"ต้นทุนที่ต่างกันเพียงแค่นิดเดียวก็มีส่วนต่อผลแพ้-ชนะทางธุรกิจเลยทีเดียว"

{ ค่าคอมมิชชั่นกับการเล่นหุ้นและกับดักนักลงทุน }
“ตัวกระตุ้น” ซึ่งเหมือนมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะเทคโนโลยีทำให้เราสามารถเข้าถึงหุ้นได้จำนวนมากพร้อม ๆ กับข่าวสารที่ถาโถมเข้ามา ตัวกระตุ้นชั้นดีในทุกยุคทุกสมัยคือ “ข่าวลือ” หรือหุ้นจำพวก “Top Gainer” หรือ “Most Active” เพราะนี่คือเสียง “กริ๊ก” ให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น ซึ่งมันก็ถูกขยายให้มากขึ้นไปอีก ด้วยเครื่องมือจำพวก Social Media เช่น Line, Facebook เพราะเรามักจะเห็นสนามหญ้าคนอื่นเขียวกว่าตัวเอง และเรามักจะรู้สึกบ่อย ๆ ว่า หุ้นในพอร์ตคนอื่น “เขียว” กว่าพอร์ตหุ้นตัวเองเช่นเดียวกัน จะขอกล่าวถึงเรื่อง"ต้นทุน"เพราะสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเรามีต้นทุนที่ต่ำ จะทำให้กำไรก็มากขึ้นตามไปด้วย ในส่วนค่าคอมมิชชั่นถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง สำหรับการลงทุนหุ้น ถ้าเรามีเงินลงทุนหนึ่งล้านบาท เล่นรายวันแบบซื้อตอนเช้าหนึ่งครั้งด้วยเงินทั้งหมดหนึ่งล้านขายออกตอนเย็นแบบล้างพอร์ตหนึ่งครั้ง ทำอย่างนี้ทุกวันที่ตลาดเปิดเป็นเวลาหนึ่งปี เราต้องเสียค่าคอมมิชชั่น = 1,000,000(เงินลงทุน) X 0.0025(%ค่าคอม) X 2(ซื้อหนึ่งครั้งขายหนึ่งครั้งต่อวัน) X 200 (จำนวนวันตลาดเปิดในหนึ่งปี) =1,000,000 บาท ดังนั้นถ้าเราจะให้ได้กำไรแบบซื้อขายรายวันแบบนี้เราต้องทำผลตอบแทนให้ได้ มากกว่า 100% ต่อปี หากเราซื้อกองทุนดัชนีเอาไว้เราจะได้ผลตอบแทนประมาณ 11% ต่อปีโดยไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเราจะเอาชนะตลาดด้วยการซื้อขายรายวันดังกล่าวเราจะต้องทำผลตอบแทนให้ได้อย่างน้อย 111% ต่อปีทีเดียว แล้วมีวิธีการแบบไหนที่สร้างผลตอบแทนพันเท่าได้ โดยที่นักลงทุนต้องลงทุนในหุ้นให้ได้กำไร 50% ใน 6 เดือนหรือ 100% ต่อปี ซึ่งเราอาจจะไม่ได้กำไรทุกตัว แต่ทำให้พอร์ตโดยมีรวมเป็นกำไรถึง 100% ต่อปี และถ้าทำให้ได้ถึง 9 ปี จะได้ผลตอบแทนพันเท่า ( บ้างตัว2-3 ปี ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนพันเท่า ก็มีมาแล้ว )
เมื่อลองนำมาคำนวณตามผู้เขียนโดยให้เงินเริ่มต้น 100,000 บาท
ปีที่ จำนวนเงิน
0. –> 100,000
1. –> 200,000
2. –> 400,000
3. –> 800,000
4. –> 1,600,000
5. –> 3,200,000
6. –> 6,400,000
7. –> 12,800,000
8. –> 25,600,000
9. –> 51,200,000
10.–> 102,400,000
คิดเป็นผลตอบแทน 1000 เท่าจริง แต่ทำยาก แต่ก็มีคนทำได้จริง อยู่ที่เราจะหาหุ้นนั้นเจอหรือไม่ และเมื่อได้เจอหุ้นนั้นแล้ว จงซื้อไว้และถือไว้ให้นานที่สุด เมื่อกล่าวถึง“การรอ” ถือว่าสำคัญมากนะคะ ซึ่งเป็นนิสัยที่ดูขัดแย้งกับความสำเร็จในมุมมองของงานทั่ว ๆ ไป ว่า “ทำมากได้มาก” แต่สำหรับการลงทุน “ทำน้อยอาจจะได้ มากกว่า” เสียอีก บัฟเฟตต์บอกว่าการลงทุนดี ๆ แค่ 20 ครั้ง ก็เพียงพอสำหรับเปลี่ยนชีวิตคุณได้แล้ว “การรอ” คือนิสัยที่ทำได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการรอจังหวะซื้อหุ้นที่ราคาดี ๆ และ รอคอย “เวลา” ที่หุ้นจะเติบโตไปถึงจุดที่ดีที่สุดของมัน เราต้องฝึกให้เป็น “พฤติกรรมอัตโนมัติ” และเป็นสัญชาตญาณ  วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดถึงนิสัยไว้ว่า “นิสัยที่ดีต่อเนื่อง มักจะเบาเกินกว่าที่เราจะรู้สึกถึงมัน จนกระทั่งนิสัยนั้นถูกสร้างให้หนักแน่นจนเกินกว่าที่มันจะแตกหักได้” สิ่งสำคัญคือ กฏ 2 ข้อที่สำคัญของ วอเรน บัฟเฟต์ ในการลงทุน คือ ข้อ 1 ห้ามขาดทุน ข้อ 2 ให้กลับไปดู ข้อ 1
เหตุผลหนึ่งที่น่าจะเป็นที่มาของแนวคิดนี้ คือ เวลาที่ขาดทุนไปแล้ว การทำกำไรให้ได้เงินต้นกลับมาเท่าเดิม เราต้องทำกำไรในอัตราที่สูงมากกว่า เพราะเงินต้นมันลดลงไปแล้ว
ถ้าไล่ดู % ขาดทุน เทียบกับ % กำไรที่ต้องทำให้ได้ เพื่อให้เงินต้นกลับมาเท่าเดิม ก็จะได้ผลตามนี้ขาดทุน -10% ต้องทำกำไร +11% ถึงจะได้เงินต้นเท่าเดิม ถ้า-20% ต้อง +25%ถ้า-30% ต้อง +43%ถ้า-40% ต้อง +67%ถ้า-50% ต้อง +100%ถ้า-60% ต้อง +150%จริงๆ ถ้า-70% ต้อง+ 233% ถ้า-80% ต้อง+ 400% และถ้า-90% ต้อง+ถึง900% แล้วหลักคิดนี้สามารถนำมาใช้กับการเล่นหุ้นแบบ Technical ได้ เพราะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการกำหนดจุดตัดขาดทุน หรือจุด Cut Loss นั่นเอง ยกตัวอย่าง ถ้าเรากำหนดจุดตัดขาดทุน ที่ -5% ครั้งต่อไปเราต้องทำกำไรให้ได้อย่างน้อย +5.3% เพื่อจะได้เงินต้นคืน ก็ยังถือว่าไม่ใช่ภาระที่หนักมาก แต่ถ้าเราปล่อยเลยไปจนขาดทุนมากขึ้นๆ การจะเอา แค่เงินต้นกลับมา ก็จะยากขึ้นไปเรื่อยๆการขาดทุน 10%-12% ยังเป็น % ที่จะทำกำไรเพื่อให้ได้เงินต้นกลับคืนมาได้ไม่ยากนัก แต่ถ้ามากกว่านี้ ความยากก็จะเพิ่มระดับขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อมือใหม่ บางคนเข้ามาเล่นหุ้นแบบสั้นๆ สั้นมากคือช่องเดียวก็เอา วันหนึ่งซื้อขายกันหลายๆรอบ มาคิดดูแล้วไม่รู้ว่าจะคุ้มกับค่าคอมมิชชั่นที่เสียไปหรือเปล่า บางทีถ้าเราถือยาวๆ จะทำให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำกว่ากัน ถ้าเราซื้อขายหุ้นกัน 1 ช่องนั้น ราคามันห่างกันเท่าไหร่ โดยทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดเอาไว้ตามช่วงราคาการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ สำหรับการเสนอซื้อและเสนอขายบนกระดานหลักและกระดานหน่วยย่อย โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดช่วงราคาตามระดับราคาของแต่ละหลักทรัพย์ไว้ ดังนี้
ระดับราคาตลาดช่วงราคาต่ำกว่า 2 บาท 0.01 บาท
ตั้งแต่ 2 บาทแต่ต่ำกว่า 5 บาท 0.02 บาท
ตั้งแต่ 5 บาทแต่ต่ำกว่า 10 บาท 0.05 บาท
ตั้งแต่ 10 บาทแต่ต่ำกว่า 25 บาท 0.10 บาท
ตั้งแต่ 25 บาทแต่ต่ำกว่า 100 บาท 0.25 บาท
ตั้งแต่ 100 บาทแต่ต่ำกว่า 200 บาท 0.50 บาท
ตั้งแต่ 200 บาทแต่ต่ำกว่า 400 บาท 1.00 บาท
ตั้งแต่ 400 บาทขึ้นไป 2.00 บาท
ดังนั้น หากผู้ลงทุนต้องการเสนอซื้อหรือเสนอขายหลักทรัพย์ใด ต้องดูราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของหลักทรัพย์นั้นด้วย เพื่อจะได้เสนอราคาซื้อขายได้ตรงตามช่วงราคา เช่นถ้าจะซื้อขายหุ้นที่มีราคา 110 บาท ก็จะต้องเสนอซื้อหรือเสนอขายเพิ่มขึ้นหรือลดลงจาก 110 บาท ครั้งละ 1 บาท เช่น 111 บาท หรือ 109 บาท หรือถ้าจะซื้อขายหุ้นที่มีราคา 4 บาท ช่วงราคาอยุ่ที่ 0.02 บาทก็จะต้องตั้งซื้อตามนั้นคือ 4.02 บาท หรือ 4.04 บาท เป็นต้น การคำนวณกำไรขาดทุนหลังหักค่าคอมมิชชั่นกรณีที่ซื้อขายห่างกัน 1 ช่องราคาค่ะเอาราคาที่เพิ่ม 1 จุดหารด้วยต้นทุน ได้กี่% ลบออกจาก 0.0050% ถ้าผลจากการลบ ยังมีค่าบวก นั่นคือ%กำไรที่ได้ จากส่วนต่าง1 จุด (0.0050% คิดไปกลับในกรณีที่ค่าคอม0.0025% ต่อขา)ตัวอย่างเช่น ซื้อหุ้นราคา  1.55 บาท ต้องการขายหุ้นที่ราคา 1.56 บาท คิดดังนี้ 1.56-1.55 = .01จากนั้น (0.01/1.55)*100 = .64 % จากนั้นนำมาลบด้วยค่าคอมมิชชั่นทั้งขาไปและขากลับ .64 – .0050= .64% ดังนั้นยังกำไรอยู่ .64% ค่ะ บางตัวถึงกำไร1จุด หักค่าคอม.ที่เสียแล้ว จะไม่เหลืออะไรเลย ติดลบด้วยซ้ำค่ะ ดังนั้นเราจึงได้ทำตารางมาให้ค่ะ ว่าช่วงราคาไหน ซื้อขายเพียง 1 ช่องแล้วยังได้กำไรอยู่ค่ะ
0.00-1.86
2.00-3.72
5.00-9.30
10.00-18.60
25.00-46.50
50.00-93.00
100.00-186.00
ช่วงราคาหุ้นเหล่านี้เป็นช่วงที่สามารถซื้อขายใน 1 ช่องราคาได้โดยที่ยังกำไรอยู่ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่แนะนำให้เล่นแบบนี้นะคะ แต่หากต้องการตัดขาดทุนก็สามารถนำมาพิจารณาประกอบได้ค่ะ ขอให้เพื่อนๆโชคดีในทุกการลงทุนนะคะ^^ ที่มา https://www.facebook.com/2xStock?hc_location=timeline


แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่