[CR] Japan is not my favorite

กระทู้รีวิว
เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้เอง ไปญี่ปุ่นมาสองสามวันน่ะ เลยอยากมาเล่าอะไรให้ฟังบ้างว่าไปทำอะไรมาบ้าง ไม่เน้นรูปนะ
ที่ตั้งชื่อกระทูแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไรญี่ปุ่นนะ เพียงแต่เราค่อนข้างเฉยๆน่ะ เราเห็นหลายคนเขียนถึงญี่ปุ่นในแง่ดี ปลาบปลื้ม ปริ่มเปรมกันมาเยอะแล้ว งั้นเรามาลองดูว่า คนที่เฉยๆแบบเรามีอะไรมาเล่าให้ฟังบ้างน่ะ
เริ่มแรกก็ตามสูตร ไปกับไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ราคาก็ไม่ถูกไม่แพง ไปกลับอยู่ที่ 9375 บาท
ออกจากกรุงเทพบ่ายๆไปถึงสนามบินคันไซ สี่ทุ่มสี่สิบ ไฟลท์นี้ตรงเวลาเป๊ะ
ก้าวแรกออกจากเครื่อง เดินไปตามทาง สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนคือ จากเครื่องเดินเข้ามาที่ตัวตึกแรก มันไม่ใช่อาคารหลักครับ มันเป็นแค่อาคารเชื่อมกับตัวเครื่องเฉยๆ ตอนแรกที่เราเดินเข้ามาคนแรกก็งงนิดหน่อย พอคนที่เดินตามหลังเรามา เค้าก็ไปยืนรอตรงที่เป็นประตูกระจกที่จะเป็นทางเชื่อมกับรถไฟฟ้าเล็กๆที่จะพาเราไปสู่อาคารหลักที่เป็นเทอมินัลจริงๆของสนามบิน พอขึ้นรถไฟฟ้าคันเล็กๆไปถึงตัวเทอมินัลก็จะผ่านด่าน ตม.ล่ะ วันนี้คนน้อยครับ แค่ห้านาทีถึงเรียบร้อยแล้ว
พอผ่านเข้ามาก็ตามสูตรอีกคือ คืนนี้จะนอนที่นี่แหละ เริ่มเดินสำรวจก่อน ว่าอะไรอยุ่ตรงไหน เราเลือกชั้นสอง เพราะชั้นนี้เป็นชั้นที่จะเชื่อมออกไปที่ตัวสถานีรถไฟ มีร้านแมค ลอสัน มีเลาน์ของสนามบินที่มีบริการห้องอาบน้ำพร้อม เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง


เลือกนอนตรงนี้เพราะ เป็นที่เปิดโล่ง มีเบาะแบบนี้ติดกันอยู่สี่ตัว มีคนนอนอยู่แล้วสองตัว ติดกับเสาร์มีปลั๊กให้ชาร์จแบตได้ อยู่ในจุดที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอด เพราะมันเป็นจุดที่คนที่เดินจากฝั่งสถานีรถไฟ ไปร้านแมค ร้านลอสันต้องผ่าน ปัญหาของเราคือเรามาคนเดียว จะไปไหนก็ต้องหอบเป้ไปด้วย หลังๆเริ่มขี้เกียจ เราเห็นคนที่นอนใกล้ๆ ก็มาคนเดียวเหมือนกัน เห็นเค้าเดินไปร้านแมค แล้วก็ทิ้งเป้ไว้ เราเลยเอามั่ง เอาแต่เงินกับกล้องไป ทิ้งเป้ไว้ ไปโน่น ไปนี่ กลับมาก็ปกตินะ สรุปเราว่า นอนตรงนี้ก็ปลอดภัยนะ เหมือนกับคนที่นอนก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของอะไร ถ้ามีคนที่ไม่ได้นอนตรงนี้มาทำอะไร เค้าคงช่วยดูให้มั้ง เว้นแต่เค้าจะขโมยซะเอง ซึ่งเราดูสถานการณ์แล้ว คงไม่มีใครคิดจะขโมยอะไรใครหรอกมั้ง นอนไป ตื่นประมาณ ตีห้าก็ไปอาบน้ำที่เลาน์ของสนามบินที่อยุ่ใกล้ๆนั่นแหละ ค่าอาบน้ำ 510 ผ้าเช็ดตัวอีกสามร้อยกว่าๆมั้ง ห้องอาบน้ำกว้างมาก สบายเลยล่ะ มีที่วางของเหลือเฟือน่ะ เราได้ห้องเบอร์ห้าน่ะ ไม่รู้ห้องอื่นกว้างแบบนี้รึเปล่านะ เพราะเคยอ่านรีวิวบอกว่า ห้องอาบน้ำค่อนข้างเล็กและแคบ แต่ห้องนี้มันใหญ่มากนะ ไม่ได้ถ่ายรูปน่ะ ต้องรีบไปเอาตั๋ว JR kansai area pass  อ่อเรื่องอาบน้ำที่นี่ ตอนแรกก็มีคนบอกว่ามันมีผ้าเช็ดตัวแบบเล็กกับแบบใหญ่ เราก็เลือกแบบเล็กละกันถูกหน่อย แต่...มันเล็กมาก มันน่าจะเรียกว่าผ้าเช็ดหน้าซะมากกว่าน่ะ ถ้าใครไม่อยากเสียตัง เอาผ้ามาเองก็ได้นะ เอาแบบผ้าเก่าๆใช้แล้วก็ทิ้งไปเลยก็ได้นะ
หลังจากไปเอา JR Pass แล้ว ต้องรอเจ็ดโมงไปซื้อบัตร Osaka amazing pass สำหรับเรื่องพาสต่างๆนี่ก็แล้วแต่นะว่าใครสนใจอะไรยัง เราก็คิดหลายตลบนะว่าจะเอาแบบไหนดี แต่ดูจากโปรแกรมของตัวเองก็เลยเลือกแบบนี้ ข้อดีของการใช้พาสอย่างนึงคือ เวลาขึ้นรถมันสะดวกมากเลย ไม่ต้องรอซื้อบัตร เดินผ่านเข้าออกสบายเลย
ปัญหาแรกที่เจอวันนี้หลังจากนั่งรถไฟเข้าเมือง ตอนแรกว่าจะเอาของไปไว้ที่โรงแรม แล้วค่อยออกไปปราสาทโอซาก้า ปรากฏว่า ฝนตกครับ ตกหนักด้วย ลงจากรถไฟ วิ่งตากฝนไปโรงแรม โชคดีที่เลือกโรงแรมใกล้สถานีมากวิ่งสิบเมตรก็ถึงแล้วว  โชคดีอีกรอบคือ โรงแรมบอกให้เช็คอินได้เลยตอนนั้นเลย ตอนนั้นก็เกือบ 9 โมงเช้า เอาของขึ้นไปเก็บในห้อง ก็โอเค ไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่ได้ มีห้องน้ำในตัว แต่ห้องอาบน้ำต้องใช้ห้องรวม นั่งๆนอนๆรอดูว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุด แต่ท่าทางจะทั้งวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจลุยเลย เอาเสื้อกันฝนมาแล้วก็ออกไปปราสาทโอซาก้าเลย
ฝนก็หยุดๆตกๆ จากโรงแรมจะต้องขึ้นรถที่สถานี shinimamiya นั่งไปลงที่ osakajo
เรื่องนั่งรถไฟนี่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายคน รวมถึงเราด้วย การนั่งจากสนามบินมามันง่ายเพราะเป็นต้นทางมีคันเดียว ไม่มีหลงแน่นอน แต่พอมาถึงสถานีย่อยๆในเมืองแล้ว ขอบอกเลยว่า เห็นครั้งแรกก็มึนเหมือนกัน นี่แค่สถานีเล็กๆมีแค่สี่ราง ยังงงเลยว่า ไปทางไหนดีวะ ง่ายๆเลย ถามพนักงานสถานี นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว  แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะลงตอนไหนล่ะ อันนี้บอกตรงๆเลย ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอก ก็คอยมองว่าเห็นปราสาทรึยัง คอยฟังเสียงประกาศในรถไฟ เค้าจะคอยประกาศว่าสถานีต่อไปคืออะไร คล้ายบีทีเอสนั่นแหละ พอรถไฟใกล้ปราสาท เราเห็นตัวปราสาทแล้ว ได้ยินเสียงประกาศว่า osakajo เราก็โอเค ถึงแล้วแน่เลย มีคนลงเยอะ มีฝรั่งลงด้วย ต้องใช่แน่ๆ

ฝนก็ยังตกอยู่ แต่เบาลงเยอะแล้ว เดินไปเรื่อยๆ ขอบอกว่าเดินไกลกว่าที่คิดมากกก  

นอกจากเดินไกลแล้วยังต้องเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆอีกนะ

ต้นไม้แดงต้นสุดท้ายยังเหลืออยู่ มีคนไปรุมถ่ายรูปด้วย ช่วงที่ไปนี่ฝนตกมาหลายวันแล้ว โดนฝนกระหน่ำจนร่วงไปเยอะแล้ว

วันที่ไปถึงนี่ตอนประมาณเกือบๆสิบโมงเช้า วันนี้มีเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษาด้วย คนแน่นมาก แน่นจนร้อนเลยล่ะ กว่าจะเบียดเสียดกันขึ้นไปบนยอดได้นี่เล่นเอาเหงื่อออกเลย

ระหว่างแต่ละชั้น ก็คล้ายๆเป็นมิวเซียม มีของโชว์พวกดาบซามูไร ชุดเกราะ แต่ห้ามถ่ายรูปน่ะ พอขึ้นไปถึงยอดก็เห็นวิวประมาณนี้

เราเดินดูรอบๆ ถ่ายรูปบ้างแล้วก็ลงมาข้างล่าง สรุปว่า เฉยๆกับที่นี่น่ะ ร้อนด้วย ลงจากปราสาทก็เดินย้อนกลับไปทางสถานีรถไฟ เนื่องจากเราซื้อ Osaka amazing pass ที่ใช้เป็นบัตรโดยสารแล้ว มันยังมีโปรแกรมต่างๆให้ใช้ฟรีด้วย เราก็ไม่ได้คิดไรมาก ไปตามโปรแกรมเลย ปราสาทโอซาก้าก็เป็นโปรแกรมแรก มีบัตรเข้าฟรี โปรแกรมต่อมา ล่องเรือรอบเมือง ปกติถ้าเป็นช่วงอากาศดีจะต้องจ่ายพันเจ็ดเลย แต่วันที่เราไปนี่ 1 ธันวาพอดี เข้าหน้าหนาว ล่องเรือฟรีจ้าาา แต่...ฝนมันตกเว้ยยย แต่ไหนๆเราก็มาแล้ว ก็ต้องล่องล่ะ ท่าเรืออยู่ก่อนถึงทางออกไปที่สถานีรถไฟ เรือออกสิบเอ็ดโมง รอห้านาทีพนักงานก็เรียกลงเรือ เราดูแผนที่ที่เค้าแจกมาด้วย เรือจะวิ่งรอบๆเกาะเมืองแล้ววนกลับมาที่เดิม ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เราคิดว่าจะไม่กลับมา เราดูแล้วเราจะนั่งไปลงที่ท่าเรือใกล้ๆสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อนั่งต่อไปที่อุเมดะ เพื่อจะนั่งชิงช้าสวรรค์ Hep Five  ขึ้นเรือไปก็พยายามจะดูว่ามีวิวอะไรบ้าง แต่เปล่าประโยชน์น่ะ ฝนตกเค้าก็เอาหลังคาลง มองอะไรแทบไม่เห็นเลยนะ สภาพก็คล้ายๆนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาแต่ปิดกระจกหมดนั่นแหละ  
สภาพภายในเรือก็ประมาณนี้

เนื่องจากเราไม่ได้ใช้อินเตอร์เนทระหว่างเดินทาง เพราะรู้สึกว่าแพงแล้วก็ไม่ค่อยจำเป็นน่ะ จริงๆแล้วงกนั่นแหละ มีแต่แผนที่ที่แจกฟรีที่สนามบิน แต่สิ่งสำคัญที่เราเอาติดตัวไปด้วยตลอดที่เดินทางคือ เรามีเข็มทิศอันเล็กๆไปด้วยเสมอ เอาไว้เช็คทิศทางเทียบกับแผนที่ว่าไปถูกทิศถูกทางรึเปล่า เวลาขึ้นรถไฟก็จะเอาเข็มทิศวางเทียบว่ามันวิ่งไปทางที่เราจะไปแน่นะ เพราะความเสี่ยงที่จะขึ้นรถไฟผิดทางมีโอกาสพลาดได้ง่ายๆเหมือนกัน
เรานั่งเรือไปเรื่อยๆ ต้องคอยดูว่าถึงไหนแล้ว ดูจากแผนที่ลอดสะพาน 3 สะพานก็จะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน พอเรือจอดเราก็ลงแล้วนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่อุเมดะ การนั่งรถไฟใต้ดินที่โอซาก้านี่ค่อนข้างง่ายกว่านั่งรถไฟบนดินมากเลย สบายๆน่ะ
สถานีอุเมดะเป็นจุดเชื่อมต่อกับสถานีโอซาก้า ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่มากกก รอบล้อมด้วยร้านค้า ห้างร้านมากมาย เป้าหมายแรกคือ หาอะไรกินก่อนเริ่มหิวแล้ววว  เราไม่ค่อยเน้นเรื่องกินเท่าไหร่นะ ก็จะหาอะไรที่กินง่ายๆไม่แพงมาก แต่วันนี้อยากกินก๋วยเตี๋ยวน่ะ ก็เดินๆดูไป เห็นร้านๆนึงราคาพอได้ จริงๆก็แพงนะ เกือบๆพันเยน แต่ร้านส่วนใหญ่ก็ราคาประมาณนี้ทั้ง ดูรูปแล้วก็น่าจะได้อยู่
เรื่องกิน เราว่าเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกันสำหรับหลายๆคน ยิ่งเรานี่ความรู้เรื่องอาหารญี่ปุ่นน้อยมาก ปีนึงเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นไม่เกินห้าครั้งได้มั้ง พอเข้าไปในร้าน จะสั่งอะไรก็ไม่รู้เรื่องน่ะ ทำได้อย่างเดียวคือ ดูรูปแล้วก็เอานิ้วจิ้มๆไป ความจริงถ้ามีความรู้เรื่องอาหารญี่ปุ่นดีกว่านี้ คงได้กินอะไรดีๆ อร่อยๆมากกว่าที่เป็นอยู่น่ะะ
ปัญหาเกี่ยวกับการกินอีกอย่างนึงในญี่ปุ่นคือ ถ้าเราอยากซื้ออะไรจากร้านสะดวกซื้ออย่างลอสันมากินข้างนอก หรือแม้แต่ของในซุปเปอร์มาเก็ตมากิน ความลำบากอย่างนึงเลยคือ ญี่ปุ่นแทบจะไม่มีที่ให้เรานั่งพักนั่งเล่นเลย ในห้างไม่มีฟูดคอร์ทแบบเมืองไทยที่จะเดินซื้ออะไรจากร้านโน้นร้านนี้แล้วมานั่งกินตามใจได้ หรือแม้แต่ที่พักนั่งเล่นในห้างก็ไม่มี เรียกว่า ถ้าออกจากบ้านหรือโรงแรมแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือ เดิน เดิน เดิน จะหยุดพัก หยุดรอ ก็ต้องยืนเฉยๆ เพราะไม่มีที่ให้นั่ง นอกจากที่สนามบินเท่านนั้น
สรุปมื้อกลางวัน เราก็จัดบะหมี่เย็นกับซุปเป็ด ทุกวันนี้เราก็ยังไม่รุ้ทำไมถึงต้องเป็นบะหมี่เย็นใครมีความรู้เรื่องอาหารญี่ปุ่นช่วยตอบหน่อยว่า การกินบะหมี่เย็นมันมีนัยยะอะไรรึเปล่าน่ะ เพราะตอนเราสั่ง เราเห็นรุปมันน่ากินก็เอานิ้วจิ้มไป แค่นั้นจริงๆ
กินเสร็จก็เปิดแผนที่จะเดินไปชิงช้าสวรรค์ Hep five เดินไปเดินมาหลงเว้ยย ตึกมันเยอะ สุดท้ายถามเอาดีกว่า ง่ายดี ชัวร์สุด เดินไปเรื่อยก็ถึงทางขึ้นไปที่ชิงช้าสวรรค์
ภาพจากชิงช้าสวรรค์ก็ประมาณนี้ ฝนยังตกอยุ่ตลอดเลย

มองจากบนชิงช้าลงไปที่สถานีรถไฟ

พอนั่งวนครบรอบ ก็ลงมา จริงๆวันนั้น ไม่มีใครนั่งเลย นอกจากเรา 555 ฝนมันตกใครจะบ้าไปนั่งล่ะ แต่ช่วยไม่ได้น่ะ มาแล้ว อยู่ในโปรแกรมฟรี ก็ต้องใช้น่ะ ตอนแรกแผนเดิมคือ เราว่าเราต่อไปแถวๆ Bay area ซึ่งก็จะมีชิงช้าสวรรค์ Temposan อีกอันนึง แต่ดูสภาพอากาศแล้ว คงไม่เวิคร์ ฝนตกแบบนี้ จะไปเดินเล่นคงไม่หนุกแหงๆ เราเลยเปลี่ยนแผนว่า นั่งรถไฟต่อไปเกียวโตเลยละกัน
จากสถานีโอซาก้า นั่งรถไฟไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว อ่อ ที่สถานีของ JR มีเนทให้ใช้ฟรีนะ เราสามารถเช็คได้ว่ารถไฟจะมาจะไปกี่โมง แต่ถึงจะเปิดเนทได้ พอเราไปถึงชานชลา มันก็จะงงอยุ่ดี เพราะสถานีนี้ใหญ่มาก รถไฟเข้ามาที่จากทุกทิศทุกทาง สุดท้ายก็ใช้วิธีเดิม ถามเจ้าหน้าที่เพื่อความชัวร์ เค้าก็จะบอกเราเองว่า ให้ไปรอที่ไหน ตรงไหน พอไปถึงตรงแพลทฟอร์มก่อนจะขึ้นรถ ก็จะมีเจ้าหน้ายืนอยู่อีก พอรถไฟมา เราก็ถามให้ชัวร์อีกทีว่า คันนี้ไปเกียวโตนะ ถ้าใช่ก็กระโดดขึ้นไปเลย
การนั่งจากสถานีใหญ่ๆอย่างโอซาก้าไปสถานีใหญ่ๆอย่างเกียวโต ไม่ค่อยมีปัญหาตอนลง เพราะพอถึงเกียวโต เราจะรู้เองโดยสัญชาติญาณเลย เพราะคนลงเยอะ ตัวสถานีก็ใหญ่โตกว่าสถานีที่ผ่านมาน่ะ มาถึงเกียวโตประมาณบ่ายสามนิดๆ เป้าหมายต่อไปคือนั่งรถไปวัดโทฟูคูจิ
ชื่อสินค้า:   โอซาก้า เกียวโต สองสามวัน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่