำศึกอยู่ในสมรภูมิป่าเขา สภาวะดังกล่าวบีบให้เขาไม่มีเวลาคิดอะไรนอกจากสงคราม ภารกิจและเรียนรู้เรื่องเวทย์มนต์จากพรานผาไปด้วยเพื่อการดำรงชีพและต่อสู้กับอาถรรพ์ของป่า หลังสงครามเขานั่งทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆหลายสิ่งที่ผ่านมา หลายชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์ป่าที่ต้องปลดปลงลงด้วยน้ำมือของเขา ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่รู้และไม่รู้ เขาจึงหันเข้าหาพระธรรมและมุ่งมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมุ่งหวังตั้งใจจะส่งบุญกุศลไปให้พวกเขาเหล่านั้นและสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง เขาตั้งความหวังกับตัวเองว่า “เผื่อสวรรค์จะให้อภัย”
ไกรศักดิ์เดินผ่านห้องรับแขกเหลือบเห็นมีแขกสองคนมารออยู่ เขาเดินเลยไปเพื่อจะหยาดน้ำในมือลงที่โคนต้นไม้ให้เสร็จก่อน เมื่อหยาดน้ำเสร็จแล้วก็ส่งขันกรวดน้ำให้ทหารรับใช้แล้วจึงเดินกลับเข้ามาในห้อง
“มานานแล้วรึ” ไกรศักดิ์เอ่ยถามทักทาย
“สวัสดีครับคุณลุง” สองหนุ่มโจและพีลุกขึ้นไหว้พร้อมกัน
“สักชั่วโมงกว่าครับ ป้าอิ่มบอกว่าคุณลุงนั่งกรรมฐานพวกผมก็เลยไปนั่งรอในครัวน่ะครับ” พีพูดยิ้มแฮะๆ
“มีอะไรกินกันล่ะ” ลุงไกรถามอย่างใจดี
“โหเยอะแยะครับ ซัดซะพุงกางเลย” พีตอบ
“เป็นยังไงบ้างเที่ยวนี้ เรียบร้อยดีนะ แล้วซองนั่น” ลุงไกรถามไม่จบคำ
“ถึงมือเรียบร้อยครับ” โจชิงตอบบ้าง
“อืม ขอบใจ ทุกคนเค้าสบายดีกันอยู่รึเปล่า” ลุงไกรถามถึงชาวบ้าน
“สบายดีครับ ปู่ผาฝากมาขอบคุณคุณลุงด้วยครับ” โจตอบ
“พี่ผาแกดูเป็นยังไงบ้าง” ลุงไกรถาม
“ก็ดูเนือยๆนะครับ แต่รวมๆแล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร” พีตอบบ้าง
“คุยอะไรกันบ้าง” ลุงไกรถาม
“ก็ทั่วๆไปครับเออ แต่เห็นปู่ผาพูดเรื่องจะต้องพาสร้อยไปไหนสักที่ก็ไม่รู้” โจตอบลุงไกร
ไกรศักดิ์เหลือบมองหน้าโจถาม “ไม่ได้บอกให้เราฟังเหรอ”
“ไม่ได้บอกครับ” “แค่บอกว่าจะไม่อยู่ที่หมู่บ้านสักเดือนกว่า” โจบอกลุง
“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อรึเปล่า” ลุงไกรหันไปถามพี
“เปล่าครับคุณลุง ยังไม่มีแผน” พีตอบ
“เออแล้วเชียรกับแสงดาวล่ะ สบายดีมั้ยไม่ได้เจอนานแล้ว” ไกรศักดิ์หันไปถามพี
“พ่อกับแม่สบายดีครับ อาทิตย์หน้าผมกับโจก็ว่าจะขึ้นไปหาอยู่” พีตอบลุง
“ดีแล้วไปหาพ่อแม่บ้าง เค้าจะได้ไม่ห่วงนะ” ไกรศักดิ์พูดมองหน้าทั้งสองคน
“แต่ยังไม่แน่ครับ เห็นพ่อบอกว่าอาจจะลงมากรุงเทพฯ มีธุระเรื่องไม้แล้วก็คงจะไปนอนค้างกับคุณลุงสุรเกียรติสักสองสามวัน” พีบอกไกรศักดิ์
“ดี มาเมื่อไหร่บอกลุงด้วย ลุงจะไปนอนค้างด้วยอยากเจอกันครบๆ” ไกรศักดิ์พูดอย่างดีใจ “เราสองคนด้วยนะ”
“ครับคุณลุง ผมสองคนไปร่วมวงด้วยแน่ครับ” พีตอบรับ
“คุณลุงครับ” โจเรียกเหมือนมีอะไรจะคุย “นั่งกรรมฐานแล้ว เอ่อ ยังไงครับ” โจถามอึกอักไม่เข้าใจ
“ถามทำไม” ไกรศักดิ์หันไปมองหน้าหลานชาย
“ทำยากมั้ยครับ แล้วนั่งแล้วดีมั้ยครับ” โจถาม
“ยากง่ายมันอยู่ที่ศรัทธากับมานะ แล้วก็ขึ้นอยู่กับบุญเก่าที่สร้างมาด้วย” ไกรศักดิ์บอกหลาน
“แล้วดียังไงครับ” โจย้ำคำถามเดิม พีก็เริ่มสนใจฟังด้วย
“เบื้องต้นฝึกใหม่ๆทำสมถะกรรมฐานสักสิบห้านาทีก็จะรู้สึกสมองโปร่งขึ้น แค่สิบห้านาที” ไกรศักดิ์พูดย้ำ
“ทำยังไงครับ” โจถามตั้งใจฟังคำตอบ
“ทำได้ทุกที่นะ นั่งก็ได้นอนก็ได้ หลับตาแล้วตั้งสมาธิเฝ้าดูลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าลมสัมผัสตรงไหนที่จมูกก็ภาวนา พุทธ พอหายใจออกสัมผัสตรงไหนก็ภาวนาว่า โธ กลิ่นเสียงอะไรที่สัมผัสขณะนั้นก็ตัดนิวรณ์ออกไปคือรับรู้แต่ไม่ชอบไม่ชัง ถ้าจิตมันเขวไปคิดอย่างอื่นก็ดึงมันกลับมาที่ลมหายใจใหม่ ลองไปทำดู” ไกรศักดิ์สอนหลานยืดยาว
“ถ้าบุญเก่ามี ลุงก็คงไม่ต้องตอบว่าดียังไง” ไกรศักดิ์วางอุบายบุญเก่าให้หลานเกิดมีมานะ
“ผมก็อยากลองฝึกด้วยครับคุณลุง” พีพูด
“เออ ไปช่วยกัน เพื่อนกันก็ต้องพากันไปดี สงสัยอะไรก็โทรมาถาม” ไกรศักดิ์บอกหลานทั้งสองคน
ป้าอิ่มแม่บ้านยกสำรับชาและขนมปุยฝ้ายเข้ามาวางบนโต๊ะรับแขกแล้วจัดให้ทั้งสามคนลุงหลาน กลิ่นขนมปุยฝ้ายหอมฟุ้งกับน้ำชายามบ่ายเช่นนี้เพิ่มอรรถรสในการสนทนายิ่งขึ้น
“ขอบคุณนะคุณอิ่ม” ไกรศักดิ์ยิ้มพูดกับป้าอิ่มแม่บ้าน
“เจ้าค่ะ” ป้าอิ่มยิ้มตอบรับ
สองหนุ่มเหลือบมองตากันรู้สึกทึ่งกับวาจาและบุคลิกภาพของลุงของเขา ในความเข้มแข็งนั้นแฝงความสุภาพอ่อนโยนน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่มีทีท่าของบุรุษที่ผ่านการฆ่าอย่างโชกโชนมาก่อนหลงเหลืออยู่
“คุณลุงได้ฌานขั้นไหนครับ” โจวางถ้วยชาแล้วถามต่อ
“ตอบไม่ได้” ไกรศักดิ์บอก
“มันอวดอุตริ ทำไมถึงสนใจเรื่องนี้ล่ะ” ไกรศักดิ์วางถ้วยชาถามโจ
“เอ่อ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” โจตอบ
“เหมือนอยากมี อำนาจ วาสนา บารมีอะไรทำนองนั้นน่ะครับ” โจตอบลังเลในความคิดตัวเอง
ไกรศักดิ์ยิ้มกอดอกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ถาม
“อืม น่าสนใจ แล้วจะเอาไปทำอะไรล่ะ ไอ้ที่ว่าน่ะ”
“ก็ใครๆอยากมีอย่างนั้นนี่ครับ” พีขยับเข้าร่วมวงตอบ
“ขอแสดงความเสียใจนะ วิปัสสนากรรมฐานไม่ได้มีไว้เพื่อสิ่งนั้น” ไกรศักดิ์พูด
“บารมีในโลกทิพย์น่ะใช่ วาสนาสั่งสมมาจากบุญเก่า ส่วนอำนาจ..นั่นอันตรายเหลือเกิน”
“ลุงไม่สามารถตอบได้หมดหรอกนะ ลองไปทำดูแล้วจะพบคำตอบด้วยตัวเอง” ไกรศักดิ์บอกหลานชายทั้งสอง
“ครับคุณลุง” โจและพีตอบรับพร้อมกัน
“คุณลุงเล่าเรื่องปู่ผาให้พวกผมฟังบ้างได้มั้ยครับ” โจถามลุงไกร
“พวกเราก็รู้จักดีอยู่แล้วนี่” ไกรศักดิ์ตอบ “มีอะไรที่อยากรู้อีกล่ะ”
“บางครั้งผมก็อยากทราบว่าทำไมคุณลุงถึงต้องเป็นห่วงเป็นใยมากนักน่ะครับ”
“ที่ถามนี่ไม่ใช่พวกผมไม่รักแกนะครับ แค่คิดว่าอาจมีเรื่องราวในอดีตที่…” โจถามค้างไว้แค่นั้นไม่กล้าพูดต่อ
“พี่ผาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ สำหรับลุงนะ หอบหิ้วช่วยชีวิตกันมา เล่าสามวันสามคืนไม่จบหรอก” ไกรศักดิ์พูด
“แล้วข้าวของที่ขนไปช่วยค่าน้ำมันค่าแรงที่คุณลุงให้ผมสองคนนี่เป็นของทางการหรือของคุณลุงครับ” โจถาม
“จะถามว่าลุงฉ้อราษฎร์บังหลวงรึเปล่าอย่างนั้นซิ” ไกรศักดิ์ถามยิ้มๆ
“โอ๊ะ เปล่าครับคุณลุง ผมขอโทษครับ” โจรีบตอบแล้วยกมือไหว้พีเองก็รีบไหว้ตามด้วย
“ของส่วนตัว ลุงควักเองทุกบาททุกสตางค์” ไกรศักดิ์พูด
“แค่อยากให้พี่ผากับคนเหล่านั้นไม่ขัดสนลำบากนัก ส่วนเรื่องความปลอดภัยของเราสองคนลุงแน่ใจว่าลุงยังดูแลได้ แต่ถ้ามีภาวะเสี่ยงลุงก็จะไม่ให้พวกเราไปเด็ดขาด” เขาบอก
“ที่ผมเรียนถามคุณลุงก็แค่อยากทราบว่าจะช่วยอะไรได้อีกบ้างน่ะครับ” โจอธิบาย
“ถ้างั้นต่อไปพวกผมขอไม่รับค่าแรงนะครับ” พีพูดเสริมเพื่อแสดงน้ำใจ โจพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วเราจะเอาอะไรกินกันล่ะ ขอบใจทั้งสองคนนะ ธุรกิจมันก็ต้องเดินไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วงลุงยังมีทรัพย์สินเงินทองอีกเยอะลำพังตัวเองจะกินเข้าไปสักกี่บาทกี่คำ” ไกรศักดิ์บอกหลาน
“พวกผมได้ยินแต่คุณลุงพูดถึงปู่ผา คุณลุงรู้จักคนอื่นๆอีกบ้างหรือเปล่าครับ” โจถาม
ไกรศักดิ์มองหน้าโจแล้วพูด “เช่นใครอีกล่ะ มันนานแล้วบางทีลุงก็ลืม”
“คุณลุงรู้จักพี่โละ คือเอ่อพรานโละน่ะครับ” โจถามต่อ
“ก็รู้จักนะ สมัยนั้นโละมันยังเพิ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสักยี่สิบละมั้งคอยเดินตามพี่ผาอยู่” ไกรศักดิ์เล่า
“ทำไมล่ะ” ไกรศักดิ์ถามต่อ
“ไม่มีอะไรครับ แกมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อโส่ยแต่พวกผมเรียกเธอว่าสร้อย คุณลุงไม่รู้จักหรอกครับเธออายุสิบเก้าเองน่าจะเพิ่งครบยี่สิบไปเมื่อไม่กี่วันนี้กระมังครับ” โจพูด
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าครบยี่สิบมาไม่กี่วัน” ไกรศักดิ์ถาม
“ก็ที่ปู่ผาบอกอายุครบยี่สิบแล้วต้องไปทำอะไรนั่นล่ะครับ” โจตอบลุงไกรศักดิ์ซึ่งนั่งนิ่งตั้งใจฟังอยู่
แล้วเสียงหนึ่งก็แผดกึกก้องกัมปนาทเหมือนระเบิดดังขึ้นในสัมผัสของไกรศักดิ์ เขาสะดุ้งสุดตัวหงายหน้าไปบนพนักเก้าอี้ ตาเบิกโพลงร่างกายเกร็งแข็งทื่อ โจและพีที่นั่งสนทนาอยู่ด้วยต่างตกใจที่จู่ๆลุงของพวกเขามีอาการเช่นนั้นเพราะทั้งสองไม่ได้ยินเสียงนั้นด้วย
“ป้าอิ่มป้าอิ่มคุณลุงเป็นอะไร” โจตะโกนเรียกแม่บ้านส่วนพีรีบเข้าไปประคองลุงไกรไว้
“ท่านคะท่านคะเป็นอะไรคะท่าน” ป้าอิ่มวิ่งเข้ามาในห้อง เธอตกใจเมื่อเห็นสภาพของเจ้านายเป็นเช่นนั้นเธอรีบเข้าประคองเจ้านายแล้วร้องเรียกทหารรับใช้
“ทหาร ทหาร เอารถออกเร็ว” ป้าอิ่มสั่งเมื่อทหารรับใช้เข้ามา
“คุณลุงท่านมีโรคประจำตัวอย่างเช่นโรคหัวใจรึเปล่าป้าอิ่ม” โจถามระร่ำระลัก
“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านไม่เคยเป็นอะไร” ป้าอิ่มร้องไห้ตอบปากคอสั่น
“รถพร้อมแล้วครับ” ทหารรับใช้วิ่งเข้ามาบอก
“ไอ้โจกับกูอุ้มเลยสองคน” พีบอกเพื่อน
พีกับโจสอดแขนเข้าด้วยกันใต้ลำตัวแทนเปลเตรียมจะอุ้มลุงของพวกเขาขึ้น แต่ลุงไกรที่อยู่ในสภาพแข็งทื่อก็ตัวอ่อนลงลืมตาขึ้นช้าๆแล้วพูดเบาๆ