สวัสดีค่ะ รีวิวนี้เป็นรีวิวฉบับแรก ต้องขอบอกก่อนเลยว่าเป็นคนชอบเที่ยว (ในแบบสบายกระเป๋าค่ะ) คือใจก็ชอบไปพบเจอสิ่งแปลกใหม่ แต่งบประมาณในกระเป๋าตังค์น้อยๆของพนักงานออฟฟิคตัวเล็กๆ ทำให้เป็นคนเที่ยวแบบประหยัดงบ แต่ไม่งกจนเกินงาม เลยเกิดเป็นทริปเที่ยวญี่ปุ่น นาโกย่า ในงบประมาณไม่ถึง 20,000 บาท ค่ะ เราไปดูว่างบเท่านี้จะฟินกับบรรยากาศกับJapanได้แค่ไหนกันนะคะ
เนื่องจากกระทู้นี้มีความตั้งใจทำแต่ติดที่ขี้เกียจไปหน่อย ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ เราไปเที่ยวตอนนั้นสายการบิน แอร์เอเชียยังไม่ได้บินตรงไปนาโกย่านะคะ เราจึงยังใช้บริการของ แอร์เอเชียเอ็กซ์ ของมาเลเซียที่ต้องไปต่อเครื่องที่กัวลาค่ะ และรูปภาพอาจชัดบ้างไม่ชัดบ้างเพราะเอามือถือถ่ายบ้างกล้องบ้าง แถมกล้องไปพังอีก เลนซ์ไม่ยอมเก็บเมื่อทำการปิดกล้องแล้ว

เริ่มเลยค่ะ
1.สายการบิน
เราเลือกสายการบิน Low Cost ก็คือ Air Asia แต่ว่ายังไปต่อเครื่องที่กัวลานะคะ ปัจจุบันบินตรงแล้วเพื่อนก็สามารถเที่ยวได้แบบไม่เสียเวลาแบบเรา ตอนนั้นเราเลือกจองผ่านเว็บ airasiago คือเป็นการจองโรงแรมพร้อมเที่ยวบินค่ะ
ราคาต่อคนอยู่ที่ ฿12,591.50 ซึ่งถือว่าคุ้มมากค่ะ เราจะข้ามผ่านรีวิวสายการบินไปนะคะเนื่องจากเพื่อนๆรีวิวมาเยอะแล้ว

รูปจากอีเมล์ราคาโรงแรมพร้อมตั๋วเครื่องบินค่ะ
เมื่อเราเดินทางถึงสนามบินนาโกย่า เราก็นั่งรถไฟ ต่อด้วยรถไฟใต้ดิน ไปที่สถานีSakae ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้โรงแรมที่พักเรากันค่ะ ค่ารถไฟ ออกจากสนามบิน(810+360) 1,170 เยน + ค่ารถไฟใต้ดิน 200 เยน

เห็นผังรถไฟบ้านเค้าแล้วตกใจค่ะ บ้านเรามันดูง่ายจริงๆ เพราะมันมีไม่กี่สาย ของเค้าระบบรถไฟดีเยี่ยม ทำให้นักท่องเที่ยวแบบเราสบายเลยคะ
วิธีการมาโรงแรม เรานั่งรถไฟออกจากสนามบิน มาลงที่สถานี Kanayama จากนั้นนั่งรถไฟใต้ดินสายสีม่วง ไปยังสถานี Sakae

รูปสายรถไฟของเมืองนาโกย่า
2.โรงแรม
โปรโมชั่นดีๆก็มาพร้อมกับโรงแรมมาตรฐานดีค่ะ เราเลือกพักที่ Best Western Hotel Nagoya

หน้าโรงแรมค่ะ ข้างๆเป็นร้านกาแฟ Starbuck นั้นเองค่ะ โรงแรมนี้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินด้วยนะคะสะดวกมากๆ

ล็อบบี้โรงแรมจะอยู่ชั้น 2 ค่ะ แต่มีลิฟท์นะคะ แต่ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูค่ะ เสร็จสรรพ เราก็ทำการเช็คอินค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นไฟลท์เราไปถึงเช้าค่ะ ไปถึงเวลา 08:20 เช้า แต่ความผิดพลาดระบบตอนนั้นทำให้เราจองโรงแรมเกินไป 1 คืนในคืนที่บินไปด้วย เลยขอโรงแรมเช็คอินได้ในตอนเช้าค่ะ ได้อาบน้ำก่อนเริ่มเที่ยวค่ะ

ภายในห้องพัก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปค่ะ พัก 2 คนกำลังสบาย ในห้องน้ำก็มีอ่างอาบน้ำนะคะ เรียกว่าคุ้มค่ามาก
รูปห้องพัก โรงแรมอาจมีไม่เยอะนะคะ ต้องบอกว่าตอนนั้น กล้องเราเสียด้วย ไปเสียที่ญี่ปุ่นเศร้าใจจริงๆ
3.สถานที่เที่ยว+ อาหารไปพร้อมกัน เรามาดูกันว่า งบประมาณระดับนี้จะได้เที่ยวที่ไหนบ้างนะคะ
Day 1 หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว เวลาก็ล่วงเลยมาจน 11.00 โมงแล้ว เราก็เริ่มหิว จึงเดินกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดิน Sakae
และนี่คือ อาหารมื้อแรกที่มาถึงญี่ปุ่นค่ะ

ข้าวราดแกงกะหรี่ญี่ปุ่นพร้อมกุ้งเทมปุระ แบบญี่ปุ่นแท้แน่นอน
ซึ่งวิธีการสั่งไม่ยากคะ ระดับเจ้าของกระทู้ซึ่งเคยผ่านการเรียนภาษาญี่ปุ่น อะ อิ อุ เอะ โอ๊ะ มา -"- เราใช้วิธีนี้ค่ะ

ถ่ายรูปจากหน้าร้านค่ะ แล้วก็มีชี้ให้ทางร้านดู แหม่ เก่งจริงๆเลย - -" ซึ่งราคาอาหารมื้อนี้อยู่ที่ 880 เยนค่ะ น้ำชาฟรีค่ะ

หลังจากอิ่มท้องที่ฝากไว้ในร้านภายในสถานีรถไฟใต้ดินซาคาเอะแล้ว เราก็เริ่มเที่ยวกันเลยค่ะ
เรานั่งรถไฟใต้ดินมายังสถานี Kanayama (กลับมายังสถานที่ที่ตอนแรกเราเปลี่ยนไปรถใต้ดิน วันนี้เราจะยังไม่ซื้อบัตรรถไฟใต้ดินแบบ One day เพราะเราจะเที่ยวตามแบบฉบับเส้นทางรถไฟก่อนค่ะ) จากนั้นก็เปลี่ยนมานั่งรถไฟบนดิน เพื่อไปลง ณ สถานี Shurakuen ค่ารถไฟใต้ดิน 200 เยน+ ค่ารถไฟ 350 เยน

ถึงสถานีรถไฟShurakuen แล้วขอถ่ายรูปกันหนุ่มน้อยญี่ปุ่นหน่อยนะคะ เรากะคุณแม่เองค่ะ (โฉมหน้าคนเที่ยวแบบประหยัด55)

จากนั้นเราก็เดินประมาณ 500 เมตรไปยัง Shurakuen Garden ซึ่งเป็นที่ตั้งขอพระใหญ่ Shurakuen หรือDaibutsuแห่งShurakuen

Daibutsu 大仏 แปลว่าพระใหญ่ค่ะ พระใหญ่ไม่ได้มีแต่เมืองKamakura แต่ที่Shurakuenก็มีเช่นกันค่ะ สร้างขึ้นโดยนักธุรกิจชาวนาโกย่า ชื่อSaikichi Yamada สร้างในปี ค.ศ.1927 อายุ 87 ปี มีความสูงถึง 18.8 เมตร ซึ่งสูงกว่าพระใหญ่หรือไดบุซึแห่งเมืองคามาคุระ ที่สูง 11 เมตร
ไหว้พระขอพรเป็นสิริมงคลแล้วก็เดินทางต่อกันเลย
เรานั่งรถไฟต่อมาลงสถานี Jingumae ค่ารถ 300 เยน เพื่อมาเที่ยว ศาลเจ้าอัตสึตะ 熱田神宮 Atsuta Shrine

ศาลเจ้าอัตสึตะ เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองของศาลเจ้าทั่วประเทศญี่ปุ่น รองจากศาลเจ้าใหญ่แห่งเมืองอิเสะ ซึ่งมีอายุกว่า 1900 ปี
ก่อนเข้าวัดเราจะต้องล้างมือก่อนค่ะ

ซึ่งจริงๆแล้วคนญี่ปุ่นเองจะทำการล้างปากด้วยนะคะ วิธีการก็คือล้างมือซ้ายก่อน แล้วจึงล้างมือขวา จากนั้นก็ ล้างปากโดยการบ้วนปาก แต่เราแค่ล้างมือพอเป็นพิธีคะ

บรรยากาศภายในศาลเจ้าอัตสึตะ

จากนั้นเราก็เดินเข้าผ่านโทริ สู่ ศาลเจ้าอัตสึตะ

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างถวายแด่องค์พระจักรพรรดิ และยังเป็นสถานที่เก็บรักษาพระแสงดาบคุชานางิ Kusanagi no Mitsurugi ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสามของสมบัติประจำราชวงศ์ดอกเบญจมาศ

บรรยากาศภายในศาลเจ้าอัตสึตะ

จากนั้นเราก็เดินทางกันซึ่งจุดหมายปลายทางต่อไปคือห้างAeon Mall Atsuta จริงๆเมืองนาโกย่านี้เองมีห้าง Aeon Mall หลายสาขานะคะ แต่เราเลือกที่เดินทางตามเส้นทางที่ผ่านจึงแวะมาดูขอเพลินๆที่นี้ก่อนค่ะ เรียกว่ามาญี่ปุ่นแล้วก็ต้องไม่พลาดเรื่องช้อปปิ้งแน่นอน
การเดินทางเรากลับมายังสถานีรถไฟ Jingumae เพื่อไปยังสถานี Kanayama ค่ารถไฟ 170 เยน เมื่อออกมาด้านนอกสถานีแล้วจะมีผู้ชายใส่ชุดสีน้ำเงินถือป้าย เราก็จะมานั่งรถบัสฟรีของห้าง Aeon Mall กันค่ะ ขออภัยไม่มีรูปประกอบเพราะเป็นจังหวะที่ฝนตกพอดี

มาถึงท้องก็ร้องหิว หิว จึงหาอะไรรับประทานที่food court ห้างกันก่อนเลยคะ่

หลังจากสั่งแล้วเราจะได้รีโมทมานั่งแทะ ไม่ใช่ค่ะ เมื่ออาหารที่เราสั่งเสร็จแล้วเจ้าตัวนี้จะส่งเสียงดังปี๊ปๆๆๆ ให้เราไปรับอาหารนั้นเอง

และนี่ก็คือหน้าตาอาหารที่เราได้มา ขออภัยนะคะที่จำราคาที่แน่นอนไม่ได้เนื่องจากกระทู้นี้หมักดองไว้นานมาก
จากนั้นเราก็มาเดินเล่นในห้างกันต่อค่ะ

ชุดกิโมโน 着物 kimono สวยดี ราคาไม่แพงเท่าไร แต่ว่าก็แพงสำหรับเรา 55+

อันนี้คือสิ่งที่เราสนใจมากกว่า ราคาไม่แพงเลย ราคาเรียกว่าพอๆกับขอก็อปเกรดเอ ในเมืองไทยเลยค่ะ ราคาประมาณ 1,300-1,400 บาทไทย

โอ้ว คู่นี้ราคาประมาณ 1,600-1,700 บาท ไม่แน่ใจว่าเราคำนวนราคาผิดหรือเปล่าเนี่ย
หลังจากเพลิดเพลินกับรองเท้าไปแล้วเราก็ไปจบที่ร้าน 100 เยน และได้ของน่ารักๆมาแบบนี้ค่ะ

จากนั้นเราก็ออกมานั่งรถบัสฟรีของห้างเพื่อกลับไปยังสถานี Kanayama และนั่งรถไฟใต้ดินกลับโรงแรม ค่ารถไฟ 200 เยน
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก 3,300 เยน + อาหารมื้อที่จำไม่ได้ ซึ่งเราคิดว่าน่าจะไม่เกิน 1,000 เยน นะคะ
Day 2
วันนี้เราออกจากโรงแรม ไปยัง ปราสาทนาโกย่า โดยนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีSakae มายัง สถานีShiyakusho เมื่อออกขึ้นมาก็เจออาคารนี้เลยค่ะ
Aichi Prefectural Office สวยดีค่ะเลยถ่ายรูปไว้หน่อย
จากนั้นเราก็เดินกันต่อมายัง ปราสาทนาโกย่า

ถึงแล้วป้ายปราสาทนาโกย่า ค่าเข้าชม 400 เยน
เพราะว่าเรามีบัตร One day Pass Subway เฉพาะนั่งรถไฟใต้ดินค่ะ วันนี้ซื้อบัตร รถไฟแบบไม่จำกัดจำนวนเที่ยวมูลค่า 740 เยน แถมได้ลดค่าเข้าปราสาทนาโกย่าด้วยค่ะ ถ้ารวมนั่งรถเมล์ด้วยก็มีนะ แต่ว่าเราไม่ถนัดรอรถเมล์เลยไม่เอาค่ะ ราคาจะแพงกว่าคือ 850 เยน

หน้าตาบัตร One day Pass Subway

ดูที่ทางเดินแล้ว แม้แต่พื้นยังเป็นรูปปราสาทนาโกย่าเลยคะ

เด็กมาทัศนศึกษา น่ารักมากๆเลยคะ มีชู 2 นิ้วด้วย

แล้วเราก็เดินมาถึงปราสาทนาโกย่า ปราสาทแห่งนี้ก่อสร้างโดยโชกุน โทกุงาวะ อิเอะยาสุ ในปีค.ศ. 1612

มีรูปสลักปลาหัวเสือทองคำ “คินชะจิ” ที่มีชื่อเสียง (เป็นรูปสลักชะจิหุ้มทองเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น)
แล้วเราก็นั่งรถไฟใต้ดินกันต่อค่ะเราเดินมายังสถานี Sengencho เพื่อนั่งรถไฟสายสีฟ้าTsurumai ไปยังสถานี Osukannon

ศาลเจ้าโอสึคันนงเป็นหนึ่งในสามของศาลเจ้าบูชาเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นวัดประจำตระกูลโอดะ

มาถึงแล้วเราก็เดินขึ้นไปไหว้พระกันค่ะ

เห็นโคมไฟสีแดงแบบนี้คล้ายกับที่วัดอาซากุสะ เลยใช่ไหมค่ะ
จากนั้นเราก็เดินไปยังบริเวณด้านข้างวัดซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่นักช้อปพลาดไม่ได้เลยค่ะ ช้อปปิ้งอีกแล้ว เย้ๆๆๆๆ

แต่ก่อนจะช้อปปิ้งนั้น เราต้องหาอะไรหม่ำๆ กันก่อนนะคะ โดยเราได้อาหารมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ
เมนูนี้เรียกว่า お雑煮(ozoni) เป็นอาหารขึ้นชื่อของญี่ปุ่น นิยมรับประทานในวันปีใหม่ เป็นเมนูอาหารมงคล
ใช้แป้งโมจิที่ทำจากข้าวมาต้มใส่น้ำซุป และใส่เห็ดหอม และลูกชิ้น รสชาติกลมกล่อม
โมจิที่ญี่ปุ่นสามารถทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน ไม่ใช่โมจินครสวรรค์เมืองไทย แต่ว่าไปก็อยากกินโมจินครสวรรค์เหมือนกันนะ
หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็เดินแหล่งช้อปปิ้งย่านโอสึ สินค้าที่ขายก็จะเป็นพวกรองเท้า เสื้อผ้า ของแบรนด์เนมมือสองฯลฯ
[CR] รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฉบับสบายสบายกระเป๋า ด้วยงบไม่ถึง 20,000 บาท
เนื่องจากกระทู้นี้มีความตั้งใจทำแต่ติดที่ขี้เกียจไปหน่อย ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ เราไปเที่ยวตอนนั้นสายการบิน แอร์เอเชียยังไม่ได้บินตรงไปนาโกย่านะคะ เราจึงยังใช้บริการของ แอร์เอเชียเอ็กซ์ ของมาเลเซียที่ต้องไปต่อเครื่องที่กัวลาค่ะ และรูปภาพอาจชัดบ้างไม่ชัดบ้างเพราะเอามือถือถ่ายบ้างกล้องบ้าง แถมกล้องไปพังอีก เลนซ์ไม่ยอมเก็บเมื่อทำการปิดกล้องแล้ว
เริ่มเลยค่ะ
1.สายการบิน
เราเลือกสายการบิน Low Cost ก็คือ Air Asia แต่ว่ายังไปต่อเครื่องที่กัวลานะคะ ปัจจุบันบินตรงแล้วเพื่อนก็สามารถเที่ยวได้แบบไม่เสียเวลาแบบเรา ตอนนั้นเราเลือกจองผ่านเว็บ airasiago คือเป็นการจองโรงแรมพร้อมเที่ยวบินค่ะ
ราคาต่อคนอยู่ที่ ฿12,591.50 ซึ่งถือว่าคุ้มมากค่ะ เราจะข้ามผ่านรีวิวสายการบินไปนะคะเนื่องจากเพื่อนๆรีวิวมาเยอะแล้ว
รูปจากอีเมล์ราคาโรงแรมพร้อมตั๋วเครื่องบินค่ะ
เมื่อเราเดินทางถึงสนามบินนาโกย่า เราก็นั่งรถไฟ ต่อด้วยรถไฟใต้ดิน ไปที่สถานีSakae ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้โรงแรมที่พักเรากันค่ะ ค่ารถไฟ ออกจากสนามบิน(810+360) 1,170 เยน + ค่ารถไฟใต้ดิน 200 เยน
เห็นผังรถไฟบ้านเค้าแล้วตกใจค่ะ บ้านเรามันดูง่ายจริงๆ เพราะมันมีไม่กี่สาย ของเค้าระบบรถไฟดีเยี่ยม ทำให้นักท่องเที่ยวแบบเราสบายเลยคะ
วิธีการมาโรงแรม เรานั่งรถไฟออกจากสนามบิน มาลงที่สถานี Kanayama จากนั้นนั่งรถไฟใต้ดินสายสีม่วง ไปยังสถานี Sakae
รูปสายรถไฟของเมืองนาโกย่า
2.โรงแรม
โปรโมชั่นดีๆก็มาพร้อมกับโรงแรมมาตรฐานดีค่ะ เราเลือกพักที่ Best Western Hotel Nagoya
หน้าโรงแรมค่ะ ข้างๆเป็นร้านกาแฟ Starbuck นั้นเองค่ะ โรงแรมนี้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินด้วยนะคะสะดวกมากๆ
ล็อบบี้โรงแรมจะอยู่ชั้น 2 ค่ะ แต่มีลิฟท์นะคะ แต่ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูค่ะ เสร็จสรรพ เราก็ทำการเช็คอินค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นไฟลท์เราไปถึงเช้าค่ะ ไปถึงเวลา 08:20 เช้า แต่ความผิดพลาดระบบตอนนั้นทำให้เราจองโรงแรมเกินไป 1 คืนในคืนที่บินไปด้วย เลยขอโรงแรมเช็คอินได้ในตอนเช้าค่ะ ได้อาบน้ำก่อนเริ่มเที่ยวค่ะ
ภายในห้องพัก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปค่ะ พัก 2 คนกำลังสบาย ในห้องน้ำก็มีอ่างอาบน้ำนะคะ เรียกว่าคุ้มค่ามาก
รูปห้องพัก โรงแรมอาจมีไม่เยอะนะคะ ต้องบอกว่าตอนนั้น กล้องเราเสียด้วย ไปเสียที่ญี่ปุ่นเศร้าใจจริงๆ
3.สถานที่เที่ยว+ อาหารไปพร้อมกัน เรามาดูกันว่า งบประมาณระดับนี้จะได้เที่ยวที่ไหนบ้างนะคะ
Day 1 หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว เวลาก็ล่วงเลยมาจน 11.00 โมงแล้ว เราก็เริ่มหิว จึงเดินกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดิน Sakae
และนี่คือ อาหารมื้อแรกที่มาถึงญี่ปุ่นค่ะ
ข้าวราดแกงกะหรี่ญี่ปุ่นพร้อมกุ้งเทมปุระ แบบญี่ปุ่นแท้แน่นอน
ซึ่งวิธีการสั่งไม่ยากคะ ระดับเจ้าของกระทู้ซึ่งเคยผ่านการเรียนภาษาญี่ปุ่น อะ อิ อุ เอะ โอ๊ะ มา -"- เราใช้วิธีนี้ค่ะ
ถ่ายรูปจากหน้าร้านค่ะ แล้วก็มีชี้ให้ทางร้านดู แหม่ เก่งจริงๆเลย - -" ซึ่งราคาอาหารมื้อนี้อยู่ที่ 880 เยนค่ะ น้ำชาฟรีค่ะ
หลังจากอิ่มท้องที่ฝากไว้ในร้านภายในสถานีรถไฟใต้ดินซาคาเอะแล้ว เราก็เริ่มเที่ยวกันเลยค่ะ
เรานั่งรถไฟใต้ดินมายังสถานี Kanayama (กลับมายังสถานที่ที่ตอนแรกเราเปลี่ยนไปรถใต้ดิน วันนี้เราจะยังไม่ซื้อบัตรรถไฟใต้ดินแบบ One day เพราะเราจะเที่ยวตามแบบฉบับเส้นทางรถไฟก่อนค่ะ) จากนั้นก็เปลี่ยนมานั่งรถไฟบนดิน เพื่อไปลง ณ สถานี Shurakuen ค่ารถไฟใต้ดิน 200 เยน+ ค่ารถไฟ 350 เยน
ถึงสถานีรถไฟShurakuen แล้วขอถ่ายรูปกันหนุ่มน้อยญี่ปุ่นหน่อยนะคะ เรากะคุณแม่เองค่ะ (โฉมหน้าคนเที่ยวแบบประหยัด55)
จากนั้นเราก็เดินประมาณ 500 เมตรไปยัง Shurakuen Garden ซึ่งเป็นที่ตั้งขอพระใหญ่ Shurakuen หรือDaibutsuแห่งShurakuen
Daibutsu 大仏 แปลว่าพระใหญ่ค่ะ พระใหญ่ไม่ได้มีแต่เมืองKamakura แต่ที่Shurakuenก็มีเช่นกันค่ะ สร้างขึ้นโดยนักธุรกิจชาวนาโกย่า ชื่อSaikichi Yamada สร้างในปี ค.ศ.1927 อายุ 87 ปี มีความสูงถึง 18.8 เมตร ซึ่งสูงกว่าพระใหญ่หรือไดบุซึแห่งเมืองคามาคุระ ที่สูง 11 เมตร
ไหว้พระขอพรเป็นสิริมงคลแล้วก็เดินทางต่อกันเลย
เรานั่งรถไฟต่อมาลงสถานี Jingumae ค่ารถ 300 เยน เพื่อมาเที่ยว ศาลเจ้าอัตสึตะ 熱田神宮 Atsuta Shrine
ศาลเจ้าอัตสึตะ เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองของศาลเจ้าทั่วประเทศญี่ปุ่น รองจากศาลเจ้าใหญ่แห่งเมืองอิเสะ ซึ่งมีอายุกว่า 1900 ปี
ก่อนเข้าวัดเราจะต้องล้างมือก่อนค่ะ
ซึ่งจริงๆแล้วคนญี่ปุ่นเองจะทำการล้างปากด้วยนะคะ วิธีการก็คือล้างมือซ้ายก่อน แล้วจึงล้างมือขวา จากนั้นก็ ล้างปากโดยการบ้วนปาก แต่เราแค่ล้างมือพอเป็นพิธีคะ
บรรยากาศภายในศาลเจ้าอัตสึตะ
จากนั้นเราก็เดินเข้าผ่านโทริ สู่ ศาลเจ้าอัตสึตะ
ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างถวายแด่องค์พระจักรพรรดิ และยังเป็นสถานที่เก็บรักษาพระแสงดาบคุชานางิ Kusanagi no Mitsurugi ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสามของสมบัติประจำราชวงศ์ดอกเบญจมาศ
บรรยากาศภายในศาลเจ้าอัตสึตะ
จากนั้นเราก็เดินทางกันซึ่งจุดหมายปลายทางต่อไปคือห้างAeon Mall Atsuta จริงๆเมืองนาโกย่านี้เองมีห้าง Aeon Mall หลายสาขานะคะ แต่เราเลือกที่เดินทางตามเส้นทางที่ผ่านจึงแวะมาดูขอเพลินๆที่นี้ก่อนค่ะ เรียกว่ามาญี่ปุ่นแล้วก็ต้องไม่พลาดเรื่องช้อปปิ้งแน่นอน
การเดินทางเรากลับมายังสถานีรถไฟ Jingumae เพื่อไปยังสถานี Kanayama ค่ารถไฟ 170 เยน เมื่อออกมาด้านนอกสถานีแล้วจะมีผู้ชายใส่ชุดสีน้ำเงินถือป้าย เราก็จะมานั่งรถบัสฟรีของห้าง Aeon Mall กันค่ะ ขออภัยไม่มีรูปประกอบเพราะเป็นจังหวะที่ฝนตกพอดี
มาถึงท้องก็ร้องหิว หิว จึงหาอะไรรับประทานที่food court ห้างกันก่อนเลยคะ่
หลังจากสั่งแล้วเราจะได้รีโมทมานั่งแทะ ไม่ใช่ค่ะ เมื่ออาหารที่เราสั่งเสร็จแล้วเจ้าตัวนี้จะส่งเสียงดังปี๊ปๆๆๆ ให้เราไปรับอาหารนั้นเอง
และนี่ก็คือหน้าตาอาหารที่เราได้มา ขออภัยนะคะที่จำราคาที่แน่นอนไม่ได้เนื่องจากกระทู้นี้หมักดองไว้นานมาก
จากนั้นเราก็มาเดินเล่นในห้างกันต่อค่ะ
ชุดกิโมโน 着物 kimono สวยดี ราคาไม่แพงเท่าไร แต่ว่าก็แพงสำหรับเรา 55+
อันนี้คือสิ่งที่เราสนใจมากกว่า ราคาไม่แพงเลย ราคาเรียกว่าพอๆกับขอก็อปเกรดเอ ในเมืองไทยเลยค่ะ ราคาประมาณ 1,300-1,400 บาทไทย
โอ้ว คู่นี้ราคาประมาณ 1,600-1,700 บาท ไม่แน่ใจว่าเราคำนวนราคาผิดหรือเปล่าเนี่ย
หลังจากเพลิดเพลินกับรองเท้าไปแล้วเราก็ไปจบที่ร้าน 100 เยน และได้ของน่ารักๆมาแบบนี้ค่ะ
จากนั้นเราก็ออกมานั่งรถบัสฟรีของห้างเพื่อกลับไปยังสถานี Kanayama และนั่งรถไฟใต้ดินกลับโรงแรม ค่ารถไฟ 200 เยน
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก 3,300 เยน + อาหารมื้อที่จำไม่ได้ ซึ่งเราคิดว่าน่าจะไม่เกิน 1,000 เยน นะคะ
Day 2
วันนี้เราออกจากโรงแรม ไปยัง ปราสาทนาโกย่า โดยนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีSakae มายัง สถานีShiyakusho เมื่อออกขึ้นมาก็เจออาคารนี้เลยค่ะ
Aichi Prefectural Office สวยดีค่ะเลยถ่ายรูปไว้หน่อย
จากนั้นเราก็เดินกันต่อมายัง ปราสาทนาโกย่า
ถึงแล้วป้ายปราสาทนาโกย่า ค่าเข้าชม 400 เยน
เพราะว่าเรามีบัตร One day Pass Subway เฉพาะนั่งรถไฟใต้ดินค่ะ วันนี้ซื้อบัตร รถไฟแบบไม่จำกัดจำนวนเที่ยวมูลค่า 740 เยน แถมได้ลดค่าเข้าปราสาทนาโกย่าด้วยค่ะ ถ้ารวมนั่งรถเมล์ด้วยก็มีนะ แต่ว่าเราไม่ถนัดรอรถเมล์เลยไม่เอาค่ะ ราคาจะแพงกว่าคือ 850 เยน
หน้าตาบัตร One day Pass Subway
ดูที่ทางเดินแล้ว แม้แต่พื้นยังเป็นรูปปราสาทนาโกย่าเลยคะ
เด็กมาทัศนศึกษา น่ารักมากๆเลยคะ มีชู 2 นิ้วด้วย
แล้วเราก็เดินมาถึงปราสาทนาโกย่า ปราสาทแห่งนี้ก่อสร้างโดยโชกุน โทกุงาวะ อิเอะยาสุ ในปีค.ศ. 1612
มีรูปสลักปลาหัวเสือทองคำ “คินชะจิ” ที่มีชื่อเสียง (เป็นรูปสลักชะจิหุ้มทองเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น)
แล้วเราก็นั่งรถไฟใต้ดินกันต่อค่ะเราเดินมายังสถานี Sengencho เพื่อนั่งรถไฟสายสีฟ้าTsurumai ไปยังสถานี Osukannon
ศาลเจ้าโอสึคันนงเป็นหนึ่งในสามของศาลเจ้าบูชาเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นวัดประจำตระกูลโอดะ
มาถึงแล้วเราก็เดินขึ้นไปไหว้พระกันค่ะ
เห็นโคมไฟสีแดงแบบนี้คล้ายกับที่วัดอาซากุสะ เลยใช่ไหมค่ะ
จากนั้นเราก็เดินไปยังบริเวณด้านข้างวัดซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่นักช้อปพลาดไม่ได้เลยค่ะ ช้อปปิ้งอีกแล้ว เย้ๆๆๆๆ
แต่ก่อนจะช้อปปิ้งนั้น เราต้องหาอะไรหม่ำๆ กันก่อนนะคะ โดยเราได้อาหารมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ
เมนูนี้เรียกว่า お雑煮(ozoni) เป็นอาหารขึ้นชื่อของญี่ปุ่น นิยมรับประทานในวันปีใหม่ เป็นเมนูอาหารมงคล
ใช้แป้งโมจิที่ทำจากข้าวมาต้มใส่น้ำซุป และใส่เห็ดหอม และลูกชิ้น รสชาติกลมกล่อม
โมจิที่ญี่ปุ่นสามารถทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน ไม่ใช่โมจินครสวรรค์เมืองไทย แต่ว่าไปก็อยากกินโมจินครสวรรค์เหมือนกันนะ
หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็เดินแหล่งช้อปปิ้งย่านโอสึ สินค้าที่ขายก็จะเป็นพวกรองเท้า เสื้อผ้า ของแบรนด์เนมมือสองฯลฯ