ผมขอเวลาคิดหลายวัน เพราะมีความเชื่อว่า
ปัจจัยพื้นฐาสะสมของชีวิตแต่ละคน มีไม่เหมือนกัน
ที่เราตอบไป อาจจะไช้ได้ หรือใช้ไม่ได้
ได้ทะยอยตอบ จนครบแล้ว
เรื่อง รบกวนขอแนวทางครับ
โดย: ............... เมื่อ: วันจันทร์ เวลา 08:43 น.
มีใครบ้างในนี้: ............, endophine
.........., วันจันทร์ เวลา 08:43 น. Block
...........................................................................
ตอนนี้อายุ 44 ครับ รีไทร์แล้วด้วยว่ามาถึงเป้าที่ว่ามีอิสรภาพทางการเงินตามต้องการ
แต่รู้สึกขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตที่เหลือครับ
คำตอบ
ในความเห็นของผม ถือว่าคุณ.....เป็นคนที่ประสพความสำเร็จด้านการเงินที่เร็ว
การที่ประสพความสำเร็จด้านการงาน การเงินเร็วเกินไป บางทีก็ทำให้ชีวิตขาดสีสัน ขาดแรงจูงใจ
บางทีคนเรา หลบหนีจากความเครียดที่ท้าทาย
เพียงเพื่อไปเจอกับเรื่องไม่เครียด แต่ไม่มีความท้าทายแทน
ยกตัวอย่างภรรยาผม จริงๆแล้ว จะลาออกจากงาน มารับบำนาญ มาอยู่บ้านเฉยๆก็ได้
ทุกวันนี้ ผมก็เห็นเธอบ่นเรื่องงานหนัก ภาระรับผิดชอบมีมาก มีปัญหาที่ต้องแก้ไขตลอดเวลา
แต่พอได้หยุดงานหลายๆวัน ไม่มีงานให้ทำ เพราะเคลียร์งานหมดแล้ว
ผมกลับได้ยินเสียงบ่นถึง งานที่อยากจะทำต่อ
ถ้าเครียดแบบนี้ ผมว่าไม่ควรหยุดทำงาน
แล้วมาอยู่เฉยๆ ไม่เครียด แต่ดูเหมือนชีวิตไม่มีจุดหมายที่ให้ท้าทายอีก
ภรรยาผมบอกว่า หมอที่เกษียณราชการแล้ว ส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานจ๊อบ
โดยไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องเงินเป็นหลักเลย เพราะมีมากจนพอแล้ว
เพียงแต่ต้องการมีสังคม มีความรู้สึกว่าชีวิตได้ทำงาน ชีวิตมีความหมาย
ก็เข้าข่าย ทำงานที่มีความเครียดน้อยลง แต่ได้ผลดีด้านสุขภาพจิตมาแทน
ก็ในเมื่อผมเชื่อว่า ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินตามความเชื่อแบบภาพประกอบแล้ว
ก็เท่ากับว่า จริงๆแล้วเธอก็มีอิสรภาพทางเงินคอยหนุนหลังอยู่
คุณ... อาจจะกลับไปหาความท้าทาย ที่เครียดน้อยลง
น่าจะเป็นทางออกที่ดี ?

ไม่ทราบตอนที่คุณ Endophine เริ่มจะลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีแนวคิดยังไงครับ
คำตอบ
ก็คิดเหมือนคนทั่วๆไปครับ
คืออยากจะมีชีวิตที่เหนื่อยน้อยลง ทั้งเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ
ก็คงมีแต่ตลาดหุ้น ที่สามารถตอบสนอง ความต้องการแบบนี้ได้
แสวงหาเงินในตลาดหุ้น ไม่ต้องเหนื่อยกายแน่ๆ ก็แค่ดู อ่าน ฟัง ข้อมูล
แล้วก็จิ้มมือถือ จิ้มคียบอร์ตส่งคำสั่งซื้อขาย
แต่เอาเข้าจริงๆ ไอ้ที่ว่าไม่เหนื่อยกายนี่แหละตัวดีเลย
เพราะแค่เหนื่อยใจ มันหนักหนาสาหัสกว่า เหนื่อยทั้งกายและใจ ที่เราเคยชินมากๆ
เหนื่อยใจ จากความเครียดมากๆเข้า สารพัดโรครุมเร้าจะตามมาในที่สุด
ไม่ว่าโรคกระเพาะ นอนไม่หลับ สุขภาพเสื่อมจากการหมกมุ่นเรื่องเดียวนานๆ
ร้ายที่สุดก็เป็นมะเร็งจากความเครียดสะสมที่มาจากความเหนื่อยใจ
คนจำนวนมาก ถึงกลับเปลี่ยนใจ ยอมกลับไปเหนื่อยกาย แต่เหนื่อยใจน้อยลงดีกว่า
จริงๆแล้ว ผมอยู่ในตลาดหุ้นมาได้จนทุกวันนี้
สิ่งสำคัญ ที่น่าจะมากที่สุดก็คือ
มีต้นทุนทางสังคมที่ค่อนข้างดี
ผมไม่เคยได้รับแรงกดดันจากคนรอบตัว
ทุกคนยอมรับ ชีวิตที่เราเป็นอยู่
ไม่ใช่จะยอมรับ ต่อเมื่อเราต้องเป็น อย่างที่เขาต้องการให้เป็น
เพราะถ้าเอาแบบนั้น ภรรยาผมคงขอหย่าไปนานแล้ว เพราะเราไม่ได้เป้นอย่างที่เขาต้องการ
ถ้ามั่นใจว่า ตัวเองมีต้นทุนทางสังคมดี
ก็เท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลืออีกครึ่ง
ก็ไปตามล่าหาฝันกันเอาเอง จากตลาดหุ้นครับ
ผมก็ตามล่าหาความฝัน มายาวนานถึงสามสิบกว่าปี
เพิ่งจะบรรลุเป้าหมาย เมื่อห้าหกปีที่แล้ว
พออ่านเจอ คนรุ่นใหม่ๆ อยากรวยเร็วๆ รวยง่ายๆ รวยมากๆ จากตลาดหุ้น
ได้แต่นึกสะท้อนใจ เพราะเชื่อว่า คนที่จะทำได้จริงๆ มีไม่ถึงสิบคน จากร้อยคน
ถ้ายอมอดทนปล่อยให้เวลาที่เนิ่นนาน เป็นตัวสะสมความรู้และประสพการณ์แนวตั้งไปเรื่อยๆ
ก็คงถึงเป้าหมายในที่สุด ได้ทุกคน ??
ปล.ผมก็ลงทุนในตลาดมาหลายปีครับ แต่ไม่เคยลงเกิน 10% ของเงินที่มีเลยครับ
ส่วนเงินสดที่มี 90% เป็นเงินเย็นจริงครับเพราะไม่มีความต้องการไปหยิบมาใช้
ที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยก็ประมาณ 10% ต่อปีสม่ำเสมอครับ
คำตอบ
ผมเชื่อว่า คุณ.... น่าจะมีสินทรัพย์สุทธิมากกว่าร้อยล้านบาท
คือมีมากจนเงินเย็นๆ ที่ไม่ต้องหยิบมาใช้ มีมากกึงเก้าสิบเปอร์เซนต์
ถ้ามีผลตอบแทน สม่ำเสมอ ก็น่าจะมีคอนโดหรืออพาร์ทเม้นต์ให้เช่า
มากกว่าการฝากประจำธนาคาร
รู้สึกค่อนข้างหลงทางครับ ว่าจะใช้อะไรเป็นแรงจูงใจดี คำถามอาจจะดูวกวนนะครับ
ตำคอบ
ผมเชื่อภาษิตจีนที่ว่า
พันคน ทุกข์พันอย่าง ร้อยคน ร้อยปัญหา
ไม่มีเงินก็ทุกข์ไปอีกแบบ มีเงินมากๆก็ทุกข์ไปอีกแบบ
เพียงแต่ทุกข์ของคนมีเงิน
ไม่ได้มีความทุกข์ทางความต้องการด้านวัตถุเหมือนคนไม่มีเงิน
ถ้าผมจะตอบว่า ใช้ราคาหุ้นที่มันเหวี่ยงไปมา เป็นแรงจูงใจให้อยากจะเอาชนะมัน
น่าจะเป็นเรื่องที่เหลวไหล สำหรับคนมีเงินระดับคุณ....
ประโยคที่ผมจำได้แม่นที่สุดในหนังโทรทัศน์ญี่ปุ่นเรื่อง"โอชิน" ก็คือ
โอชิน ตัวเอกของเรื่อง ที่สู้ชีวิตมาสารพัดรูปแบบ จนประสพความสำเร็จด้านสินทรัพย์เงินทอง
เธอบอกกับหลาน ที่ตามมาเรียกเธอกลับบ้าน
หลังจากหนีออกมาหาความสงบ ไม่อยากดูลูกๆ แย่งการบริหารห้างสรรพสินค้าที่ตัวเองสร้างขึ้นมาว่า
ช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตก็คือ
ช่วงที่เอาลูกชายคนโตสะพายหลัง แล้วเข็นรถเร่ขายปลาหาเลี้ยงชีพ
ชีวิตมีเป้าหมาย มีความท้าทาย ได้ทำงานเพื่อคนที่ตัวเองรักมากที่สุด
ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีสินทรัพย์มากมาย แต่ไม่มีความสุขทางใจอย่างทุกวันนี้
เป้าหมายชีวิตคน มันต่างกันจริงๆ
ถ้าสามารถกลับไปหาความท้าทายเดิมๆได้ โดยเครียดน้อยลง
ก็น่าจะลองดูนะครับ ??
แต่เป็นความรู้สึกจริงๆครับ จะให้กลับไปสร้างกิจการอะไรอีก ก็ไม่อยากดีลกับ
คนหลากหลายเหมือนที่ผ่านมาครับ รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นน่าจะเหมาะแล้ว
เพราะตัดสินใจด้วยตัวเอง ทำงานด้วยตัวเองคนเดียว
คำตอบ
ถ้าคิดว่า การลงทุนในตลาดหุ้น มีแค่เหนื่อยใจ ไม่ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ
สามารถตัดสินใจเอง รับผิดชอบเองแต่ผู้เดียว
ตลาดหุ้นก็น่าจะทางเลือกหนึ่งของแนวทางที่ต้องการได้ครับ
ติดที่ว่าทำยังไงถึงจะ"กล้า" ลงทุนมากขึ้นครับ
คำตอบ
ถ้ามีเงินเย็น ที่ไม่จำเป็นต้องใช่ มากถึง เก้าสิบเปอร์เซนต์
น่าจะเพิ่มระดับการลงทุน ให้เป็นห้าสิบเปอร์เซนต์เป็นอย่างน้อย
จะกล้าลงทุนมากขึ้น ลองพิจารณาดังนี้คือ
๑ เวลาที่เหลือในตลาดหุ้น ของคุณ... มีกี่ปี่ ผมตีว่า มีเวลาเหลือให้แก้ตัวถ้าพลาด อย่างน้อยอีกยี่สิบปี
๒ ห้าสิบเปอร์เซนต์ที่ใส่เข้าไปในตลาดหุ้น จะสามารถรับระดับความเสียหายได้แค่ไหน
ถ้ารับได้ร้อยเปอร์เซนต์เต็ม เพราะเงินที่เหลือนอกตลาดอีกห้าสิบเปอร์เซนต์ ชีวิตก็ยังอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย
๓ ระดับความเครียดที่จะได้รับจากเงินมายา
อันนี้อาจจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ครับ
ถ่าลงทุนแล่ว ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าตอนไม่ได้เพิ่มเงินลงทุน
จะเครียดมากขึ้นหรือเปล่า
จริงๆแล้ว ข้อสามตอบยากเหมือนกัน
เพราะคุณ...ยังไมเคยเจอกับที่จะเกิดขึ้นจริง
เอาเป็นว่า ผมสนับสนุนให้เพิ่มวงเงินลงทุนเป็นห้าสิบเปอร์เซนต์
ตามเงื่อนไขสามข้อข้างต้นก็แล้วกันครับ
ถ้าตอบไม่ตรงกับที่ต้องการรู้ ต้องขออภัยด้วยครับ


รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ
................... (ขอปิดขื่อไว้ ตามที่เพื่อนสมาขิกได้ขอไว้
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ คำถามจากเพื่อนสมาชิก ที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
ผมขอเวลาคิดหลายวัน เพราะมีความเชื่อว่า
ปัจจัยพื้นฐาสะสมของชีวิตแต่ละคน มีไม่เหมือนกัน
ที่เราตอบไป อาจจะไช้ได้ หรือใช้ไม่ได้
ได้ทะยอยตอบ จนครบแล้ว
เรื่อง รบกวนขอแนวทางครับ
โดย: ............... เมื่อ: วันจันทร์ เวลา 08:43 น.
มีใครบ้างในนี้: ............, endophine
.........., วันจันทร์ เวลา 08:43 น. Block
...........................................................................
ตอนนี้อายุ 44 ครับ รีไทร์แล้วด้วยว่ามาถึงเป้าที่ว่ามีอิสรภาพทางการเงินตามต้องการ
แต่รู้สึกขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตที่เหลือครับ
ในความเห็นของผม ถือว่าคุณ.....เป็นคนที่ประสพความสำเร็จด้านการเงินที่เร็ว
การที่ประสพความสำเร็จด้านการงาน การเงินเร็วเกินไป บางทีก็ทำให้ชีวิตขาดสีสัน ขาดแรงจูงใจ
บางทีคนเรา หลบหนีจากความเครียดที่ท้าทาย
เพียงเพื่อไปเจอกับเรื่องไม่เครียด แต่ไม่มีความท้าทายแทน
ยกตัวอย่างภรรยาผม จริงๆแล้ว จะลาออกจากงาน มารับบำนาญ มาอยู่บ้านเฉยๆก็ได้
ทุกวันนี้ ผมก็เห็นเธอบ่นเรื่องงานหนัก ภาระรับผิดชอบมีมาก มีปัญหาที่ต้องแก้ไขตลอดเวลา
แต่พอได้หยุดงานหลายๆวัน ไม่มีงานให้ทำ เพราะเคลียร์งานหมดแล้ว
ผมกลับได้ยินเสียงบ่นถึง งานที่อยากจะทำต่อ
ถ้าเครียดแบบนี้ ผมว่าไม่ควรหยุดทำงาน
แล้วมาอยู่เฉยๆ ไม่เครียด แต่ดูเหมือนชีวิตไม่มีจุดหมายที่ให้ท้าทายอีก
ภรรยาผมบอกว่า หมอที่เกษียณราชการแล้ว ส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานจ๊อบ
โดยไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องเงินเป็นหลักเลย เพราะมีมากจนพอแล้ว
เพียงแต่ต้องการมีสังคม มีความรู้สึกว่าชีวิตได้ทำงาน ชีวิตมีความหมาย
ก็เข้าข่าย ทำงานที่มีความเครียดน้อยลง แต่ได้ผลดีด้านสุขภาพจิตมาแทน
ก็ในเมื่อผมเชื่อว่า ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินตามความเชื่อแบบภาพประกอบแล้ว
ก็เท่ากับว่า จริงๆแล้วเธอก็มีอิสรภาพทางเงินคอยหนุนหลังอยู่
คุณ... อาจจะกลับไปหาความท้าทาย ที่เครียดน้อยลง
น่าจะเป็นทางออกที่ดี ?
ไม่ทราบตอนที่คุณ Endophine เริ่มจะลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีแนวคิดยังไงครับ
ก็คิดเหมือนคนทั่วๆไปครับ
คืออยากจะมีชีวิตที่เหนื่อยน้อยลง ทั้งเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ
ก็คงมีแต่ตลาดหุ้น ที่สามารถตอบสนอง ความต้องการแบบนี้ได้
แสวงหาเงินในตลาดหุ้น ไม่ต้องเหนื่อยกายแน่ๆ ก็แค่ดู อ่าน ฟัง ข้อมูล
แล้วก็จิ้มมือถือ จิ้มคียบอร์ตส่งคำสั่งซื้อขาย
แต่เอาเข้าจริงๆ ไอ้ที่ว่าไม่เหนื่อยกายนี่แหละตัวดีเลย
เพราะแค่เหนื่อยใจ มันหนักหนาสาหัสกว่า เหนื่อยทั้งกายและใจ ที่เราเคยชินมากๆ
เหนื่อยใจ จากความเครียดมากๆเข้า สารพัดโรครุมเร้าจะตามมาในที่สุด
ไม่ว่าโรคกระเพาะ นอนไม่หลับ สุขภาพเสื่อมจากการหมกมุ่นเรื่องเดียวนานๆ
ร้ายที่สุดก็เป็นมะเร็งจากความเครียดสะสมที่มาจากความเหนื่อยใจ
คนจำนวนมาก ถึงกลับเปลี่ยนใจ ยอมกลับไปเหนื่อยกาย แต่เหนื่อยใจน้อยลงดีกว่า
จริงๆแล้ว ผมอยู่ในตลาดหุ้นมาได้จนทุกวันนี้
สิ่งสำคัญ ที่น่าจะมากที่สุดก็คือ
มีต้นทุนทางสังคมที่ค่อนข้างดี
ผมไม่เคยได้รับแรงกดดันจากคนรอบตัว
ทุกคนยอมรับ ชีวิตที่เราเป็นอยู่
ไม่ใช่จะยอมรับ ต่อเมื่อเราต้องเป็น อย่างที่เขาต้องการให้เป็น
เพราะถ้าเอาแบบนั้น ภรรยาผมคงขอหย่าไปนานแล้ว เพราะเราไม่ได้เป้นอย่างที่เขาต้องการ
ถ้ามั่นใจว่า ตัวเองมีต้นทุนทางสังคมดี
ก็เท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลืออีกครึ่ง
ก็ไปตามล่าหาฝันกันเอาเอง จากตลาดหุ้นครับ
ผมก็ตามล่าหาความฝัน มายาวนานถึงสามสิบกว่าปี
เพิ่งจะบรรลุเป้าหมาย เมื่อห้าหกปีที่แล้ว
พออ่านเจอ คนรุ่นใหม่ๆ อยากรวยเร็วๆ รวยง่ายๆ รวยมากๆ จากตลาดหุ้น
ได้แต่นึกสะท้อนใจ เพราะเชื่อว่า คนที่จะทำได้จริงๆ มีไม่ถึงสิบคน จากร้อยคน
ถ้ายอมอดทนปล่อยให้เวลาที่เนิ่นนาน เป็นตัวสะสมความรู้และประสพการณ์แนวตั้งไปเรื่อยๆ
ก็คงถึงเป้าหมายในที่สุด ได้ทุกคน ??
ปล.ผมก็ลงทุนในตลาดมาหลายปีครับ แต่ไม่เคยลงเกิน 10% ของเงินที่มีเลยครับ
ส่วนเงินสดที่มี 90% เป็นเงินเย็นจริงครับเพราะไม่มีความต้องการไปหยิบมาใช้
ที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยก็ประมาณ 10% ต่อปีสม่ำเสมอครับ
ผมเชื่อว่า คุณ.... น่าจะมีสินทรัพย์สุทธิมากกว่าร้อยล้านบาท
คือมีมากจนเงินเย็นๆ ที่ไม่ต้องหยิบมาใช้ มีมากกึงเก้าสิบเปอร์เซนต์
ถ้ามีผลตอบแทน สม่ำเสมอ ก็น่าจะมีคอนโดหรืออพาร์ทเม้นต์ให้เช่า
มากกว่าการฝากประจำธนาคาร
รู้สึกค่อนข้างหลงทางครับ ว่าจะใช้อะไรเป็นแรงจูงใจดี คำถามอาจจะดูวกวนนะครับ
ผมเชื่อภาษิตจีนที่ว่า
พันคน ทุกข์พันอย่าง ร้อยคน ร้อยปัญหา
ไม่มีเงินก็ทุกข์ไปอีกแบบ มีเงินมากๆก็ทุกข์ไปอีกแบบ
เพียงแต่ทุกข์ของคนมีเงิน
ไม่ได้มีความทุกข์ทางความต้องการด้านวัตถุเหมือนคนไม่มีเงิน
ถ้าผมจะตอบว่า ใช้ราคาหุ้นที่มันเหวี่ยงไปมา เป็นแรงจูงใจให้อยากจะเอาชนะมัน
น่าจะเป็นเรื่องที่เหลวไหล สำหรับคนมีเงินระดับคุณ....
ประโยคที่ผมจำได้แม่นที่สุดในหนังโทรทัศน์ญี่ปุ่นเรื่อง"โอชิน" ก็คือ
โอชิน ตัวเอกของเรื่อง ที่สู้ชีวิตมาสารพัดรูปแบบ จนประสพความสำเร็จด้านสินทรัพย์เงินทอง
เธอบอกกับหลาน ที่ตามมาเรียกเธอกลับบ้าน
หลังจากหนีออกมาหาความสงบ ไม่อยากดูลูกๆ แย่งการบริหารห้างสรรพสินค้าที่ตัวเองสร้างขึ้นมาว่า
ช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตก็คือ
ช่วงที่เอาลูกชายคนโตสะพายหลัง แล้วเข็นรถเร่ขายปลาหาเลี้ยงชีพ
ชีวิตมีเป้าหมาย มีความท้าทาย ได้ทำงานเพื่อคนที่ตัวเองรักมากที่สุด
ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีสินทรัพย์มากมาย แต่ไม่มีความสุขทางใจอย่างทุกวันนี้
เป้าหมายชีวิตคน มันต่างกันจริงๆ
ถ้าสามารถกลับไปหาความท้าทายเดิมๆได้ โดยเครียดน้อยลง
ก็น่าจะลองดูนะครับ ??
แต่เป็นความรู้สึกจริงๆครับ จะให้กลับไปสร้างกิจการอะไรอีก ก็ไม่อยากดีลกับ
คนหลากหลายเหมือนที่ผ่านมาครับ รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นน่าจะเหมาะแล้ว
เพราะตัดสินใจด้วยตัวเอง ทำงานด้วยตัวเองคนเดียว
ถ้าคิดว่า การลงทุนในตลาดหุ้น มีแค่เหนื่อยใจ ไม่ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ
สามารถตัดสินใจเอง รับผิดชอบเองแต่ผู้เดียว
ตลาดหุ้นก็น่าจะทางเลือกหนึ่งของแนวทางที่ต้องการได้ครับ
ติดที่ว่าทำยังไงถึงจะ"กล้า" ลงทุนมากขึ้นครับ
ถ้ามีเงินเย็น ที่ไม่จำเป็นต้องใช่ มากถึง เก้าสิบเปอร์เซนต์
น่าจะเพิ่มระดับการลงทุน ให้เป็นห้าสิบเปอร์เซนต์เป็นอย่างน้อย
จะกล้าลงทุนมากขึ้น ลองพิจารณาดังนี้คือ
๑ เวลาที่เหลือในตลาดหุ้น ของคุณ... มีกี่ปี่ ผมตีว่า มีเวลาเหลือให้แก้ตัวถ้าพลาด อย่างน้อยอีกยี่สิบปี
๒ ห้าสิบเปอร์เซนต์ที่ใส่เข้าไปในตลาดหุ้น จะสามารถรับระดับความเสียหายได้แค่ไหน
ถ้ารับได้ร้อยเปอร์เซนต์เต็ม เพราะเงินที่เหลือนอกตลาดอีกห้าสิบเปอร์เซนต์ ชีวิตก็ยังอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย
๓ ระดับความเครียดที่จะได้รับจากเงินมายา
อันนี้อาจจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ครับ
ถ่าลงทุนแล่ว ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าตอนไม่ได้เพิ่มเงินลงทุน
จะเครียดมากขึ้นหรือเปล่า
จริงๆแล้ว ข้อสามตอบยากเหมือนกัน
เพราะคุณ...ยังไมเคยเจอกับที่จะเกิดขึ้นจริง
เอาเป็นว่า ผมสนับสนุนให้เพิ่มวงเงินลงทุนเป็นห้าสิบเปอร์เซนต์
ตามเงื่อนไขสามข้อข้างต้นก็แล้วกันครับ
ถ้าตอบไม่ตรงกับที่ต้องการรู้ ต้องขออภัยด้วยครับ
รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ
................... (ขอปิดขื่อไว้ ตามที่เพื่อนสมาขิกได้ขอไว้