
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
จากบันทึกของ "พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)"
เจ้าอาวาสวัดประยูรฯ มีความว่า...
..คำว่า "ครองแผ่นดินโดยธรรม" ในที่นี้หมายถึง "ครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม"...
..ทศพิธราชธรรมนี้มีที่มาจากนิทานชาดกเรื่องมหาหังสชาดก
ในชาดกเรื่องนี้ พญาหงส์ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ได้สนทนาธรรมกับพระเจ้ากรุงพาราณสีเรื่องทศพิธ ราชธรรม
หรือธรรมของพระราชา ๑๐ ประการ โดยพระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสเล่าให้พญาหงส์ฟังว่า...
....เราพิจารณาเห็นธรรม ๑๐ ประการที่มีอยู่ในตัวเราเหล่านี้
ทำไมทศพิธราชธรรมในมหาหังสชาดกนี้จึงได้มี อิทธิพลต่อรัฏฐาภิปาลโนบาย
หรือวิธีการปกครองบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบันมากยิ่งกว่าคำสอนเรื่องอื่น...
..เหตุที่ทศพิธราชธรรมในมหาหังสชาดกมีอิทธิพลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากมายขนาดนั้น
ก็เนื่องมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นกฎหมายหลักคู่บ้านคู่เมือง ของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้ถูกใช้เป็นกฎหมายแม่บทมาก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญใน ประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕
จนกระทั่งคำว่า "ธรรมศาสตร์" ในสมัยก่อนถูกใช้ในความหมายเดียวกับคำว่า "นิติศาสตร์" ในสมัยนี้
ดังนั้นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ก็คือคัมภีร์นิติศาสตร์นั่นเอง....
...พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตต้องถือปฏิบัติตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งมี ต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ดั้งเดิมของอินเดียมีชื่อว่าพระมนูธรรมศาสตร์ ซึ่งว่าด้วยวิธีการปกครองของคนในวรรณะกษัตริย์
ตามหลักวรรณธรรมคือหน้าที่ ประจำวรรณะในศาสนาพราหมณ์....
ทศพิธ ราชธรรม อันหมายถึงธรรม ๑๐ ประการคือ...
๑ ทาน = การให้
๒ ศีล = ความประพฤติเรียบร้อยดีงาม
๓ บริจาค = เสียสละความสุขสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
๔ อาชชวะ = ความซื่อตรง
๕ มัททวะ = ความอ่อนโยน
๖ ตบะ = ความเพียรเผากิเลส
๗ อักโกธะ = ความไม่โกรธ
๘ อวิหิงสา = ความไม่เบียดเบียน
๙ ขันติ = ความอดทน
๑๐อวิโรธนะ = ความหนักแน่น เที่ยงธรรม
เมื่อครั้งเสด็จอำเภอธาตุพนม...๒๔๙๘
แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ถือดอกบัวมารอรับเสด็จแต่เช้าจนดอกบัวเหี่ยว
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเคยเขียนไว้ว่า...
"ตามที่เคยมีคำพังเพยมาแต่ก่อนว่า...รัชกาลที่ ๑ โปรดทหาร
รัชกาลที่ ๒ โปรดกวี และศิลปิน
รัชกาลที่ ๓ โปรดช่างก่อสร้าง (วัด)...
ผมกล้าต่อให้ได้ว่า...รัชกาลที่ ๙ โปรดราษฎร"
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกราบบังคมทูลถาม....ทรงเหนื่อยไหม ท้อไหม...
"บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูง
เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทย"
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
====================== ทศพิธราชธรรม =====================
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
เจ้าอาวาสวัดประยูรฯ มีความว่า...
..คำว่า "ครองแผ่นดินโดยธรรม" ในที่นี้หมายถึง "ครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม"...
..ทศพิธราชธรรมนี้มีที่มาจากนิทานชาดกเรื่องมหาหังสชาดก
ในชาดกเรื่องนี้ พญาหงส์ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ได้สนทนาธรรมกับพระเจ้ากรุงพาราณสีเรื่องทศพิธ ราชธรรม
หรือธรรมของพระราชา ๑๐ ประการ โดยพระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสเล่าให้พญาหงส์ฟังว่า...
....เราพิจารณาเห็นธรรม ๑๐ ประการที่มีอยู่ในตัวเราเหล่านี้
ทำไมทศพิธราชธรรมในมหาหังสชาดกนี้จึงได้มี อิทธิพลต่อรัฏฐาภิปาลโนบาย
หรือวิธีการปกครองบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบันมากยิ่งกว่าคำสอนเรื่องอื่น...
..เหตุที่ทศพิธราชธรรมในมหาหังสชาดกมีอิทธิพลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากมายขนาดนั้น
ก็เนื่องมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นกฎหมายหลักคู่บ้านคู่เมือง ของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้ถูกใช้เป็นกฎหมายแม่บทมาก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญใน ประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕
จนกระทั่งคำว่า "ธรรมศาสตร์" ในสมัยก่อนถูกใช้ในความหมายเดียวกับคำว่า "นิติศาสตร์" ในสมัยนี้
ดังนั้นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ก็คือคัมภีร์นิติศาสตร์นั่นเอง....
...พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตต้องถือปฏิบัติตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งมี ต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ดั้งเดิมของอินเดียมีชื่อว่าพระมนูธรรมศาสตร์ ซึ่งว่าด้วยวิธีการปกครองของคนในวรรณะกษัตริย์
ตามหลักวรรณธรรมคือหน้าที่ ประจำวรรณะในศาสนาพราหมณ์....
ทศพิธ ราชธรรม อันหมายถึงธรรม ๑๐ ประการคือ...
๑ ทาน = การให้
๒ ศีล = ความประพฤติเรียบร้อยดีงาม
๓ บริจาค = เสียสละความสุขสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
๔ อาชชวะ = ความซื่อตรง
๕ มัททวะ = ความอ่อนโยน
๖ ตบะ = ความเพียรเผากิเลส
๗ อักโกธะ = ความไม่โกรธ
๘ อวิหิงสา = ความไม่เบียดเบียน
๙ ขันติ = ความอดทน
๑๐อวิโรธนะ = ความหนักแน่น เที่ยงธรรม
แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ถือดอกบัวมารอรับเสด็จแต่เช้าจนดอกบัวเหี่ยว
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเคยเขียนไว้ว่า...
"ตามที่เคยมีคำพังเพยมาแต่ก่อนว่า...รัชกาลที่ ๑ โปรดทหาร
รัชกาลที่ ๒ โปรดกวี และศิลปิน
รัชกาลที่ ๓ โปรดช่างก่อสร้าง (วัด)...
ผมกล้าต่อให้ได้ว่า...รัชกาลที่ ๙ โปรดราษฎร"
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกราบบังคมทูลถาม....ทรงเหนื่อยไหม ท้อไหม...
เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทย"