ภรรยาผม ชอบมาเล่าให้ฟังว่า เรื่องเกี่ยวกับแท็กซี่ ผมก็เลยมานั่งอ่านตามที่ภรรยาบอก ผมว่า เรื่องแท็กซี่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ฟังเหตุผลจากอีกมุมหนึ่งของ คนขับแท็กซี่ (หรืออาจจะรวมเจ้าของอู่) มาให้เหตุผล ใน voice of taxi
https://www.facebook.com/voiceoftaxis?fref=ts
ผมจึงรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เท่าที่พอจะหาได้ และนำมาสรุปได้ดังนี้
จากสถิติกรมการขนส่ง ฯ มีการร้องเรียนผ่าน สายด่วนของกรมฯ ระหว่าง ตค54-กย.55 ทั้งสิ้น 27518 ครั้ง
เรื่องที่บ่นกันมากสุด เห็นจะเป็นเรื่อง ปฏิเสธไม่รับผุ้โดยสาร 13056 ราย คิดเป็น 47%
วาจาไม่สุภาพ 3793 ราย คิดเป็น 13%
ไม่ส่งผู้โดยสาร ตามที่ตกลง 2694 ราย คิดเป็น 9%
ขับรถอันตราย หวาดเสียว 2010 ราย คิดเป็น 7%
ไม่ใช้มิเตอร์ 1316 ราย คิดเป็น 4 %
**ที่มา ข่าวกรมการขนส่งทางบก ข่าวที่ 4 / วันที่ 8 ตุลาคม 2555
สถิติในปี 2556 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 มาก จากปี 55 มีผู้ร้อง 27518 ราย เป็น 38277 ราย เพิ่มขึ้น 39% และคาดว่า สถิติปี 2557 ก็น่าจะเพิ่มอีกแน่นอน
เรื่องที่บ่นมากสุด ได้แก่ การปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร 18801 ราย เพิ่มขึ้น 44 %
วาจาไม่สุภาพ 5028 ราย เพิ่มขึ้น 32%
ไม่ส่งผู้โดยสารตามที่ตกลง 3719 ราย เพิ่มขึ้น 38%
ขับรถอันตราย หวาดเสียว 2539 ราย เพิ่มขึ้น 26%
ไม่ใช้มิเตอร์ 2064 ราย เพิ่มขึ้น 56%
แต่เหตุผล ของตัวแทนแท็กซี่ จากเพจ Voice of Taxi ให้เหตุผล
แต่เชื่อไหม ว่ายังมี แท็กซี่ ที่โดนใจชาวประชา คนจึงพากันมาไลค์กันมากมาย
ถ้าเราลองมาใช้วิชาเศรษฐศาสตร์ เบื้องต้นอย่างง่าย ๆ โดยคิดว่า ในกรณีที่ค่าโดยสารต่ำมาก ต่ำดังชนิดที่ แอดมิน
Voice of Taxi นำเสนอเป็นเหตุผลหลัก จึงทำให้เกิดปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสาร และปัญหาอื่น ๆ ดังสถิติที่ปรากฏด้านบน ดังนั้น จำนวน
ของรถที่เข้ามาจดทะเบียนเป็นแท็กซี่ใหม่ น่าจะมีจำนวนลดลง แต่จากสถิติของกรมการขนส่งทางบก ปรากฏว่า ในปี 54-56
กลับมีจำนวนแท็กซี่เพิ่มจำนวนขึ้นมาก (ดูที่ตารางด้านล่าง รย.6) ทั้ง ๆ ที่ช่วงนั้น กรุงเทพฯ ประสบกับการประท้วง ปิดถนน และจำนวนนักท่องเที่ยวในปลายปี
56 ลดลงไปเป็นจำนวนมาก จึงแสดงว่า ราคามิเตอร์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ยังมีกำไรไม่ต่ำกว่าปกติ (หมายถึง ธุระกิจยังอยู่ได้)
ดังนั้น ถ้าหากมีการปรับขึ้นราคาแท็กซี่ ตามที่ประกาศไว้จนเต็มเพดาน ก็จะทำให้มีกำไรในธุระกิจมากขึ้น อันจะเป็นการดึงดูด
ให้คนหันมาขับแท็กซี่ และออกรถแท็กซี่ มากขึ้นก็เป็นได้ ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ มีการยกเลิก
การทำนาปรัง ก็ยิ่งมีแรงงานว่างงานเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น (เป็นความเห็นส่วนตัว)
ผิดถูกประการใด ท่านอื่น ๆ มีความเห็นอย่างไร เชิญสานต่อได้เลยครับ
ค่าโดยสารแท็กซี่ มันต่ำมาก จนถึงขนาดที่ทำให้ คนขับแท็กซี่ต้องปฏิเสธผู้โดยสาร ฯลฯอีกสารพัด จริงหรือ?
ผมจึงรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เท่าที่พอจะหาได้ และนำมาสรุปได้ดังนี้
จากสถิติกรมการขนส่ง ฯ มีการร้องเรียนผ่าน สายด่วนของกรมฯ ระหว่าง ตค54-กย.55 ทั้งสิ้น 27518 ครั้ง
เรื่องที่บ่นกันมากสุด เห็นจะเป็นเรื่อง ปฏิเสธไม่รับผุ้โดยสาร 13056 ราย คิดเป็น 47%
วาจาไม่สุภาพ 3793 ราย คิดเป็น 13%
ไม่ส่งผู้โดยสาร ตามที่ตกลง 2694 ราย คิดเป็น 9%
ขับรถอันตราย หวาดเสียว 2010 ราย คิดเป็น 7%
ไม่ใช้มิเตอร์ 1316 ราย คิดเป็น 4 %
**ที่มา ข่าวกรมการขนส่งทางบก ข่าวที่ 4 / วันที่ 8 ตุลาคม 2555
สถิติในปี 2556 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 มาก จากปี 55 มีผู้ร้อง 27518 ราย เป็น 38277 ราย เพิ่มขึ้น 39% และคาดว่า สถิติปี 2557 ก็น่าจะเพิ่มอีกแน่นอน
เรื่องที่บ่นมากสุด ได้แก่ การปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร 18801 ราย เพิ่มขึ้น 44 %
วาจาไม่สุภาพ 5028 ราย เพิ่มขึ้น 32%
ไม่ส่งผู้โดยสารตามที่ตกลง 3719 ราย เพิ่มขึ้น 38%
ขับรถอันตราย หวาดเสียว 2539 ราย เพิ่มขึ้น 26%
ไม่ใช้มิเตอร์ 2064 ราย เพิ่มขึ้น 56%
แต่เหตุผล ของตัวแทนแท็กซี่ จากเพจ Voice of Taxi ให้เหตุผล
แต่เชื่อไหม ว่ายังมี แท็กซี่ ที่โดนใจชาวประชา คนจึงพากันมาไลค์กันมากมาย
ถ้าเราลองมาใช้วิชาเศรษฐศาสตร์ เบื้องต้นอย่างง่าย ๆ โดยคิดว่า ในกรณีที่ค่าโดยสารต่ำมาก ต่ำดังชนิดที่ แอดมิน
Voice of Taxi นำเสนอเป็นเหตุผลหลัก จึงทำให้เกิดปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสาร และปัญหาอื่น ๆ ดังสถิติที่ปรากฏด้านบน ดังนั้น จำนวน
ของรถที่เข้ามาจดทะเบียนเป็นแท็กซี่ใหม่ น่าจะมีจำนวนลดลง แต่จากสถิติของกรมการขนส่งทางบก ปรากฏว่า ในปี 54-56
กลับมีจำนวนแท็กซี่เพิ่มจำนวนขึ้นมาก (ดูที่ตารางด้านล่าง รย.6) ทั้ง ๆ ที่ช่วงนั้น กรุงเทพฯ ประสบกับการประท้วง ปิดถนน และจำนวนนักท่องเที่ยวในปลายปี
56 ลดลงไปเป็นจำนวนมาก จึงแสดงว่า ราคามิเตอร์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ยังมีกำไรไม่ต่ำกว่าปกติ (หมายถึง ธุระกิจยังอยู่ได้)
ดังนั้น ถ้าหากมีการปรับขึ้นราคาแท็กซี่ ตามที่ประกาศไว้จนเต็มเพดาน ก็จะทำให้มีกำไรในธุระกิจมากขึ้น อันจะเป็นการดึงดูด
ให้คนหันมาขับแท็กซี่ และออกรถแท็กซี่ มากขึ้นก็เป็นได้ ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ มีการยกเลิก
การทำนาปรัง ก็ยิ่งมีแรงงานว่างงานเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น (เป็นความเห็นส่วนตัว)
ผิดถูกประการใด ท่านอื่น ๆ มีความเห็นอย่างไร เชิญสานต่อได้เลยครับ