[บทที่ 2] ความรู้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับติดลบ โง่เกินความคาดหมาย



บทที่ 2 : ความรู้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับติดลบ โง่เกินความคาดหมาย


“ป๋าไม่มีเงินส่งพวกเราไปเรียนเมืองนอกนะ ดูพวกพี่ๆเค้าสิ อนาคตไกลกันหมดเลย”


ผมเติบโตขึ้นมาในครอบครัวคนจีน100% เหล่าเครือญาติของผมแทบจะทุกคนมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมีเงินมีทองกันมหาศาล แต่ละคนก็ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเมืองนากันเพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษและเปิดโลกทัศน์ คุณพ่อผมเป็นแกะดำประจำตระกูล แม้คุณพ่อจะเป็นลูกชายคนเล็กซึ่งได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นในครอบครัว แต่พ่อกลับเป็นลูกที่เหลวไหลที่สุดแตกต่างกับพวกพี่ๆโดยสิ้นเชิง พ่อผมไม่เรียนหนังสือ ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเหลวแหลกตั้งแต่เด็กๆ จีบสาว เล่นไพ่ เที่ยวเตร่ ส่งผลให้สุดท้ายแล้วครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่ยากจนที่สุด แม้คุณพ่อจะมีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเองพอจุนเจือเลี้ยงครอบครัวส่งลูกเรียนหนังสือ แต่ไม่พอที่จะส่งผมข้ามไปเมืองนอกเมืองนาเหมือนลูกคนอื่นเค้า

พวกเรามีอากงที่เป็นเสาหลักสำคัญของตระกูล เป็นทั้งแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างให้กับลูกหลาน อากงเล่าให้ฟังเสมอว่าอากงก็เป็นเด็กยากจนมาก่อน ท่านหอบเสื่อผืนหมอนใบแอบขึ้นเรือสำเภาข้ามจากสิงค์โปร์และมาเริ่มตั้งชีวิตใหม่ที่ประเทศไทย ด้วยความเป็นคนรักดีรักเรียน อากงประสบความสำเร็จในชีวิตตามที่หวังไว้และได้สร้างครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา นอกจากจะเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมแล้ว ท่านยังเป็นคนที่มีจิตใจดีซื่อสัตย์บริสุทธิ์อีกด้วย อากงจะสั่งสอนและปลูกฝังลูกๆหลานๆทุกคนเสมอว่า ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกลื้อจะทำอะไรเป็นหรือเปล่าไม่รู้ แต่พวกลื้อต้องรู้ภาษาอังกฤษ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผูกเราเหล่าหลานๆให้ได้เข้าใกล้ตัวอากง อากงงานยุ่งมากและยังคงฝึกเรียนภาษาจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นท่านคือท่านเดินออกมาจากห้องทำงานส่วนตัว ผมถามอากงว่า อากงทำอะไรหรอครับ อากงตอบผมว่า กงกำลังเรียนภาษาเยอรมันอยู่ นี่เป็นภาษาที่ 8 ของกง อาบิ๊ก...ลื้อต้องตั้งใจเรียนให้มากๆรู้เปล่า แล้วอย่าลืมภาษาอังกฤษด้วยหละ ผมเป็นหลานที่เหลวแหลกที่สุดในตระกูล หลานคนเดียวที่ไม่เคยใส่ใจเรียน หลานคนที่ไม่เอาไหน หลานคนเดียวที่อ่อนในภาษาอังกฤษชนิดที่เรียกว่าไม่รู้เลยดีกว่า อากงจากผมไปแล้วกว่า 10 ปีตั้งแต่ผมยังอยู่ม.2 และความทรงจำสุดท้ายที่อากงมีก่อนจะจากไป ก็คือ “ไอ้หลานคนนี้นี่ ไม่เอาไหนเอาซะเลย”

สมัยก่อนระหว่างเราอากงและหลานๆ 10 คน จะมีกิจกรรมประจำตระกูลที่ต้องเล่นกันทุกครั้งที่รวมญาติ อากงจะแจกบทความจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษให้หลานๆคนละหนึ่งเรื่อง แล้วให้หลานๆไปแปลเป็นไทยกลับมาส่ง ถ้าสามารถแปลถูกต้องได้ใจความ อากงจะมอบเงินรางวัลให้ 500 บาท พี่ๆน้องๆผมได้รับบทความกันหมดทุกคน ทุกคนสนุกกับกิจกรรมหาเงิน 500 บาทอันนี้มาก มีแต่ผมคนเดียวที่ไม่เคยได้เล่นเกมส์นี้ เพราะผมอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกเลย กิจกรรมอย่างเดียวของผมคือไปเก็บเมล็ดเป๊าะแป๊ะข้างสนามหญ้ามาใส่น้ำให้มันระเบิดเล่น ผมมองย้อนกลับไป...เรานี่แม่มไร้ประโยชน์สิ้นดี

จนมาถึงอีกวันรวมญาติ ในวันนั้นอากงไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว เหล่าผู้ใหญ่ก็ล้อมวงตั้งโต๊ะแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตกัน ผมไม่ได้ฟังอะไรเท่าไหร่หรอกครับ พูดเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้น่าเบื่อ แต่ผมจำได้อยู่ประโยคนึง ประโยคที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมทั้งชีวิต ผมจำได้ว่าตอนนั้นเค้ากำลังคุยกันเรื่องลูกๆที่ส่งไปเรียนต่อเมืองนอกอยู่ว่าเป็นยังไงกันบ้าง บ้านผมที่ไม่เคยมีใครได้ไปเรียนเมืองนอก โชคดีที่อย่างน้อยพ่อผมก็ยังมีพี่ชายหัวไบรท์ยังพอเอาไว้โม้กับเค้าได้บ้าง แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ได้ดูดีอะไรเท่าไหร่นักเลย ระหว่างที่พวกเราพ่อลูกแยกตัวออกมาจากในวง พ่อผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วพูดว่า “ป๋าไม่มีเงินส่งพวกเราไปเรียนเมืองนอกนะ ดูพวกพี่ๆเค้าสิ อนาคตไกลกันหมดเลย” ผมเงยหน้ามองพ่อ พ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมส่ายหน้าไปมา ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าพ่อผิดหวังในตัวเองหรือผิดหวังในตัวผมกันแน่ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งใจฟังพ่อ ผมสงสารพ่อ ผมเสียใจ

คงเป็นเพราะเรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในบทที่ 1 ได้ไม่นาน (http://pantip.com/topic/32934969) ผมเริ่มคิดถึงความรู้สึกของพ่อแม่เป็นครั้งแรกในชีวิต ผมมีพลังและมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างล้นหลาม ผมอยากพิสูจน์ให้พ่อเห็น ผมอยากให้พ่อผมภูมิใจในตัวผม ก่อนที่พ่อจะไม่อยู่รับรู้ความสำเร็จของผมเหมือนอากง ผมบอกกับตัวเองว่า เราจะต้องตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ เราจะฝึกภาษาอังกฤษให้ดี เราจะเอาชนะพี่ๆทุกคนให้ได้แม้บ้านเราจะไม่รวย ความอยากนี่มาเต็มครับ แต่ความรู้นี่เท่ากับศูนย์ แบล็คกราวน์พื้นหลังของผมนี่เป็นสีขาวโล้น มีแต่ความโง่ของผมเท่านั้นที่ทำให้ผมกล้าเอาตัวเองไปเทียบรุ่นกับพวกพี่ๆ  

ประจวบเหมาะกับเวลาที่ผมเลื่อนชั้นจากม.2ขึ้นม.3 ช่วงเวลาที่ผมถูกย้ายไปห้องคิงอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมคิดหนักมากว่าจะทำยังไงดีกับภาษาอังกฤษตัวเอง มันแบบไร้ทางเยียวยามาก ผมพยายามตั้งใจในห้องเรียนแล้วแต่ดูเหมือนมันไร้ประโยชน์ อาจารย์แม่มสอนวนไปวนมาแต่คำศัพท์ กับให้เรายืนทำความเคารพแล้วพูดว่า Good morning Teacher, how are you today? I’m fine thank you, and you? Thank you please sit down. อาจารย์แม่มพูดอย่างงี้มาเป็นปีๆ ไม่เคยอธิบายเลยว่าที่พูดนี่แปลว่าอะไร จนมาถึงวันนี้พึ่งรู้ว่า ขนาด Afternoon แล้วกูก็ยัง Good morning อยู่นั่นอะ ไม่ได้ครับไม่ได้ โรงเรียนแม่มไม่ช่วยให้ภาษาอังกฤษผมดีแน่  

ผมจำได้แม่นเลยมีอยู่วันนึงในคาบเรียนอังกฤษ อาจารย์ให้ออกไปอ่านประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆกันคนละประโยค เพื่อนๆนี่ก็อ่านกันปร๋อเลยครับเพราะอยู่ห้องคิง ไล่เข้ามาเรื่อยๆจนใกล้จะถึงผม แม้ในใจจะอยากเรียนภาษาอังกฤษมากเลยนะ แต่มือนี่เหงื่อแตกเลยครับ เครียดมาก สั่นไปหมด คือมันรู้ว่าตัวเองอ่านไม่ได้แน่ๆ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกฮะ พอคิวของผมมาถึง อาจารย์ยื่นแผ่นกระดาษมาให้อันเล็กๆ เอ้อ.... แม่มง่ายนี่หว่า มีแต่คำโง่ๆ ผมก็อ่านไปครับ จนไปถึงคำๆนึง คือคำว่า Business อุ้ยตายห่า...อะไรวะเนี่ย ไม่เคยเห็น ตายละผมจะทำยังไงดี ผมหยุดเงียบกลางคัน อาจารย์และเพื่อนๆทุกคนรอฟังผมอยู่ ผมไม่รู้จะทำยังไงครับ ก็จำเป็นต้องแกะๆตามตัวอักษรไป พอแกะได้ที่คิดว่าถูกแล้ว ผมก็ซัดไปดังๆเลยครับ เพื่อให้เพื่อนๆมันรู้ว่าเราอ่านได้ “บัส-ซี-นิส” บอกตรงๆเลยครับ โอ้โห่....อายฝัดๆ เพื่อนๆนี่หัวเราะกันระงม ขนาดอาจารย์เองที่ว่าเห็นใจๆยังหลุดขำไม่ได้ ม.3 แล้วนะครับ กำลังจะเข้าม.ปลายแล้ว สุดท้ายอาจารย์ก็ต้องเดินมากระซิบคำอ่านที่ถูกต้องให้ฟัง และผมก็ต้องอยู่กับความอับอายนั้นตลอดมา

ถามว่าเข็ดมั้ยกับไอ้ภาษาอังกฤษเนี่ย ตอบเลยครับ ไม่เข็ด ตอนนั้นผมรู้สึกหมั่นไส้แม่มมาก คือประมาณว่ามันจะอะไรกันนักหนาวะเนี่ยฮะ ผมกลับบ้านไปพร้อมไฟแห่งความสมเพชในตัวเอง ทำไมแค่นี้เราไม่รู้ ทำไมแค่นี้เราอ่านไม่ได้ ว่ากระนั้นแล้วผมก็เริ่มพาตัวเองเข้าไปหาภาษาอังกฤษที่อยู่รอบกาย อะไรก็ตามที่เป็นภาษาอังกฤษผมจะให้ความสนใจ ตั้งแต่ป้ายโฆษณายันหนังช่อง HBO โอ้โหแม่มไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ แต่ก็ฝืนต่อไป ฝืนแบบไม่แคร์โลก คือไม่สนใจว่าวันไหนจะเลิกยุ่งกับมัน ผมรื้อบ้านเลยครับ หาหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมดที่มีที่พ่อซื้อเก็บๆไว้ หนังสือพวกแบบเอาไว้ให้ผู้ใหญ่แก่ๆอ่านอะฮะ ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว ภาษาอังกฤษวันละคำ ฟุตฟิตฟอไฟว์ อะไรก็ว่าไป ผมรวมรวบหนังสือฝึกภาษามาได้ 10 กว่าเล่ม แล้วอ่านแม่มรวดเดียวติดแบบกระเหี้ยนกระหือรือ ไม่รู้ไม่เลิก ก่อนนอนอ่าน ขี้ก็อ่าน ออกไปมองเห็นอะไรก็ถาม ถามพ่อไม่ได้ก็ถามพี่ ถามแม่มทุกคนที่ตอบเราได้

ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมโง่หรือหนังสือแม่มห่วยครับ คืออ่านจบหมดแล้วทุกเล่มทุกหน้า แต่มันก็ยังใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมพูดออกมาเป็นประโยคไม่ได้ ผมฟังคำแนะนำตัวสั้นๆง่ายๆยังไม่ออก ผมอ่านอะไรไม่รู้เรื่อง เขียนนี่ไม่ต้องพูดถึง คือมันเหมือนจะเริ่มคุ้นๆกลิ่นละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันอะไรยังไงกันแน่ จนกระทั่งผมมาเจอหนังสือเล่มนึงครับ เป็นหนังสือฝึกภาษาอังกฤษที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างของภาษาแบบเข้าใจง่าย เป็นหนังสือปกเล่มสีส้มแดงจั่วหัวเป็นภาษาไทย หนังสือชื่ออะไรไม่รู้แล้วฮะจำไม่ได้ คนแม่มยืนกันไปกันมาจนหาย หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนมุมมองของผมที่มีต่อภาษาอย่างชัดเจน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่