ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงบุคลิกหญิงคนนี้และที่มาของมหากาพย์มหากามนี้อย่างย่อๆ(ย่อที่สุดแล้ว)
ผู้หญิงคนนี้พื้นเพเป็นคนนครสวรรค์ ทำงานที่ รพ.แห่งหนึ่งใน จ.ระยอง อายุมากกว่าเรา 1 ปี เคยผ่านการครอบครัวและมีบุตร 1 คน (สามีเราไม่ติดใจการมีลูก เพราะเค้าบอกว่ามีแล้วแต่ไม่ได้เลี้ยงเองก็ไม่นับว่ามี หึหึ) สามีเราเปิดกิจการส่วนตัวที่ กทม. และเราเองทำงานอยู่จังหวัดทางอิสาน (ระยะทางเค้าเป็นต่อแน่นอน)
หญิงคนนี้ก้าวย่างเข้าสู่วงกรรมวงกามนี้ผ่านช่องทาง snook QQ ใช้เวลาในการสารสัมพันธ์นานเท่าไหร่เราไม่แน่ใจ แต่ที่รู้คือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อยู่ๆสามีเราหาเรื่องทะเลาะและไม่ยอมรับโทรศัพท์ 3 วันติดต่อกัน จากที่คบหารู้จักกันและแต่งงานกันมา 10 ปี ไม่เคยมีวันไหนไม่คุยโทรศัพท์กัน แม้จะทะเลาะกันก็ต้องโทรคุยกันจนกว่าจะนอน จากเหตุที่เค้าไม่รับสายเรา ร่วมกับพ่อเราป่วยหมอส่งตัวไปรักษาที่ รพ.รามา แต่เรายังลางานไปไม่ได้ ก็หวังพึ่งลูกเขยซึ่งอยู่ใกล้ไปช่วยดูให้หน่อย แต่ติดต่อเค้าไม่ได้ ไม่ยอมรับสาย เราเริ่มร้อนใจ ไหนจะเรื่องพ่อ ไหนจะเรื่องสามี เลยขอหัวหน้าให้เคลียร์เวรให้ ไปแบบไม่ได้บอกเค้าล่วงหน้า เค้าเห็นหน้าเรา หน้าตาตื่นตะหนก หน้าซีด รุกรี้รุกรน เดินขึ้นเดินลงบ้านชั้นล่างไปชั้น 3 เหมือนคนบ้าจนสังเกตเห็น ตกกลางคืนปิดเสียงมือถือ แต่ตั้งสั่นไว้ ความแตกตอนเราเดินเข้าห้องน้ำตอนตี 2-3 มี miss call 40 กว่าสาย และข้อความไม่ได้รับ เปิดอ่านเลยค่ะ ..."ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ถ้าจะไม่รับผิดชอบก็บอกมาตรงๆ อย่ามาหลบหน้าแบบนี้"...จากข้อความนี้ทำให้สิ่งที่เราหาคำตอบของความไม่ลงรอยกันทั้งหมด มีการพูดคุยกับหญิงคนนี้ทางโทรศัพท์ครั้งแรกเธอเหมือนตกใจเหมือนกับว่าถูกหลอก (ซึ่งเราเชื่อคำว่าหลอกจริง สามีเราเลวจริง) และเธอพูดคล้ายกับว่า "จะถอย ไม่คบแล้วมาหลอกกันอย่างนี้ได้ไง"
แต่ไม่เป็นอย่างที่เธอพูดไว้ เธอก้าวหน้าถึงขนาดเข้ามากินอยู่หลับนอนที่ร้านสามีเสมือนเป็นเมียแต่งอีกคน (จะโทษความด้านของผู้หญิงฝ่ายเดียวไม่ได้ สามีเรานี่แหละสำคัญ ถ้าไม่พามาใครจะมาได้) ในขณะที่เราท้องได้ 4 เดือน เราเคยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวในห้องนอนสามีเรา (นอกเหนือจากการคุยโทรกันนับครั้งไม่ถ้วน) เธอนั่งดูทีวีอยู่บนเตียง หน้าเชิด ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น คำพูดที่เธอพูดมีคำเดียวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ มันเป็นเรื่องของเรากับสามี (ทั้งๆที่มันนั่งและนอนอยู่ในห้องของเรากับสามี มันบอกว่าไม่เกี่ยวกับมัน) คำพูดนี้เราฟังจากปากผู้หญิงคนนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และไม่เคยลงไม้ลงมือ พูดคุยกันแบบคนมีการศึกษาตลอด (นึกถึงตอนนี้แล้วเสียใจนิดๆว่าน่าจะใช้กำลังให้มันเจ็บบ้างก็ดีนะ) ในวันนั้นสามีเราไล้เราออกจากบ้านนั้น เราอึ้ง เราช็อค เราเสียใจ เค้าเลือกผู้หญิงคนเดียว และผลักไสเราและลูกในท้อง ขับรถกลับต่างจังหวัดเหมือนคนไม่มีสติ ถึงบ้านหลับตาไม่ลง หลับตาก็มองเห็นแต่สายตาชิงชังและคำพูดทิ่มแทงจิตใจ ทำใจไม่ได้ที่ผู้ชายที่เป็นคนแรกในชีวิตและเลือกเป็นสามีจะทำร้ายเราได้ขนาดนี้ มันเกิดคำถามว่าทำไมเค้าถึงทำได้ขนาดนี้ตลอดเวลา
ความเสียใจ ความเจ็บปวดมันแสนสาหัสและน่าจะจบตั้งแต่วันที่เค้าเลือกคนนั้นแล้ว สามียังติดต่อเรามาและให้ความหวังว่าเค้าจะเคลียร์ตัวเองให้ได้เพื่อลูก เพื่อครอบครัวขอให้เรารอ แต่ไม่เป็นแบบนั้น 2 สัปดาห์ มีโอกาสได้คุยกับแม่สามี ท่านเล่าให้ฟังว่าผู้หญิงบอกว่าท้อง 2 เดือน สามีเราพาพ่อไปคุยกับผู้ใหญ่ของผู้หญิง ทำการพูดคุยตกลงจะผูกข้อมือ ทั้งๆที่เราเป็นเมียแต่งและกำลังท้องอยู่ (พูดกันง่ายๆว่าแต่งงานแบบบ้านๆ) หลังตกลงวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่าคงเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่คุยกัน เรารู้ว่าเธอท้อง เราบอกสามีพาเธอไปตรวจและฝากท้องซะ ส่วนเราจะอยู่กับลูก 2 คน แต่งงานใหม่ก็ถือว่าจบสิ้นกัน ปรากฎว่าเธอบอกแท้งลูกก่อนถึงวันไปสู่ขอ 2 สัปดาห์ เธอเจอฤทธิ์ความโลเลของสามีเรามั่ง สามีเราไม่ไปขอตามที่ตกลงไว้ เหตุผลเพราะไม่มีลูกต้องรับผิดชอบแล้ว ( คนท้องจริงตอนนั้นโคตรสะใจ 555 )
หลังคลอดลูก สามีค่อนข้างติดลูก (เฉพาะเมื่ออยู่กับเราและลูกนะ) ปรากฎว่าเธอไม่กล้ามาที่ร้านสามีอีก เธอเริ่มอาย เราก็เริ่มสบายใจและถือว่าให้เวลาในการปรับตัวทั้งสามีและหญิงคนนั้น เราเลือกจะไม่เอาเรื่องเพราะเห็นแก่ความเป็นลูกผู้หญิงด้วยกัน (แต่แอบเก็บหลักฐานการสนทนาหลายๆช่องทางระหว่าง 2 คนนี้ไว้เป็นเอกสารเยอะเลย) คิดว่าคนเราเคยมีสัมพันธุ์ลึกซึ้ง คงต้องใช้เวลา เราก็มีวีนบ้าง ถ้าเค้าคุยไลน์หรือทำอะไรให้เห็นผิดตามาก เพราะไม่ได้อยู่คนละจังหวัด แต่ล่าสุดเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา เราพาลูกไปหาสามีในวันหยุดตามปกติ พบความผิดปกติ ห้องน้ำและห้องนอนสะอาดขึ้น ผ้าปูที่นอนใหม่ เราเริ่มถามเค้าบอกว่าก็คุณจะมาเลยทำความสะอาดรอ(ปกติไม่เคยเลย มีแต่มาแล้วต้องทำให้หมด) เราเริ่มปฏิบัติการเพื่อแก้ข้อสงสัย เริ่มจากลิ้นชักตู้ ตู้เสื้อผ้า และกระเป๋าเดินทาง ผลการค้นพบคือ ชุดนอนลายหมี เสื้อ 1 ตัว กางเกงในอีก 1 ตัว (ก่อนหน้าจะมีลูกเธอเอาทิ้งไว้เหมือนบ้านตัวเองเลย) เราทนและรักษาสถานภาพนี้ไม่ใช่ไม่มีทางเลือก เรามีงานการที่เลี้ยงตัวได้ มีรถ มีบ้านของเราเอง แต่ที่ทนและให้อภัยชายใจดำคนนึงมา 5 ปีคือ...เพื่อลูก...จากคนที่เคยขี้แง พูดคำสองคำก็ร้องไห้ กลายเป็นคนเข้มแข็งและแกร่งได้ ก็เพราะลูก เคยตัดสินใจไม่ร่วมทางกันแล้ว คุยกันทางโทรศัพท์และลูกตื่นมาเห็นเราร้องไห้กลางดึก ปฏิกิริยาของเด็ก 3 ขวบที่มีต่อแม่คือ น้องเข้ามากอดและปลอบให้หยุด น้องร้องไห้ตาม และกลางวันจากเด็กร่าเริงก็ซึมลง ไม่เล่น ไปโรงเรียนมาก็ไม่ออกไปเล่นกับใคร ร้องเข้าบ้านอย่างเดียว ไม่พูดคุยกับพ่อเค้าอีก แม้พ่อจะร้องขอคุยด้วยก็ไม่คุย นอนกลางคืนจะฝันร้ายตื่นมาร้องทุกคืนช่วงตี 2-3 สุดท้ายพี่ๆเพื่อนๆหลายคนแนะนำก็อยู่ไปก่อนเพื่อสภาพจิตใจลูก เอาให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน มันก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วนี่นา พอลูกได้เริ่มเจอหน้าพ่อเค้าก็กลับมาซนและสดใสเหมือนเดิม
จากเสื้อผ้า 2-3 ชิ้นนี้ มันทำให้ใจที่ปลงได้ในระดับนึงเริ่มระอุมาอีกแล้ว...มันตั้งใจมาเย้ยกันชัดๆ เราคิดอยากเอาคืนให้เจ็บแสบที่สุด แต่สมองระดับเราคิดไม่ออกจริงๆ ครั้งแรกตั้งใจจะเอาไปคืนถึงแผนกที่เธอนั่งทำงาน เคยคิดอยากทำอะไรหลายๆอย่างให้คนๆนี้อายเป็นมั่ง ไม่ใช่มานั่งพูดหน้าตายว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเธอตลอด เราก็มาคิดว่ามันจะคุ้มค่าที่เราเสียเวลากระเตงลูกไปรึเปล่า (เราเลี้ยงลูกเองมาตลอดคะ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ยกเว้นตอนไปโรงเรียน)จึงอยากได้เทคนิคหรือวิธีนำส่งสิ่งของพวกนี้คืนเจ้าของแบบสะใจจากเพื่อนสมาชิกคะ
ปล. อารมณ์นี้อย่างได้ความสะใจมากกว่าได้สามีที่ไม่มีวันเป็นคนดีคนเดิมได้คืน อิอิ
ใครมีวิธีส่งคืนชั้นในและเสื้อผ้าให้แก่หญิงที่ตั้งใจลืมไว้ในห้องสามีคนอื่นแบบเจ็บแสบจะแนะนำบ้างคะ
ผู้หญิงคนนี้พื้นเพเป็นคนนครสวรรค์ ทำงานที่ รพ.แห่งหนึ่งใน จ.ระยอง อายุมากกว่าเรา 1 ปี เคยผ่านการครอบครัวและมีบุตร 1 คน (สามีเราไม่ติดใจการมีลูก เพราะเค้าบอกว่ามีแล้วแต่ไม่ได้เลี้ยงเองก็ไม่นับว่ามี หึหึ) สามีเราเปิดกิจการส่วนตัวที่ กทม. และเราเองทำงานอยู่จังหวัดทางอิสาน (ระยะทางเค้าเป็นต่อแน่นอน)
หญิงคนนี้ก้าวย่างเข้าสู่วงกรรมวงกามนี้ผ่านช่องทาง snook QQ ใช้เวลาในการสารสัมพันธ์นานเท่าไหร่เราไม่แน่ใจ แต่ที่รู้คือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อยู่ๆสามีเราหาเรื่องทะเลาะและไม่ยอมรับโทรศัพท์ 3 วันติดต่อกัน จากที่คบหารู้จักกันและแต่งงานกันมา 10 ปี ไม่เคยมีวันไหนไม่คุยโทรศัพท์กัน แม้จะทะเลาะกันก็ต้องโทรคุยกันจนกว่าจะนอน จากเหตุที่เค้าไม่รับสายเรา ร่วมกับพ่อเราป่วยหมอส่งตัวไปรักษาที่ รพ.รามา แต่เรายังลางานไปไม่ได้ ก็หวังพึ่งลูกเขยซึ่งอยู่ใกล้ไปช่วยดูให้หน่อย แต่ติดต่อเค้าไม่ได้ ไม่ยอมรับสาย เราเริ่มร้อนใจ ไหนจะเรื่องพ่อ ไหนจะเรื่องสามี เลยขอหัวหน้าให้เคลียร์เวรให้ ไปแบบไม่ได้บอกเค้าล่วงหน้า เค้าเห็นหน้าเรา หน้าตาตื่นตะหนก หน้าซีด รุกรี้รุกรน เดินขึ้นเดินลงบ้านชั้นล่างไปชั้น 3 เหมือนคนบ้าจนสังเกตเห็น ตกกลางคืนปิดเสียงมือถือ แต่ตั้งสั่นไว้ ความแตกตอนเราเดินเข้าห้องน้ำตอนตี 2-3 มี miss call 40 กว่าสาย และข้อความไม่ได้รับ เปิดอ่านเลยค่ะ ..."ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ถ้าจะไม่รับผิดชอบก็บอกมาตรงๆ อย่ามาหลบหน้าแบบนี้"...จากข้อความนี้ทำให้สิ่งที่เราหาคำตอบของความไม่ลงรอยกันทั้งหมด มีการพูดคุยกับหญิงคนนี้ทางโทรศัพท์ครั้งแรกเธอเหมือนตกใจเหมือนกับว่าถูกหลอก (ซึ่งเราเชื่อคำว่าหลอกจริง สามีเราเลวจริง) และเธอพูดคล้ายกับว่า "จะถอย ไม่คบแล้วมาหลอกกันอย่างนี้ได้ไง"
แต่ไม่เป็นอย่างที่เธอพูดไว้ เธอก้าวหน้าถึงขนาดเข้ามากินอยู่หลับนอนที่ร้านสามีเสมือนเป็นเมียแต่งอีกคน (จะโทษความด้านของผู้หญิงฝ่ายเดียวไม่ได้ สามีเรานี่แหละสำคัญ ถ้าไม่พามาใครจะมาได้) ในขณะที่เราท้องได้ 4 เดือน เราเคยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวในห้องนอนสามีเรา (นอกเหนือจากการคุยโทรกันนับครั้งไม่ถ้วน) เธอนั่งดูทีวีอยู่บนเตียง หน้าเชิด ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น คำพูดที่เธอพูดมีคำเดียวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ มันเป็นเรื่องของเรากับสามี (ทั้งๆที่มันนั่งและนอนอยู่ในห้องของเรากับสามี มันบอกว่าไม่เกี่ยวกับมัน) คำพูดนี้เราฟังจากปากผู้หญิงคนนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และไม่เคยลงไม้ลงมือ พูดคุยกันแบบคนมีการศึกษาตลอด (นึกถึงตอนนี้แล้วเสียใจนิดๆว่าน่าจะใช้กำลังให้มันเจ็บบ้างก็ดีนะ) ในวันนั้นสามีเราไล้เราออกจากบ้านนั้น เราอึ้ง เราช็อค เราเสียใจ เค้าเลือกผู้หญิงคนเดียว และผลักไสเราและลูกในท้อง ขับรถกลับต่างจังหวัดเหมือนคนไม่มีสติ ถึงบ้านหลับตาไม่ลง หลับตาก็มองเห็นแต่สายตาชิงชังและคำพูดทิ่มแทงจิตใจ ทำใจไม่ได้ที่ผู้ชายที่เป็นคนแรกในชีวิตและเลือกเป็นสามีจะทำร้ายเราได้ขนาดนี้ มันเกิดคำถามว่าทำไมเค้าถึงทำได้ขนาดนี้ตลอดเวลา
ความเสียใจ ความเจ็บปวดมันแสนสาหัสและน่าจะจบตั้งแต่วันที่เค้าเลือกคนนั้นแล้ว สามียังติดต่อเรามาและให้ความหวังว่าเค้าจะเคลียร์ตัวเองให้ได้เพื่อลูก เพื่อครอบครัวขอให้เรารอ แต่ไม่เป็นแบบนั้น 2 สัปดาห์ มีโอกาสได้คุยกับแม่สามี ท่านเล่าให้ฟังว่าผู้หญิงบอกว่าท้อง 2 เดือน สามีเราพาพ่อไปคุยกับผู้ใหญ่ของผู้หญิง ทำการพูดคุยตกลงจะผูกข้อมือ ทั้งๆที่เราเป็นเมียแต่งและกำลังท้องอยู่ (พูดกันง่ายๆว่าแต่งงานแบบบ้านๆ) หลังตกลงวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่าคงเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่คุยกัน เรารู้ว่าเธอท้อง เราบอกสามีพาเธอไปตรวจและฝากท้องซะ ส่วนเราจะอยู่กับลูก 2 คน แต่งงานใหม่ก็ถือว่าจบสิ้นกัน ปรากฎว่าเธอบอกแท้งลูกก่อนถึงวันไปสู่ขอ 2 สัปดาห์ เธอเจอฤทธิ์ความโลเลของสามีเรามั่ง สามีเราไม่ไปขอตามที่ตกลงไว้ เหตุผลเพราะไม่มีลูกต้องรับผิดชอบแล้ว ( คนท้องจริงตอนนั้นโคตรสะใจ 555 )
หลังคลอดลูก สามีค่อนข้างติดลูก (เฉพาะเมื่ออยู่กับเราและลูกนะ) ปรากฎว่าเธอไม่กล้ามาที่ร้านสามีอีก เธอเริ่มอาย เราก็เริ่มสบายใจและถือว่าให้เวลาในการปรับตัวทั้งสามีและหญิงคนนั้น เราเลือกจะไม่เอาเรื่องเพราะเห็นแก่ความเป็นลูกผู้หญิงด้วยกัน (แต่แอบเก็บหลักฐานการสนทนาหลายๆช่องทางระหว่าง 2 คนนี้ไว้เป็นเอกสารเยอะเลย) คิดว่าคนเราเคยมีสัมพันธุ์ลึกซึ้ง คงต้องใช้เวลา เราก็มีวีนบ้าง ถ้าเค้าคุยไลน์หรือทำอะไรให้เห็นผิดตามาก เพราะไม่ได้อยู่คนละจังหวัด แต่ล่าสุดเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา เราพาลูกไปหาสามีในวันหยุดตามปกติ พบความผิดปกติ ห้องน้ำและห้องนอนสะอาดขึ้น ผ้าปูที่นอนใหม่ เราเริ่มถามเค้าบอกว่าก็คุณจะมาเลยทำความสะอาดรอ(ปกติไม่เคยเลย มีแต่มาแล้วต้องทำให้หมด) เราเริ่มปฏิบัติการเพื่อแก้ข้อสงสัย เริ่มจากลิ้นชักตู้ ตู้เสื้อผ้า และกระเป๋าเดินทาง ผลการค้นพบคือ ชุดนอนลายหมี เสื้อ 1 ตัว กางเกงในอีก 1 ตัว (ก่อนหน้าจะมีลูกเธอเอาทิ้งไว้เหมือนบ้านตัวเองเลย) เราทนและรักษาสถานภาพนี้ไม่ใช่ไม่มีทางเลือก เรามีงานการที่เลี้ยงตัวได้ มีรถ มีบ้านของเราเอง แต่ที่ทนและให้อภัยชายใจดำคนนึงมา 5 ปีคือ...เพื่อลูก...จากคนที่เคยขี้แง พูดคำสองคำก็ร้องไห้ กลายเป็นคนเข้มแข็งและแกร่งได้ ก็เพราะลูก เคยตัดสินใจไม่ร่วมทางกันแล้ว คุยกันทางโทรศัพท์และลูกตื่นมาเห็นเราร้องไห้กลางดึก ปฏิกิริยาของเด็ก 3 ขวบที่มีต่อแม่คือ น้องเข้ามากอดและปลอบให้หยุด น้องร้องไห้ตาม และกลางวันจากเด็กร่าเริงก็ซึมลง ไม่เล่น ไปโรงเรียนมาก็ไม่ออกไปเล่นกับใคร ร้องเข้าบ้านอย่างเดียว ไม่พูดคุยกับพ่อเค้าอีก แม้พ่อจะร้องขอคุยด้วยก็ไม่คุย นอนกลางคืนจะฝันร้ายตื่นมาร้องทุกคืนช่วงตี 2-3 สุดท้ายพี่ๆเพื่อนๆหลายคนแนะนำก็อยู่ไปก่อนเพื่อสภาพจิตใจลูก เอาให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน มันก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วนี่นา พอลูกได้เริ่มเจอหน้าพ่อเค้าก็กลับมาซนและสดใสเหมือนเดิม
จากเสื้อผ้า 2-3 ชิ้นนี้ มันทำให้ใจที่ปลงได้ในระดับนึงเริ่มระอุมาอีกแล้ว...มันตั้งใจมาเย้ยกันชัดๆ เราคิดอยากเอาคืนให้เจ็บแสบที่สุด แต่สมองระดับเราคิดไม่ออกจริงๆ ครั้งแรกตั้งใจจะเอาไปคืนถึงแผนกที่เธอนั่งทำงาน เคยคิดอยากทำอะไรหลายๆอย่างให้คนๆนี้อายเป็นมั่ง ไม่ใช่มานั่งพูดหน้าตายว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเธอตลอด เราก็มาคิดว่ามันจะคุ้มค่าที่เราเสียเวลากระเตงลูกไปรึเปล่า (เราเลี้ยงลูกเองมาตลอดคะ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ยกเว้นตอนไปโรงเรียน)จึงอยากได้เทคนิคหรือวิธีนำส่งสิ่งของพวกนี้คืนเจ้าของแบบสะใจจากเพื่อนสมาชิกคะ
ปล. อารมณ์นี้อย่างได้ความสะใจมากกว่าได้สามีที่ไม่มีวันเป็นคนดีคนเดิมได้คืน อิอิ