หลังจากที่ได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวที่เก็บเอาไว้นานกับกระทู้
http://pantip.com/topic/32851890 และต่อด้วย
http://pantip.com/topic/32856674 ในภาคสองของรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางประการ
เรื่องราวของผมในคราวนี้ก็เป็นช่วงของการทำใจ ปล่อยให้อะไรต่ออะไรเป็นไปตามแบบที่มันควรจะเป็น ไม่เร่งเร้าไม่คิดยอกย้อน ไม่รื้อฟื้นหรือโอดครวญให้มันกลับมาครับ ณ วันนี้ผ่านมาก็น่าจะประมาณเดือนหนึ่งได้แล้ว นับตั้งแต่เหตุการณ์แบบสุดๆ ที่ผมชัดเจนแล้วว่า "เขา" หมดความรู้สึกกับผมและทิ้งร่องรอยของความอัดอั้นจากทุกสิ่งที่ผมทุ่มเทไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา
ต่อให้เจ็บปวดกว่านี้แบบ
ร้อยเท่าพันทวี อย่างที่โบราณท่านว่า ผมก็ยังยืนบนโลกใบเดียวกันเขาครับ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไปแสวงหาความบันเทิงตามสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเกย์อยู่เรื่อยเปื่อย เจอเขาคนนั้นที่ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะ "กล้า" มาสถานที่ที่ผมมาเที่ยวอยู่ประจำได้
ในความรู้สึกลึกๆ นะครับ ผมคิดว่าสถานที่ที่ผมเลือกมาแห่งนี้เป็นที่สำหรับเกย์จริง แต่ก็ไม่ได้โด่งดัง เป็นที่สงบเงียบ และหลบจากสายตาคนหมู่มาก เป็นเหมือนบ้านพักใจเล็กๆ ของผมที่ช่วยให้ผมหลีกหนีจากปัญหาบ้าบอต่างๆ นานาได้สักชั่วครู่ชั่วยาม
อีกประการหนึ่งคือ หลังจากเกิดเรื่องที่ผมขอลาจากเขาไปวันนั้น มันก็เกิดที่สถานที่แห่งนี้ที่เดิมรอยเดิมนี่แหล่ะครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะมีกระจิตกระใจอยากจะมาในสถานที่เดิม ที่ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่ามาแล้วยังไงก็คงจะต้องเผชิญหากับผมเพราะว่าผมมาที่นี่ประจำ
คิดดูซิครับ วันนั้นมาเจอกันอีกครั้ง
ตาต่อตา ตัวต่อตัว หน้าเผชิญหน้า
ในใจวันนั้นที่เจอกันอีก ผมไม่มีความคิดอะไรเลยครับ เหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ เป็นคนที่น่าสงสารเหมือนหลงทางหาสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นอยู่ไม่เจอ นอกเหนือไปจากหน้าตา รูปร่าง และทรงผมเปีะตามแบบเมโทรเกย์ที่สื่อต่างๆ ประโคมโปรโมทกัน
จริงๆ ครับ คิดว่า
"เออ คนอย่างเขา
นอกจากคิดว่าทำให้ตัวเองดูดีแล้วมีคนสนใจ
แล้วอย่างอื่นไม่มีจะแXก
แหกคอกหลอกให้คนอื่นคอยช่วยเหลือ ก็ตลกดีนะ"
ดูสภาพเขาแบบจังๆ หน้าแล้ว สภาพผมก็สู้ไม่ได้หรอกครับ เวลาเขาว่างเยอะ ร้านที่ลงทุนขายของเครื่องความงานก็คงใกล้เจ๊ง งานออฟฟิสก็คงเยอะ เครียดมากไม่มีเวลา เลยใช้เป็นข้ออ้างว่าขอพักสักหน่อย

(แต่ตอนผมทุ่มเทช่วยเหลือเรื่องก่อนๆ ที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้พักนะ อยากให้รู้ด้วย แล้วเขาจะหาเรื่องพักอะไรนักหนา)
ย้อนนึกไปถึงเรื่องตอนเขาป่วยเข้าโรงพยาบาล เพราะปอดอักเสบสูบบุหรี่จัดบวกเครียด ผมนี่ก็ไปเยี่ยมถึงห้อง เขาอยากกินผลไม้ผมก็ลงไปซื้อให้เต็มใจทำทุกอย่าง
ย้อนนึกอีกเรื่องก็มีเรื่องวันเกิดเขาที่ผมส่ง Ms Lilly ไปถึงโตีะทำงาน ตั้งใจให้เซอร์ไพรส์ แต่เอาจริงๆ มาบอกผมว่าอายเขิล ให้ถ่ายรูปกระเช้ามาให้ดูหน่อยก็แกล้งเบลอทำลืม (หรืออายที่ผมทำให้คนทั้งออฟฟิสรู้ว่าเขาไม่โสดนะจะขายเสน่ห์ออกยากล่ะมั้ง)
สรุปที่ย้อนๆ ไปไล่ๆ มา ผมคิดว่า
"เอาล่ะ ผมว่าเขามีชีวิตสบายบนพื้นฐานของความลำบากของผมมานานแล้ว"
และผมจะใช้ทุกอย่างที่ผมมี เอามาเสกสรรปั้นแต่งอะไรต่ออะไรให้มันเป็นมากกว่า "เปลือก" ที่เขาสวมใส่ไม่ดีกว่าเหรอ
การเปลี่ยนแปลงในชีวิตผมก็เลยเกิดขึ้นครับ














- ตลอด 1 เดือนมานี้ ใครเชิญผมไปงานไหน ไฮโซมากน้อยขนาดไหน ผมไปหมด รับออกทุกงาน ในเมื่อผมต้องมีชีวิตที่ลดตัวลงไปคบกับคนระดับเขาที่ทำตัวไม่เหมือนคนเป็น manager เลยสักนิด ผมก็ควรมีสังคมที่ผมควรอยู่
- ทุกสัปดาห์ที่ไปสอน ผมทั้งทำผมใหม่ ซื้อครีมแพงๆ เสื้อผ้าหรูๆ หาร้านทำหน้า ใช้จ่ายทุกอย่างที่เขาว่ากันว่าทำให้เราดูดีสวยขึ้นได้แบบทันตา
- ซื้อหาอาหารเสริมพวกเล่นกล้ามาด้วยนะครับ ทั้งกินเป้นเม็ด ทั้งละลายน้ำ ทั้งทา แบบว่ารูดบัตรไม่ต่อราคา เดินปรี่เข้าไปบอกเอานู่นี่นั่น แล้วจัดมาเลย เอาแบบเซลล์งง ลุกค้าคนอื่นในร้านก็เหว๋อไปบ้างว่าอีนี่มาถึงไม่ถามอะไร มีอะไรเอาหมดว่างั้น
- ออกกำลังบ้างครับ แต่ไม่ได้ "บ้า" ขนาดต้องซื้อสมาชิกแล้วเอาสังขารตัวเองถ่ายรูปเช็คความ popular ตาม social media ผมเองเกิดมาพร้อม social media มาตั้งแต่ก่อนปี 2007 แล้วล่ะครับ ความรู้สึก ego ที่เกิดจากการใช้ social media สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่อง "โบราณ" เกินไป














กิจกรรมที่ทำๆ ไปก็ให้ผลดีบ้างนะครับ ช่วงนี้กินได้นอนหลับ งานใครด่วนใครรีบไม่ค่อยแคร์ หนี้บัตรเครดิตจะมีลอยตัวก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวลูกค้าก็เอางานมาให้แล้วเอาเงินไปจ่ายบัตรที่หลังเองแหล่ะ ไม่ต้องแคร์โลกครับ แคร์ตัวเองมาที่สุด สบาย
ผลลัพธ์ก็ดีนะครับ เป็นเพราะดาวเสาร์ย้ายตำแหน่งรึป่าวก็ไม่รู้ 555555
เหมือนได้น้ำหนักเพิ่มมาตามที่คิดไว้ขำๆ ว่าอยากอ้วนบ้าง แม้จะเป็นคนผอมมาตั้งแต่เกิดก็เถอะ
พอน้ำหนักเพิ่มหน่อย ก็เหมือนมีน้ำมีนวลมั้งครับ ไปเที่ยวสถานเริงรมย์ที่ประจำ ก็มีคนแปลกหน้ามาเกาะแกะทุกรอบบิน
ตลกดีเหมือนกันครับ
สรุปว่า
1. เกย์ต้องทำตัวกันแบบนี้
2. เกย์ต้องทำกินของแบบนี้
3. เกย์ต้องทำใช้ของแบบนี้
4. เกย์ต้องทำออกกำลังให้บึกๆ แบบนี้จะได้มีคนมาเทเงินและเทอะไรต่ออะไรให้ไม่เชื่อเพื่อสุขภาพสักเท่าไหร่หรอก
แล้วจะต้องหาคนที่รวยกว่าและโง่กว่าเพื่อจะทุ่มเทให้คนที่ทำสี่อย่างที่บอกไว้
จริงๆ แล้วผมไม่คิดว่าทุกคนที่ทำแบบข้างบนที่ว่าจะเหมือนกันหมดนะครับ มันเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เพียงผมแค่งงๆ กับสมมติฐานโง่ๆ ของผมที่จบ ดร. จาก online distant learning university จาก US ว่า
"เสียเงินทำตามแบบที่เขาทำๆ กันซิ แล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนกันเองแหล่ะ"
ณ วันนี้ผมว่าผมไม่ยินดียินร้ายอะไรกับเขาคนนั้นแล้วล่ะครับ เจอหน้ากัน คงไม่ใช่ผมที่จะหลบหน้า
แต่เป็นเขาต่างหากที่ต้องหาทางแทรกตัวหลบหน้าให้ไปไกลๆ จากสายตาและความรู้สึกของผม
ผมไม่ต้องพึ่งหมอเพื่อขอยา XANAX แล้วครับ
แก้เครียด้วยการใช้จ่ายไปกับเรื่องที่สังคมเขาทำๆ กันแล้วก็ไม่สร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่อีกต่อไป
รอดูแค่ว่า
ผมจะกลายเป้นคนที่ดูดีขึ้นมาได้จริงหรือเปล่า
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น
ชีวิตผมจะเปลี่ยนไป ... อย่างไร
[18+ ยิ่งกว่า“ความรักกับความลับ”] ภาค 3 หลังจากผ่านวันที่ได้ติดสินใจไปแล้ว 1 เดือนครับ
หลังจากที่ได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวที่เก็บเอาไว้นานกับกระทู้ http://pantip.com/topic/32851890 และต่อด้วย http://pantip.com/topic/32856674 ในภาคสองของรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางประการ
เรื่องราวของผมในคราวนี้ก็เป็นช่วงของการทำใจ ปล่อยให้อะไรต่ออะไรเป็นไปตามแบบที่มันควรจะเป็น ไม่เร่งเร้าไม่คิดยอกย้อน ไม่รื้อฟื้นหรือโอดครวญให้มันกลับมาครับ ณ วันนี้ผ่านมาก็น่าจะประมาณเดือนหนึ่งได้แล้ว นับตั้งแต่เหตุการณ์แบบสุดๆ ที่ผมชัดเจนแล้วว่า "เขา" หมดความรู้สึกกับผมและทิ้งร่องรอยของความอัดอั้นจากทุกสิ่งที่ผมทุ่มเทไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา
ต่อให้เจ็บปวดกว่านี้แบบ ร้อยเท่าพันทวี อย่างที่โบราณท่านว่า ผมก็ยังยืนบนโลกใบเดียวกันเขาครับ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไปแสวงหาความบันเทิงตามสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเกย์อยู่เรื่อยเปื่อย เจอเขาคนนั้นที่ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะ "กล้า" มาสถานที่ที่ผมมาเที่ยวอยู่ประจำได้
ในความรู้สึกลึกๆ นะครับ ผมคิดว่าสถานที่ที่ผมเลือกมาแห่งนี้เป็นที่สำหรับเกย์จริง แต่ก็ไม่ได้โด่งดัง เป็นที่สงบเงียบ และหลบจากสายตาคนหมู่มาก เป็นเหมือนบ้านพักใจเล็กๆ ของผมที่ช่วยให้ผมหลีกหนีจากปัญหาบ้าบอต่างๆ นานาได้สักชั่วครู่ชั่วยาม
อีกประการหนึ่งคือ หลังจากเกิดเรื่องที่ผมขอลาจากเขาไปวันนั้น มันก็เกิดที่สถานที่แห่งนี้ที่เดิมรอยเดิมนี่แหล่ะครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะมีกระจิตกระใจอยากจะมาในสถานที่เดิม ที่ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่ามาแล้วยังไงก็คงจะต้องเผชิญหากับผมเพราะว่าผมมาที่นี่ประจำ
คิดดูซิครับ วันนั้นมาเจอกันอีกครั้ง
ในใจวันนั้นที่เจอกันอีก ผมไม่มีความคิดอะไรเลยครับ เหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ เป็นคนที่น่าสงสารเหมือนหลงทางหาสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นอยู่ไม่เจอ นอกเหนือไปจากหน้าตา รูปร่าง และทรงผมเปีะตามแบบเมโทรเกย์ที่สื่อต่างๆ ประโคมโปรโมทกัน
จริงๆ ครับ คิดว่า
"เออ คนอย่างเขา
นอกจากคิดว่าทำให้ตัวเองดูดีแล้วมีคนสนใจ
แล้วอย่างอื่นไม่มีจะแXก
แหกคอกหลอกให้คนอื่นคอยช่วยเหลือ ก็ตลกดีนะ"
ดูสภาพเขาแบบจังๆ หน้าแล้ว สภาพผมก็สู้ไม่ได้หรอกครับ เวลาเขาว่างเยอะ ร้านที่ลงทุนขายของเครื่องความงานก็คงใกล้เจ๊ง งานออฟฟิสก็คงเยอะ เครียดมากไม่มีเวลา เลยใช้เป็นข้ออ้างว่าขอพักสักหน่อย
ย้อนนึกไปถึงเรื่องตอนเขาป่วยเข้าโรงพยาบาล เพราะปอดอักเสบสูบบุหรี่จัดบวกเครียด ผมนี่ก็ไปเยี่ยมถึงห้อง เขาอยากกินผลไม้ผมก็ลงไปซื้อให้เต็มใจทำทุกอย่าง
ย้อนนึกอีกเรื่องก็มีเรื่องวันเกิดเขาที่ผมส่ง Ms Lilly ไปถึงโตีะทำงาน ตั้งใจให้เซอร์ไพรส์ แต่เอาจริงๆ มาบอกผมว่าอายเขิล ให้ถ่ายรูปกระเช้ามาให้ดูหน่อยก็แกล้งเบลอทำลืม (หรืออายที่ผมทำให้คนทั้งออฟฟิสรู้ว่าเขาไม่โสดนะจะขายเสน่ห์ออกยากล่ะมั้ง)
สรุปที่ย้อนๆ ไปไล่ๆ มา ผมคิดว่า
"เอาล่ะ ผมว่าเขามีชีวิตสบายบนพื้นฐานของความลำบากของผมมานานแล้ว"
และผมจะใช้ทุกอย่างที่ผมมี เอามาเสกสรรปั้นแต่งอะไรต่ออะไรให้มันเป็นมากกว่า "เปลือก" ที่เขาสวมใส่ไม่ดีกว่าเหรอ
การเปลี่ยนแปลงในชีวิตผมก็เลยเกิดขึ้นครับ
- ตลอด 1 เดือนมานี้ ใครเชิญผมไปงานไหน ไฮโซมากน้อยขนาดไหน ผมไปหมด รับออกทุกงาน ในเมื่อผมต้องมีชีวิตที่ลดตัวลงไปคบกับคนระดับเขาที่ทำตัวไม่เหมือนคนเป็น manager เลยสักนิด ผมก็ควรมีสังคมที่ผมควรอยู่
- ทุกสัปดาห์ที่ไปสอน ผมทั้งทำผมใหม่ ซื้อครีมแพงๆ เสื้อผ้าหรูๆ หาร้านทำหน้า ใช้จ่ายทุกอย่างที่เขาว่ากันว่าทำให้เราดูดีสวยขึ้นได้แบบทันตา
- ซื้อหาอาหารเสริมพวกเล่นกล้ามาด้วยนะครับ ทั้งกินเป้นเม็ด ทั้งละลายน้ำ ทั้งทา แบบว่ารูดบัตรไม่ต่อราคา เดินปรี่เข้าไปบอกเอานู่นี่นั่น แล้วจัดมาเลย เอาแบบเซลล์งง ลุกค้าคนอื่นในร้านก็เหว๋อไปบ้างว่าอีนี่มาถึงไม่ถามอะไร มีอะไรเอาหมดว่างั้น
- ออกกำลังบ้างครับ แต่ไม่ได้ "บ้า" ขนาดต้องซื้อสมาชิกแล้วเอาสังขารตัวเองถ่ายรูปเช็คความ popular ตาม social media ผมเองเกิดมาพร้อม social media มาตั้งแต่ก่อนปี 2007 แล้วล่ะครับ ความรู้สึก ego ที่เกิดจากการใช้ social media สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่อง "โบราณ" เกินไป
กิจกรรมที่ทำๆ ไปก็ให้ผลดีบ้างนะครับ ช่วงนี้กินได้นอนหลับ งานใครด่วนใครรีบไม่ค่อยแคร์ หนี้บัตรเครดิตจะมีลอยตัวก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวลูกค้าก็เอางานมาให้แล้วเอาเงินไปจ่ายบัตรที่หลังเองแหล่ะ ไม่ต้องแคร์โลกครับ แคร์ตัวเองมาที่สุด สบาย
ผลลัพธ์ก็ดีนะครับ เป็นเพราะดาวเสาร์ย้ายตำแหน่งรึป่าวก็ไม่รู้ 555555
เหมือนได้น้ำหนักเพิ่มมาตามที่คิดไว้ขำๆ ว่าอยากอ้วนบ้าง แม้จะเป็นคนผอมมาตั้งแต่เกิดก็เถอะ
พอน้ำหนักเพิ่มหน่อย ก็เหมือนมีน้ำมีนวลมั้งครับ ไปเที่ยวสถานเริงรมย์ที่ประจำ ก็มีคนแปลกหน้ามาเกาะแกะทุกรอบบิน
ตลกดีเหมือนกันครับ
สรุปว่า
1. เกย์ต้องทำตัวกันแบบนี้
2. เกย์ต้องทำกินของแบบนี้
3. เกย์ต้องทำใช้ของแบบนี้
4. เกย์ต้องทำออกกำลังให้บึกๆ แบบนี้จะได้มีคนมาเทเงินและเทอะไรต่ออะไรให้ไม่เชื่อเพื่อสุขภาพสักเท่าไหร่หรอก
แล้วจะต้องหาคนที่รวยกว่าและโง่กว่าเพื่อจะทุ่มเทให้คนที่ทำสี่อย่างที่บอกไว้
จริงๆ แล้วผมไม่คิดว่าทุกคนที่ทำแบบข้างบนที่ว่าจะเหมือนกันหมดนะครับ มันเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เพียงผมแค่งงๆ กับสมมติฐานโง่ๆ ของผมที่จบ ดร. จาก online distant learning university จาก US ว่า
"เสียเงินทำตามแบบที่เขาทำๆ กันซิ แล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนกันเองแหล่ะ"
ณ วันนี้ผมว่าผมไม่ยินดียินร้ายอะไรกับเขาคนนั้นแล้วล่ะครับ เจอหน้ากัน คงไม่ใช่ผมที่จะหลบหน้า
แต่เป็นเขาต่างหากที่ต้องหาทางแทรกตัวหลบหน้าให้ไปไกลๆ จากสายตาและความรู้สึกของผม
ผมไม่ต้องพึ่งหมอเพื่อขอยา XANAX แล้วครับ
แก้เครียด้วยการใช้จ่ายไปกับเรื่องที่สังคมเขาทำๆ กันแล้วก็ไม่สร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่อีกต่อไป
รอดูแค่ว่า
ผมจะกลายเป้นคนที่ดูดีขึ้นมาได้จริงหรือเปล่า
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น
ชีวิตผมจะเปลี่ยนไป ... อย่างไร