เช้าตรู่ที่ชานเมืองไดเกรซ ท้องฟ้าเป็นสีเทาตะกั่วบ่งบอกว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะหมดไป ดาริอุส เลวิสหันกลับมาดูที่นอนที่จัดเก็บแบบลวกๆก่อนหันไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง ในหัวของเขาตอนนี้เป็นเหมือนท้องฟ้าในเวลานี้ หม่นหมองสับสนเป็นสีเทาทึมทึบ เมื่อวานนี้เป็นวันจบการศึกษาเบื้องต้นของเด็กๆ เด็กชายหญิงอายุสิบห้ากำลังก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ต่างเร่หางานจ้าละหวั่น ไม่ว่าจะเป็นงานตีเหล็ก เหมือนแร่ ผ้าทอ ปศุสัตว์ หรือกระทั่งทหาร เพื่อนของดาริอุสหลายคนสืบทอดงานในครอบครัว บางคนชักชวนเขาให้ไปทำงานแห่งเดียวกันด้วยซ้ำ เมื่อวานตอนพิธีจบการศึกษา
อิสปาร์มาชวนเขาไปทำงานโรงตีเหล็กของพ่อ แมรี่จอมแก่นก็ชวนเข้าสมาคมเกษตรกรที่พ่อของเขาและนางเข้าร่วม เควนส์พยายามหว่านล้อมให้เขาไปช่วยงานเลี้ยงแกะด้วยกัน แต่เขามีอาชีพในอนาคตที่สนใจอยู่แล้ว แม้จะเป็นเป้าหมายที่สูงเกินเอื้อมแต่ก็อดหวังไม่ได้ ความรู้สึกต่างๆตีกันในหัวจนมีสีเหมือนท้องฟ้ายามนี้
เป็นเวลาหลายปีที่เด็กหนุ่มชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับผู้วิเศษจนแทบคลั่ง ตำแหน่งผู้วิเศษประจำแคว้นหรือที่ปรึกษาด้านเวทมนตร์ดูโก้เก๋อย่างไม่ต้องใช้ความพยายาม การใช้เวทมนตร์ทำเรื่องต่างๆได้เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของเขา โรงเรียนหรือวิทยาลัยเวทมนตร์ตามแคว้นต่างๆก็มีเรื่องให้ได้ยินจนชินหู เมื่อเดือนก่อนพี่ชายของอาเรียสเพื่อนเขาขี่มังกรกลับมาเยี่ยมบ้าน เขาดีใจออกนอกหน้าที่ได้สัมผัสมังกรตัวเป็นๆ หากแต่มีกำแพงกั้นระหว่างเขากับการเป็นผู้วิเศษ จะเป็นผู้วิเศษได้จะต้องมีพลังจากสายเลือดหรือวิญญาณจึงจะเป็นได้ ครอบครัวเขาเป็นแค่ชาวไร่ธรรมดาไม่มีอะไรวิเศษวิโส แม้ญาติห่างๆของเขาจะเป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
“ตื่นเช้าจริงดาริอุส ลืมแล้วหรือว่าลูกเรียนจบแล้ว” แม่ของเขาทักระหว่างเดินลงไปทานอาหารเช้า
น้องสาวแสนซนเกือบตกบันไดเพราะต้องรีบไปให้ทันวันสุดท้ายของการปิดภาคเรียน เขาเห็นแล้วคิดถึงตัวเองตอนแรกๆที่เข้าเรียน รีบร้อนฉุกละหุก พูดถึงเข้าโรงเรียนแล้วเขาไม่รู้สักนิดว่าโรงเรียนเวทมนตร์คัดเลือกนักเรียนด้วยวิธีใด แล้วเขาต้องบอกตัวเองเป็นครั้งที่สิบห้าว่าเลิกหวังเป็นผู้วิเศษได้แล้ว เขารักอาชีพชาวไร่ของพ่อ รักต้นไม้และแสงแดด ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจที่ต้องเป็นเกษตรกรเหมือนพ่อของตน ทำงานไร่อ้อยกับข้าวโพดเป็นเรื่องสนุกและสบายหากจัดระเบียบให้ดี
“แม่ มีคนมาหา” น้องสาวเขาเปิดประตูรับแขก ปกติเขาไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมเยียนนัก จะมีก็มาหาถึงที่ไร่หรือสมาคมเลย “ข้าไปเรียนก่อนนะเจ้าคะ” เสียงใสแจ๋วของเด็กหญิงแสดงว่ารีบจนไม่สนใจรับแขก ดาริอุสกับแม่ถอนหายใจพร้อมกันแล้วเดินไปที่ประตูบ้าน
“ตรวจอีกครั้งให้มั่นใจ ข้าสัมผัสกลิ่นอายเวทมนตร์จากบ้านหลังนี้ไม่ได้สักนิด”
แขกยามเช้าเป็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาสั้นแค่หูดูทะมัดทะแมง ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าที่สีผมของแขกคนนี้เหมือนกับพ่อและตัวเขาไม่มีผิด เป็นสีน้ำตาลเข้มไม่ถึงกับดำสนิท แม้แต่ดวงตาก็เป็นสีน้ำตาลคล้ายกัน แขกในชุดเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลดำก้มหัวทักทายอย่างเป็นทางการ ด้านหลังของเขาคือมังกรสีดำสนิทกับผู้ติดตามที่วุ่นวายกับแผ่นกระจกใหญ่มีสีแปลกๆประดับประดา คนพวกนั้นพยักหน้าให้แขกผมสีน้ำตาลอย่างมั่นใจ แขกยามเช้าสูดหายใจน้อยๆเหมือนพยายามนึกคำพูดให้ออก
“ข้าคือ เอริค เรนฟอร์ดจากโรงเรียนเวทมนตร์ธาตุและศาสตร์แห่งมนตราโคลโบลท์” ดาริอุสเบ้หน้าน้อยๆ โรงเรียนเวทมนตร์มาเคาะประตูหานักเรียนแบบนี้เองหรือ “การที่ข้ามาเคาะประตูบ้านท่านแสดงว่าในบ้านหลังนี้มีเด็กอายุสิบห้าที่เป็นผู้วิเศษอยู่ เรามาเพื่อขอรับเขาไปศึกษาตามแบบแผนของผู้วิ...” แขกยามเช้าชะงักเมื่อสบตากับดาริอุส บางทีเขาอาจแสดงอาการดีใจทางดวงตาจนเสียมารยาท พูดถึงเรื่องมารยาทแล้วทางนั้นต่างหากที่จ้องหน้าเขาราวมีอะไรติดอยู่
“ขอเสียมารยาท ไม่ทราบว่าบิดาของเด็กคนนี้มีนามว่าอะไร” แขกคนนี้ทำให้ดาริอุสกับแม่มองหน้ากันอยู่สักอึดใจ “ดีเรค เลวิส” เสียงแม่ของเขาฟังดูแปร่งๆ บางทีอาจกำลังทำความเข้าใจแขกคนนี้อยู่
ชายผมสีน้ำตาลส่ายหน้ากับตัวเองแล้วอธิบายต่อ “ทางเราต้องการถ่ายทอดความรู้ทางเวทมนตร์ให้กับเด็กอายุสิบห้าปีเพื่อเป็นกำลังสำคัญของเมือง ไม่จำเป็นว่าพ่อหรือแม่ของเด็กจะเป็นผู้วิเศษหรือไม่เพราะทางเราใช้เวทมนตร์ในการตรวจสอบหาผู้เหมาะสม ข้ามีเอกสารเกี่ยวกับโรงเรียนของเรามาให้ท่านพิจารณาด้วย แม้จะเปิดมาได้แค่สิบห้าปีแต่มาตรฐานของเราทัดเทียมกับโรงเรียนเวทมนตร์ในแคว้นใหญ่ๆ รับรองเรื่องความรู้ความสามารถและงานในอนาคต ที่ด้านหลังมีตัวเลขสถิตินักเรียนของเราที่ได้งานในแต่ละปี”
“แล้วเรื่องทุนการศึกษาล่ะ” แม่ของเขาทำให้แสงแห่งความหวังของดาริอุสหรี่ลงจนน่าใจหาย ครอบครัวฐานะปานกลางอย่างเขาไม่มีเงินมากพอส่งเสียเขาให้เรียนต่อพร้อมน้องสาว “ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายได้หรือไม่ อีกทั้งต้นตระกูลของข้าก็ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษด้วย”
“ทางโรงเรียนมีโครงการนักเรียนช่วยงานอยู่ นักเรียนต้องทำงานเพื่อแลกกับเงินทุนสำหรับเครื่องแบบและอุปกรณ์การศึกษา ทางท่านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น การติดต่อกับทางโรงเรียนมีระบุไว้หน้าหลัง ท่านสามารถติดต่อผ่านผู้วิเศษประจำเมืองได้ทุกเวลาที่ต้องการ” แขกคนนี้ทำให้ความหวังสว่างไสวอีกครั้ง บางทีเขาอาจได้ไปเรียนเพื่อเป็นผู้วิเศษ ความฝันและความหวังของเขาจะไม่เหือดแห้งอีกต่อไป
แขกยามเช้าโน้มหัวเคารพแล้วจากไปเคาะประตูบ้านอื่น พ่อกับแม่ของเขามีเวลาคิดเรื่องนี้ถึงปลายฤดูหนาวปีนี้ ดาริอุสไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใจหนึ่งอยากเป็นผู้วิเศษที่ยิ่งใหญ่ อีกใจก็อยากอยู่กับครอบครัวทำงานอยู่กินตามมีตามเกิด แม่ของเขาเลื่อนเวลาพิจารณาเรื่องนี้ออกไปเพราะต้องปรึกษากับพ่อของเขาเสียก่อน
เช้าวันนั้นดาริอุสช่วยรดน้ำไร่ถั่วเหลืองอย่างมีความสุข การเป็นผู้วิเศษของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม เหลือแค่ให้พ่อกับแม่ของเขาอนุญาตก็สามารถไปเรียนได้ แขกที่มาเมื่อเช้าดูสุขุมเยือกเย็นจนน่าเคารพ มังกรด้านหลังดูทรงพลังผิดกับมังกรที่เขาเคยเห็นลิบลับ เขา
วาดฝันในโรงเรียนเวทมนตร์กระทั่งรดน้ำเสร็จ ประเดี่ยวต้องไปจัดการแปลงปลูกทานตะวันอีก ใกล้เวลาที่นักท่องเที่ยวจากต่างเมืองจะมาดูทุ่งทานตะวันแล้ว...
หลังจากวันนั้นเขาก็เริ่มฝันแปลกๆเกี่ยวกับเด็กหญิงในห้องโถง ทุกคืนในความฝันเด็กสาวคนนั้นนั่งร้องไห้กลางวงกลมสีแดงสด ดวงตาสีดำรื้นน้ำเรียกร้องความช่วยเหลือ ตอนแรกๆเขาคิดว่าดีใจจนเก็บไปฝัน แต่ความฝันดังกล่าวปรากฏอยู่แทบทุกคืน กระทั่งกลางฤดูหนาวจึงหยุดฝันเช่นนั้น ดาริอุสเชื่อว่าความอยากเรียนเวทมนตร์ทำให้เกิดฝันแปลกๆติดต่อกันเหมือนในนิยายที่เคยอ่าน พอได้อดตาหลับขับตานอนทำบัญชีเก็บเกี่ยวธัญพืชประจำปีจึงหยุดฝันแบบนั้นได้ อย่างไรเขาอดเชื่อไม่ได้ว่ามันเป็นลางว่าเขาจะได้ไปเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์
“ลูกสามารถไปเรียนที่นั่นได้” มติของครอบครัวตอกย้ำให้รู้ว่าฝันของเขาเป็นจริงแล้ว “แต่ต้องทำงานหาเงินใช้เองเพราะทางสมาคมไม่ยอมให้กู้สำหรับการศึกษาต่อ พ่อว่าพวกนั้นอิจฉามากกว่า เจ้าโนแรว์แทบตั้งกลุ่มสอบสวนพ่อว่าใช้วิธีใดลูกจึงมีสิทธิ์ได้เข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ ทั้งที่บ้านนั้นร่ำรวยกว่าพวกเรายังไม่ได้รับสิทธิ์แบบนี้”
“จะไปจริงๆหรือคะพี่” น้องสาวของเขาเดินมาเกาะแขนอย่างเศร้าสร้อย โบว์ผูกผมสีชมพูน่ารักที่เขาซื้อให้ปีก่อนยังคงถูกผูกไว้บนหางเปียสีน้ำตาล เด็กหญิงติดเขามากกว่าพ่อกับแม่เสียอีก ดาริอุสลูบหัวปลอบว่าจะกลับมาเยี่ยมเป็นระยะๆส่งผลให้เด็กหญิงเริ่มร้องไห้ ดวงตาสีน้ำตาลเหมือนดาริอุสและพ่อของเขามีน้ำตาคลอเบ้า
“อย่าร้องสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปดูประกวดปั้นหิมะดีไหม จะซื้อขนมให้กินด้วย”
ได้เวลาใช้รายได้จากการทำงานครั้งแรกแล้ว พรุ่งนี้เขาจะไปเที่ยวเทศกาลในตัวเมืองพร้อมกับเพื่อน และจะซื้อภาพร่างวิญญาณหิมะที่ใช้หิมะแรกในฤดู เกสรดอกไม้ที่บานเฉพาะคืนจันทร์เพ็ญในฤดูหนาว และหินแร่ดวงจันทร์บดละเอียดวาดขึ้น จิตรกรที่รังสรรค์งานไร้สาระแต่สวยงามนี้ขึ้นคือพ่อของเพื่อนคนหนึ่งของเขา เป็นพวกหัวศิลป์ทั้งพ่อทั้งลูก แรกๆดาริอุสถูกขอร้องแกมบังคับให้รับผลงานเหลือทิ้งไว้ดูเล่น จนตอนนี้เขาเต็มใจซื้อเก็บเป็นของสะสมเฉพาะ ห้องนอนของเขาถูกอุทิศให้เป็นที่วางของสะสมเสียครึ่งหนึ่ง
“แล้วพวกเพื่อนลูกว่าอย่างไรบ้าง เรื่องที่ได้รับเลือกให้ไปเรียนที่โรงเรียนผู้วิเศษ” แม่ของเขากำลังตั้งโต๊ะทานอาหารเย็นพูดขึ้น
“อิจฉาพอเป็นพิธีขอรับ” เขาตัดสินใจลุกไปช่วยหยิบจานชามด้วย “มัลค่อมกับโรสแมรี่ได้รับเลือกด้วย พวกเขาจะไปกันทั้งสองคน”
“อย่างน้อยก็มีเพื่อนไปด้วย” พ่อของเขาพูด ผมสีน้ำตาลสั้นเกรียนอย่างคนสู้งานพึงทำ ดวงตาสีน้ำตาลถ่ายทอดสู่ดาริอุสกับน้องสาวเหมือนสัญลักษณ์ทางสายเลือด โดยเฉพาะดาริอุสที่เหมือนพ่อทั้งดวงตาและสีผม “อาจเป็นญาติข้างพ่อก็ได้ที่เป็นผู้วิเศษ” บทสนทนาก่อนอาหารเย็นจบลงด้วยแววตาสีฟ้าใสของแม่บ้าน พ่อกับแม่ของเขามองตากันอย่างมีความหมายก่อนลงมือทานอาหารเย็น...
“ช่วยด้วย” เสียงแว่วหวานกังวานขึ้นอีกครั้งเมื่อย่างเข้าปลายฤดูหนาว “ได้โปรดมาช่วยข้าด้วย มาที่โรงเรียนแล้วปลดปล่อยข้า นามของข้าคือ...”
ดาริอุสอยู่ในความฝันอย่างที่เคยเป็นเมื่อต้นฤดู ร่างของเขาถูกตรึงเข้ากับผนัง เด็กสาวผมดำหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างในเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์สั่นเทาเอื้อมมือมาทางเขาอย่างยากเย็น ความฝันในครั้งนี้ต่างกับครั้งอื่นๆ มันเหมือนจริงจนน่าขนลุก ผิวหนังยังสัมผัสความเย็นยะเยือกจากแผ่นหินได้แม้ตื่นขึ้นมาแล้ว เด็กชายหวนคิดอีกครั้งว่าความฝันนี่คืออะไรกันแน่ หรือเขาดีใจจนเก็บมาฝันบ้าบออีกครั้งหลังจากตอนนั้น
“เตรียมของครบแล้วหรือดาริอุส” แม่ของเขาแปลกใจที่เห็นลูกชายคนเดียวหอบสัมภาระลงมาแต่หัววัน กำหนดการเดินทางไปโรงเรียนคือตอนเที่ยงตรงในโบสถ์ใกล้ๆ
“เสื้อผ้าสามชุดไม่รวมชุดชั้นใน เสื้อคลุมสำหรับฤดูหนาว แปรงสีฟัน สบู่ หนังสือประจำตัว หมึกกับปากกา สมุดเขียน ครบแล้วขอรับ” ดาริอุสทบทวนรายการสิ่งของในกระเป๋าสะพายหลังอีกครั้ง เวลาค่อนคืนที่นอนไม่หลับถูกใช้ตรวจสอบว่าข้าวของในกระเป๋าครบหรือไม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เห็นไหมว่ายังไม่มีใครมาเลย” แม่ของเขาบ่นอุบ ดาริอุสกับครอบครัวมาถึงโบสถ์ก่อนเวลาเล็กน้อย
ในโถงใหญ่มีเก้าอี้วางเรียงรายด้านในสุดมีรูปปั้นเทพีแห่งสายลมผู้มอบลมหายใจแก่มวลมนุษย์ตั้งอยู่ ทั้งห้องปกคลุมด้วยความหนาวเย็นจากภายนอก แสงสลัวยามเช้าแทบผ่านกระจกสีเข้ามาไม่ได้ ดาริอุสส่ายสายตามองตามเก้าอี้แถวเรียงรายจึงพบกับผู้รอคอย ชายคนหนึ่งเงยหน้าจากหนังสือมองมาทางพวกเขา ชายคนนั้นมีผมสีเหลืองดวงตาสีมรกต มีแต่ชาวเมืองทางตะวันออกไปอีกเท่านั้นที่มีดวงตาสีนี้
“เป็นนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ธาตุและศาสตร์แห่งมนตราโคลโบลท์ใช่ไหมขอรับ” ชายดวงตาสีมรกตลุกยืนทักทาย ผมหางม้ากับเสื้อคลุมอย่างเป็นทางการไร้ที่ติ เสื้อคลุมแบบผู้วิเศษสีสดเข้ากับสีผม ผมสีเหลืองห้อยชายข้ามไหล่พอให้ดูไม่เป็นทางการ หากบอกว่าเขามารอนัดเที่ยวกับคนรักคงน่าเชื่อกว่ามารอรับนักเรียน “ข้าชื่อคัลวิน บริดจ์แมนเป็นครูคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ มาเพื่อรับผู้มีสิทธิ์ไปโรงเรียน พวกท่านคงทราบจากใบแจกแล้วว่าเป็นโรงเรียนประจำตามกฎของโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อป้องกันการใช้เวทมนตร์ผิดพลาดนอกเขตปลอดภัย”
(มีต่อ)
โรงเรียนอสูรโคลโบลท์ บทนำ
อิสปาร์มาชวนเขาไปทำงานโรงตีเหล็กของพ่อ แมรี่จอมแก่นก็ชวนเข้าสมาคมเกษตรกรที่พ่อของเขาและนางเข้าร่วม เควนส์พยายามหว่านล้อมให้เขาไปช่วยงานเลี้ยงแกะด้วยกัน แต่เขามีอาชีพในอนาคตที่สนใจอยู่แล้ว แม้จะเป็นเป้าหมายที่สูงเกินเอื้อมแต่ก็อดหวังไม่ได้ ความรู้สึกต่างๆตีกันในหัวจนมีสีเหมือนท้องฟ้ายามนี้
เป็นเวลาหลายปีที่เด็กหนุ่มชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับผู้วิเศษจนแทบคลั่ง ตำแหน่งผู้วิเศษประจำแคว้นหรือที่ปรึกษาด้านเวทมนตร์ดูโก้เก๋อย่างไม่ต้องใช้ความพยายาม การใช้เวทมนตร์ทำเรื่องต่างๆได้เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของเขา โรงเรียนหรือวิทยาลัยเวทมนตร์ตามแคว้นต่างๆก็มีเรื่องให้ได้ยินจนชินหู เมื่อเดือนก่อนพี่ชายของอาเรียสเพื่อนเขาขี่มังกรกลับมาเยี่ยมบ้าน เขาดีใจออกนอกหน้าที่ได้สัมผัสมังกรตัวเป็นๆ หากแต่มีกำแพงกั้นระหว่างเขากับการเป็นผู้วิเศษ จะเป็นผู้วิเศษได้จะต้องมีพลังจากสายเลือดหรือวิญญาณจึงจะเป็นได้ ครอบครัวเขาเป็นแค่ชาวไร่ธรรมดาไม่มีอะไรวิเศษวิโส แม้ญาติห่างๆของเขาจะเป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
“ตื่นเช้าจริงดาริอุส ลืมแล้วหรือว่าลูกเรียนจบแล้ว” แม่ของเขาทักระหว่างเดินลงไปทานอาหารเช้า
น้องสาวแสนซนเกือบตกบันไดเพราะต้องรีบไปให้ทันวันสุดท้ายของการปิดภาคเรียน เขาเห็นแล้วคิดถึงตัวเองตอนแรกๆที่เข้าเรียน รีบร้อนฉุกละหุก พูดถึงเข้าโรงเรียนแล้วเขาไม่รู้สักนิดว่าโรงเรียนเวทมนตร์คัดเลือกนักเรียนด้วยวิธีใด แล้วเขาต้องบอกตัวเองเป็นครั้งที่สิบห้าว่าเลิกหวังเป็นผู้วิเศษได้แล้ว เขารักอาชีพชาวไร่ของพ่อ รักต้นไม้และแสงแดด ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจที่ต้องเป็นเกษตรกรเหมือนพ่อของตน ทำงานไร่อ้อยกับข้าวโพดเป็นเรื่องสนุกและสบายหากจัดระเบียบให้ดี
“แม่ มีคนมาหา” น้องสาวเขาเปิดประตูรับแขก ปกติเขาไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมเยียนนัก จะมีก็มาหาถึงที่ไร่หรือสมาคมเลย “ข้าไปเรียนก่อนนะเจ้าคะ” เสียงใสแจ๋วของเด็กหญิงแสดงว่ารีบจนไม่สนใจรับแขก ดาริอุสกับแม่ถอนหายใจพร้อมกันแล้วเดินไปที่ประตูบ้าน
“ตรวจอีกครั้งให้มั่นใจ ข้าสัมผัสกลิ่นอายเวทมนตร์จากบ้านหลังนี้ไม่ได้สักนิด”
แขกยามเช้าเป็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาสั้นแค่หูดูทะมัดทะแมง ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าที่สีผมของแขกคนนี้เหมือนกับพ่อและตัวเขาไม่มีผิด เป็นสีน้ำตาลเข้มไม่ถึงกับดำสนิท แม้แต่ดวงตาก็เป็นสีน้ำตาลคล้ายกัน แขกในชุดเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลดำก้มหัวทักทายอย่างเป็นทางการ ด้านหลังของเขาคือมังกรสีดำสนิทกับผู้ติดตามที่วุ่นวายกับแผ่นกระจกใหญ่มีสีแปลกๆประดับประดา คนพวกนั้นพยักหน้าให้แขกผมสีน้ำตาลอย่างมั่นใจ แขกยามเช้าสูดหายใจน้อยๆเหมือนพยายามนึกคำพูดให้ออก
“ข้าคือ เอริค เรนฟอร์ดจากโรงเรียนเวทมนตร์ธาตุและศาสตร์แห่งมนตราโคลโบลท์” ดาริอุสเบ้หน้าน้อยๆ โรงเรียนเวทมนตร์มาเคาะประตูหานักเรียนแบบนี้เองหรือ “การที่ข้ามาเคาะประตูบ้านท่านแสดงว่าในบ้านหลังนี้มีเด็กอายุสิบห้าที่เป็นผู้วิเศษอยู่ เรามาเพื่อขอรับเขาไปศึกษาตามแบบแผนของผู้วิ...” แขกยามเช้าชะงักเมื่อสบตากับดาริอุส บางทีเขาอาจแสดงอาการดีใจทางดวงตาจนเสียมารยาท พูดถึงเรื่องมารยาทแล้วทางนั้นต่างหากที่จ้องหน้าเขาราวมีอะไรติดอยู่
“ขอเสียมารยาท ไม่ทราบว่าบิดาของเด็กคนนี้มีนามว่าอะไร” แขกคนนี้ทำให้ดาริอุสกับแม่มองหน้ากันอยู่สักอึดใจ “ดีเรค เลวิส” เสียงแม่ของเขาฟังดูแปร่งๆ บางทีอาจกำลังทำความเข้าใจแขกคนนี้อยู่
ชายผมสีน้ำตาลส่ายหน้ากับตัวเองแล้วอธิบายต่อ “ทางเราต้องการถ่ายทอดความรู้ทางเวทมนตร์ให้กับเด็กอายุสิบห้าปีเพื่อเป็นกำลังสำคัญของเมือง ไม่จำเป็นว่าพ่อหรือแม่ของเด็กจะเป็นผู้วิเศษหรือไม่เพราะทางเราใช้เวทมนตร์ในการตรวจสอบหาผู้เหมาะสม ข้ามีเอกสารเกี่ยวกับโรงเรียนของเรามาให้ท่านพิจารณาด้วย แม้จะเปิดมาได้แค่สิบห้าปีแต่มาตรฐานของเราทัดเทียมกับโรงเรียนเวทมนตร์ในแคว้นใหญ่ๆ รับรองเรื่องความรู้ความสามารถและงานในอนาคต ที่ด้านหลังมีตัวเลขสถิตินักเรียนของเราที่ได้งานในแต่ละปี”
“แล้วเรื่องทุนการศึกษาล่ะ” แม่ของเขาทำให้แสงแห่งความหวังของดาริอุสหรี่ลงจนน่าใจหาย ครอบครัวฐานะปานกลางอย่างเขาไม่มีเงินมากพอส่งเสียเขาให้เรียนต่อพร้อมน้องสาว “ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายได้หรือไม่ อีกทั้งต้นตระกูลของข้าก็ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษด้วย”
“ทางโรงเรียนมีโครงการนักเรียนช่วยงานอยู่ นักเรียนต้องทำงานเพื่อแลกกับเงินทุนสำหรับเครื่องแบบและอุปกรณ์การศึกษา ทางท่านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น การติดต่อกับทางโรงเรียนมีระบุไว้หน้าหลัง ท่านสามารถติดต่อผ่านผู้วิเศษประจำเมืองได้ทุกเวลาที่ต้องการ” แขกคนนี้ทำให้ความหวังสว่างไสวอีกครั้ง บางทีเขาอาจได้ไปเรียนเพื่อเป็นผู้วิเศษ ความฝันและความหวังของเขาจะไม่เหือดแห้งอีกต่อไป
แขกยามเช้าโน้มหัวเคารพแล้วจากไปเคาะประตูบ้านอื่น พ่อกับแม่ของเขามีเวลาคิดเรื่องนี้ถึงปลายฤดูหนาวปีนี้ ดาริอุสไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใจหนึ่งอยากเป็นผู้วิเศษที่ยิ่งใหญ่ อีกใจก็อยากอยู่กับครอบครัวทำงานอยู่กินตามมีตามเกิด แม่ของเขาเลื่อนเวลาพิจารณาเรื่องนี้ออกไปเพราะต้องปรึกษากับพ่อของเขาเสียก่อน
เช้าวันนั้นดาริอุสช่วยรดน้ำไร่ถั่วเหลืองอย่างมีความสุข การเป็นผู้วิเศษของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม เหลือแค่ให้พ่อกับแม่ของเขาอนุญาตก็สามารถไปเรียนได้ แขกที่มาเมื่อเช้าดูสุขุมเยือกเย็นจนน่าเคารพ มังกรด้านหลังดูทรงพลังผิดกับมังกรที่เขาเคยเห็นลิบลับ เขา
วาดฝันในโรงเรียนเวทมนตร์กระทั่งรดน้ำเสร็จ ประเดี่ยวต้องไปจัดการแปลงปลูกทานตะวันอีก ใกล้เวลาที่นักท่องเที่ยวจากต่างเมืองจะมาดูทุ่งทานตะวันแล้ว...
หลังจากวันนั้นเขาก็เริ่มฝันแปลกๆเกี่ยวกับเด็กหญิงในห้องโถง ทุกคืนในความฝันเด็กสาวคนนั้นนั่งร้องไห้กลางวงกลมสีแดงสด ดวงตาสีดำรื้นน้ำเรียกร้องความช่วยเหลือ ตอนแรกๆเขาคิดว่าดีใจจนเก็บไปฝัน แต่ความฝันดังกล่าวปรากฏอยู่แทบทุกคืน กระทั่งกลางฤดูหนาวจึงหยุดฝันเช่นนั้น ดาริอุสเชื่อว่าความอยากเรียนเวทมนตร์ทำให้เกิดฝันแปลกๆติดต่อกันเหมือนในนิยายที่เคยอ่าน พอได้อดตาหลับขับตานอนทำบัญชีเก็บเกี่ยวธัญพืชประจำปีจึงหยุดฝันแบบนั้นได้ อย่างไรเขาอดเชื่อไม่ได้ว่ามันเป็นลางว่าเขาจะได้ไปเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์
“ลูกสามารถไปเรียนที่นั่นได้” มติของครอบครัวตอกย้ำให้รู้ว่าฝันของเขาเป็นจริงแล้ว “แต่ต้องทำงานหาเงินใช้เองเพราะทางสมาคมไม่ยอมให้กู้สำหรับการศึกษาต่อ พ่อว่าพวกนั้นอิจฉามากกว่า เจ้าโนแรว์แทบตั้งกลุ่มสอบสวนพ่อว่าใช้วิธีใดลูกจึงมีสิทธิ์ได้เข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ ทั้งที่บ้านนั้นร่ำรวยกว่าพวกเรายังไม่ได้รับสิทธิ์แบบนี้”
“จะไปจริงๆหรือคะพี่” น้องสาวของเขาเดินมาเกาะแขนอย่างเศร้าสร้อย โบว์ผูกผมสีชมพูน่ารักที่เขาซื้อให้ปีก่อนยังคงถูกผูกไว้บนหางเปียสีน้ำตาล เด็กหญิงติดเขามากกว่าพ่อกับแม่เสียอีก ดาริอุสลูบหัวปลอบว่าจะกลับมาเยี่ยมเป็นระยะๆส่งผลให้เด็กหญิงเริ่มร้องไห้ ดวงตาสีน้ำตาลเหมือนดาริอุสและพ่อของเขามีน้ำตาคลอเบ้า
“อย่าร้องสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปดูประกวดปั้นหิมะดีไหม จะซื้อขนมให้กินด้วย”
ได้เวลาใช้รายได้จากการทำงานครั้งแรกแล้ว พรุ่งนี้เขาจะไปเที่ยวเทศกาลในตัวเมืองพร้อมกับเพื่อน และจะซื้อภาพร่างวิญญาณหิมะที่ใช้หิมะแรกในฤดู เกสรดอกไม้ที่บานเฉพาะคืนจันทร์เพ็ญในฤดูหนาว และหินแร่ดวงจันทร์บดละเอียดวาดขึ้น จิตรกรที่รังสรรค์งานไร้สาระแต่สวยงามนี้ขึ้นคือพ่อของเพื่อนคนหนึ่งของเขา เป็นพวกหัวศิลป์ทั้งพ่อทั้งลูก แรกๆดาริอุสถูกขอร้องแกมบังคับให้รับผลงานเหลือทิ้งไว้ดูเล่น จนตอนนี้เขาเต็มใจซื้อเก็บเป็นของสะสมเฉพาะ ห้องนอนของเขาถูกอุทิศให้เป็นที่วางของสะสมเสียครึ่งหนึ่ง
“แล้วพวกเพื่อนลูกว่าอย่างไรบ้าง เรื่องที่ได้รับเลือกให้ไปเรียนที่โรงเรียนผู้วิเศษ” แม่ของเขากำลังตั้งโต๊ะทานอาหารเย็นพูดขึ้น
“อิจฉาพอเป็นพิธีขอรับ” เขาตัดสินใจลุกไปช่วยหยิบจานชามด้วย “มัลค่อมกับโรสแมรี่ได้รับเลือกด้วย พวกเขาจะไปกันทั้งสองคน”
“อย่างน้อยก็มีเพื่อนไปด้วย” พ่อของเขาพูด ผมสีน้ำตาลสั้นเกรียนอย่างคนสู้งานพึงทำ ดวงตาสีน้ำตาลถ่ายทอดสู่ดาริอุสกับน้องสาวเหมือนสัญลักษณ์ทางสายเลือด โดยเฉพาะดาริอุสที่เหมือนพ่อทั้งดวงตาและสีผม “อาจเป็นญาติข้างพ่อก็ได้ที่เป็นผู้วิเศษ” บทสนทนาก่อนอาหารเย็นจบลงด้วยแววตาสีฟ้าใสของแม่บ้าน พ่อกับแม่ของเขามองตากันอย่างมีความหมายก่อนลงมือทานอาหารเย็น...
“ช่วยด้วย” เสียงแว่วหวานกังวานขึ้นอีกครั้งเมื่อย่างเข้าปลายฤดูหนาว “ได้โปรดมาช่วยข้าด้วย มาที่โรงเรียนแล้วปลดปล่อยข้า นามของข้าคือ...”
ดาริอุสอยู่ในความฝันอย่างที่เคยเป็นเมื่อต้นฤดู ร่างของเขาถูกตรึงเข้ากับผนัง เด็กสาวผมดำหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างในเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์สั่นเทาเอื้อมมือมาทางเขาอย่างยากเย็น ความฝันในครั้งนี้ต่างกับครั้งอื่นๆ มันเหมือนจริงจนน่าขนลุก ผิวหนังยังสัมผัสความเย็นยะเยือกจากแผ่นหินได้แม้ตื่นขึ้นมาแล้ว เด็กชายหวนคิดอีกครั้งว่าความฝันนี่คืออะไรกันแน่ หรือเขาดีใจจนเก็บมาฝันบ้าบออีกครั้งหลังจากตอนนั้น
“เตรียมของครบแล้วหรือดาริอุส” แม่ของเขาแปลกใจที่เห็นลูกชายคนเดียวหอบสัมภาระลงมาแต่หัววัน กำหนดการเดินทางไปโรงเรียนคือตอนเที่ยงตรงในโบสถ์ใกล้ๆ
“เสื้อผ้าสามชุดไม่รวมชุดชั้นใน เสื้อคลุมสำหรับฤดูหนาว แปรงสีฟัน สบู่ หนังสือประจำตัว หมึกกับปากกา สมุดเขียน ครบแล้วขอรับ” ดาริอุสทบทวนรายการสิ่งของในกระเป๋าสะพายหลังอีกครั้ง เวลาค่อนคืนที่นอนไม่หลับถูกใช้ตรวจสอบว่าข้าวของในกระเป๋าครบหรือไม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เห็นไหมว่ายังไม่มีใครมาเลย” แม่ของเขาบ่นอุบ ดาริอุสกับครอบครัวมาถึงโบสถ์ก่อนเวลาเล็กน้อย
ในโถงใหญ่มีเก้าอี้วางเรียงรายด้านในสุดมีรูปปั้นเทพีแห่งสายลมผู้มอบลมหายใจแก่มวลมนุษย์ตั้งอยู่ ทั้งห้องปกคลุมด้วยความหนาวเย็นจากภายนอก แสงสลัวยามเช้าแทบผ่านกระจกสีเข้ามาไม่ได้ ดาริอุสส่ายสายตามองตามเก้าอี้แถวเรียงรายจึงพบกับผู้รอคอย ชายคนหนึ่งเงยหน้าจากหนังสือมองมาทางพวกเขา ชายคนนั้นมีผมสีเหลืองดวงตาสีมรกต มีแต่ชาวเมืองทางตะวันออกไปอีกเท่านั้นที่มีดวงตาสีนี้
“เป็นนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ธาตุและศาสตร์แห่งมนตราโคลโบลท์ใช่ไหมขอรับ” ชายดวงตาสีมรกตลุกยืนทักทาย ผมหางม้ากับเสื้อคลุมอย่างเป็นทางการไร้ที่ติ เสื้อคลุมแบบผู้วิเศษสีสดเข้ากับสีผม ผมสีเหลืองห้อยชายข้ามไหล่พอให้ดูไม่เป็นทางการ หากบอกว่าเขามารอนัดเที่ยวกับคนรักคงน่าเชื่อกว่ามารอรับนักเรียน “ข้าชื่อคัลวิน บริดจ์แมนเป็นครูคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ มาเพื่อรับผู้มีสิทธิ์ไปโรงเรียน พวกท่านคงทราบจากใบแจกแล้วว่าเป็นโรงเรียนประจำตามกฎของโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อป้องกันการใช้เวทมนตร์ผิดพลาดนอกเขตปลอดภัย”
(มีต่อ)