ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เสด็จตรัสรู้มาแล้วในอดีตก็ตาม และที่จะเสด็จมาตรัสรู้ในอนาคตก็ตาม
ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ที่จะไม่ตรัสพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเทวดา
เทวดากับพระพุทธศาสนาจึงไม่คลาดจากกัน ไม่ว่ากาลเวลาจะยืดยาวนานไปซักเท่าไหร่ก็ตาม
และเทวดากับธรรมชาติก็จะไม่คลาดจากกัน ไม่ว่ากาลเวลาจะยืดยาวนานไปซักเท่าไหร่ก็ตาม
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้จริง เมื่อรู้จริงจึงต้องกล่าวถึงในทุกๆมิติของธรรมชาติที่จะสามารถกล่าวได้
สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดมที่มีผู้กล่าวตู่พระองค์ว่า "เรื่องเทวดา ไม่ใช่คำสอนของพระองค์"
แต่พระองค์ก็ตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟังเกี่ยวกับความเป็นมาของพระองค์ตอนหนึ่ง
ในช่วงก่อนที่จะมาเกิดในโลกมนุษย์และประสูติมาเป็นสิทธัตถะราชกุมาร
เรื่องนี้พระองค์ตรัสไว้ในอัจฉริยัพภูตธัมมสูตร
เล่ม 23 หน้า 39 ( มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)
ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ได้เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ได้สถิตอยู่ในหมู่เทวดาชั้นดุสิต
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์ได้สถิตอยู่ในหมู่เทวดาชั้นดุสิตจนตลอดอายุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตแล้วลงสู่พระครรภ์พระมารดา
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ ในกาลใดพระโพธิสัตว์จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระมารดา
ในกาลนั้น แสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก
พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
แม้ในโลกันตริกนรกมีแต่ทุกข์ ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผยมีแต่ความมืดมิด ซึ่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์
มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้ ส่องแสงไปไม่ถึง ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้
ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ด้วยแสงสว่างนั้น แม้หมู่สัตว์ผู้อุปบัติในนรกนั้นก็รู้กันว่า
แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้ อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ย่อมสะเทือนสะท้าน หวั่นไหว และแสงสว่างอย่างโอฬาร
หาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว
ในกาลนั้น เทวบุตรทั้ง ๔ จะใกล้ชิด (หมายถึงท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔)
พระโพธิสัตว์ถวายอารักขาใน ๔ ทิศ ด้วยคิดว่า มนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือใคร ๆ
อย่าได้เบียดเบียนพระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์เลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
_________________________________________________________________________
พระพุทธเจ้าเป็นเอกอัครบุคคลในโลกที่ไม่มีความทุจริตทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ถ้ามีผู้กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่า สวมรอยความเชื่อประเพณีเรื่องเทวดาเก่าก่อนที่พระองค์จะเกิด
ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้ด้วยความโกหกและงมงาย เพราะนี่เป็นเรื่องของพระองค์เอง
แต่บุคคลอย่างพระพุทธเจ้าไม่มีการโกหกและไม่มีการงมงาย เมื่อพระพุทธเจ้าไม่โกหกไม่งมงาย
พระสูตรนี้ก็แสดงให้ผู้มีสติปัญญาในทางที่ถูกต้องเห็นได้ชัดว่า แล้วใครกันเล่าที่โกหกหลอกมหาชนเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตัดตอนมาจาก
http://board.samyaek.com/board1/index.php?topic=1976.0
พระพุทธเจ้าสมณโคดม มีผู้กล่าวตู่พระองค์ว่า "เรื่องเทวดาไม่ใช่คำสอนของพระองค์"
ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ที่จะไม่ตรัสพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเทวดา
เทวดากับพระพุทธศาสนาจึงไม่คลาดจากกัน ไม่ว่ากาลเวลาจะยืดยาวนานไปซักเท่าไหร่ก็ตาม
และเทวดากับธรรมชาติก็จะไม่คลาดจากกัน ไม่ว่ากาลเวลาจะยืดยาวนานไปซักเท่าไหร่ก็ตาม
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้จริง เมื่อรู้จริงจึงต้องกล่าวถึงในทุกๆมิติของธรรมชาติที่จะสามารถกล่าวได้
สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดมที่มีผู้กล่าวตู่พระองค์ว่า "เรื่องเทวดา ไม่ใช่คำสอนของพระองค์"
แต่พระองค์ก็ตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟังเกี่ยวกับความเป็นมาของพระองค์ตอนหนึ่ง
ในช่วงก่อนที่จะมาเกิดในโลกมนุษย์และประสูติมาเป็นสิทธัตถะราชกุมาร
เรื่องนี้พระองค์ตรัสไว้ในอัจฉริยัพภูตธัมมสูตร
เล่ม 23 หน้า 39 ( มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)
ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ได้เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ได้สถิตอยู่ในหมู่เทวดาชั้นดุสิต
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์ได้สถิตอยู่ในหมู่เทวดาชั้นดุสิตจนตลอดอายุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตแล้วลงสู่พระครรภ์พระมารดา
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ ในกาลใดพระโพธิสัตว์จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระมารดา
ในกาลนั้น แสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก
พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
แม้ในโลกันตริกนรกมีแต่ทุกข์ ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผยมีแต่ความมืดมิด ซึ่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์
มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้ ส่องแสงไปไม่ถึง ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้
ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ด้วยแสงสว่างนั้น แม้หมู่สัตว์ผู้อุปบัติในนรกนั้นก็รู้กันว่า
แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้ อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ย่อมสะเทือนสะท้าน หวั่นไหว และแสงสว่างอย่างโอฬาร
หาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ดูก่อนอานนท์ ในกาลใด พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว
ในกาลนั้น เทวบุตรทั้ง ๔ จะใกล้ชิด (หมายถึงท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔)
พระโพธิสัตว์ถวายอารักขาใน ๔ ทิศ ด้วยคิดว่า มนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือใคร ๆ
อย่าได้เบียดเบียนพระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์เลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
_________________________________________________________________________
พระพุทธเจ้าเป็นเอกอัครบุคคลในโลกที่ไม่มีความทุจริตทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ถ้ามีผู้กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่า สวมรอยความเชื่อประเพณีเรื่องเทวดาเก่าก่อนที่พระองค์จะเกิด
ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้ด้วยความโกหกและงมงาย เพราะนี่เป็นเรื่องของพระองค์เอง
แต่บุคคลอย่างพระพุทธเจ้าไม่มีการโกหกและไม่มีการงมงาย เมื่อพระพุทธเจ้าไม่โกหกไม่งมงาย
พระสูตรนี้ก็แสดงให้ผู้มีสติปัญญาในทางที่ถูกต้องเห็นได้ชัดว่า แล้วใครกันเล่าที่โกหกหลอกมหาชนเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตัดตอนมาจาก
http://board.samyaek.com/board1/index.php?topic=1976.0