เท่าที่ติดตามดู และสัมผัสฟุตบอลไทยมา จนถึงยุค ซิโก้ เกียรติศักดิ์
เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง เป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น
ถ้าหาก พื้นฐาน ฟุตบอลไทย ยึดหลักการทำทีม แบบโค๊ชซิโก้
ผมว่า ในอนาคต เราสามารถที่จะพัฒนา ให้เทียบเท่าเกาหลี ญี่ปุ่นได้
ถ้าหากสมาคมเป็นมืออาชีพ และ ยึดหลักการการทำทีม
โดยไม่มุ่งหวัง ผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง
การพาบอลไทยไปบอลโลก ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
สัญญาณที่ดี ในยุคซิโก้
1) ความเป็นมืออาชีพ
ในยุคก่อนๆ โค๊ชทีมชาติไทย เราใช้โค๊ช ต่างชาติเป็นหลัก
โค๊ชมีหน้าที่ มาดูแลหลังจาก การคัดเลือกตัวผู้เล่น เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งคงไม่พ้นข้อครหา เด็กฝาก เด็กเส้น เด็กกรู
โค๊ชเหล่านั้นบางคน ไม่ได้ไปคัดเลือกตัวผู้เล่นด้วยตัวเอง
ในยุคก่อนๆที่ผ่านมา โค๊ชมีหน้าที่แกะซอง ใส่ถ้วย เทน้ำร้อน
แต่ในยุคซิโก้ คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร เลยต้องไปหา
ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มาหั่น มาโขกสับ เพื่อให้ได้รสชาติ ตามแปลนที่วางไว้
2) ระเบียบวินัย
การที่โค๊ชทีมชาติ คนก่อนๆ ไม่กล้าแตะนักเตะบางคน ที่เกเร
สมัยก่อน เราจะเห็นระเบียบวินัย ค่อนข้างจะบกพร่อง บางคนหนีเที่ยว กินเหล้า เมาแล้วขับตามข่าว
มีเรื่องในผับ ตอนนั้นจำไม่ได้ ว่าใครไปมีเรื่องชกต่อยในผับ (ยุคทวีโชค)
ในยุคซิโก้ ระเบียบวินัยดูค่อนข้างจะเข้มงวด ซึ่งผลงาน เราเห็นชัดเจน ในสนาม
นักเตะไทย โดนมาตั้งแต่นัดแรกที่พบกับสิงคโปร์ มาเลย์ และ พม่า โดยเฉพาะ เจ้าตัวเล็กรู้สึก
จะโดนเยอะกว่าเพื่อน คือเจ้าเจ นัดล่าสุด ทั้งเจ้าเจ และ เจ้าหนุ่ย สราวุฒิ มาสุข โดนพม่าเตะ เข้าหนัก
แต่ทุกคนไม่สนใจ มุ่งมั่นในเกมส์อย่างเดียว ถ้าเป็นยุคก่อนมีเอาคืน แน่นอน ...
ทั้งสามเกมส์ มีหลุดอยู่คนเดียว ที่เอาคืน จริงๆ เห็นใจที่โดนมาเลย์ เล่นตอดเล็กตอดน้อย
แต่อยากให้ ลงโทษ เพื่อรักษากฏ
3) ความมุ่งมั่นในเกมส์ และ ความกระหายในชัยชนะ
มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนไทยทั้งประเทศ หลังจากเราไม่ได้ดูฟุตบอลทีมชาติที่
ที่เล่นสนุก ตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน หลังจากชุดดรีมทีม ในยุคบิ๊กหอย
หลังจากนั้นทีมชาติไทย เล่นบอล แบบซังกะตาย เดินเล่น ไม่มุ่งมั่น มีแต่ความเก๋า
แต่ขาดแรงจูงใจในการเล่นเพื่อชาติ เหมือนถูกบังคับให้มาเล่น ...
ในยุคนี้ เราได้เห็น ความมุ่งมั่นของเด็กไทย ภาพชัดเจน นัดเจอมาเลย์เซีย
โดนนำสองครั้งสองครา แต่เรากลับพลิกมาชนะ ได้ ในนาทีที่ 88 เกือบจะหมดเวลาอยู่แล้ว
เพราะความกระหายในชัยชนะ ตราบใดที่กรรมการยังไม่เป่าหมดเวลา ทุกคนยังมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะให้ได้
4) ทัศนะคติ ในการเล่น และวุฒิภาวะของนักเตะ
ทีมชาติไทยชุดนี้ มีความเป็นมืออาชีพสูงกว่า รุ่นพี่ๆ ที่ผ่านมา
เราโดนทำฟาวล์ กรรมการไม่เป่าให้ ก็ไม่เถียง อาจจะเถียงบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับแสดงอาการโอเวอร์แอ๊คชั่น
เราโดนนักเตะรุ่นใหญ่ อย่างสิงคโปร์ มาเลย์ และ พม่า ทำฟาวล์เราตลอดทั้งสามเกมส์
แต่ทุกคนไม่สนใจ มุ่งมั่นในเกมส์อย่างเดียว การควบคุมอารมณ์ของนักเตะ ผมให้คะแนน 10/10
สามนัดที่ผ่านมา รูปร่างประสบการณ์ ทีมชาติไทย เป็นรองทุกอย่าง
เราเจอกระดูก ที่แข็งมาก ในสาย โดยเฉพาะ มาเลย์ และ พม่า รูปเกมส์เราไม่ได้เหนือกว่า
แต่ที่เราพลิกกลับมาชนะได้ เพราะ ความเป็นมืออาชีพ ของทีมงานและนักเตะ
ความมุ่งมั่นในเกมส์ ความกระหายในชัยชนะ ....
สามนัดที่ผ่านมา ทีมชาติไทย เป็นทีมเดียวที่ชนะมาทั้งสามนัด
เป็นสถิติ ที่ดีที่สุด ในทัวร์นาเม้นต์นี้ ....
ผมมองว่าทีมแข็งๆ เราผ่านมาหมดแล้ว
ที่เหลือไม่น่ากลัวแล้วสำหรับทีมชาติไทย
พุธหน้า 10 ธันวา 2557 จะเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ของฟุตบอลไทย
ศรัทธาฟุตบอลบอลไทย กำลังจะกลับมา
และเราจะเห็นสนามแตกอีกครั้ง... ที่ราชมังคลา
<<.. ทีมชาติไทย สัญญาณที่ดี ในยุค ซิโก้ .. >>
เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง เป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น
ถ้าหาก พื้นฐาน ฟุตบอลไทย ยึดหลักการทำทีม แบบโค๊ชซิโก้
ผมว่า ในอนาคต เราสามารถที่จะพัฒนา ให้เทียบเท่าเกาหลี ญี่ปุ่นได้
ถ้าหากสมาคมเป็นมืออาชีพ และ ยึดหลักการการทำทีม
โดยไม่มุ่งหวัง ผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง
การพาบอลไทยไปบอลโลก ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
สัญญาณที่ดี ในยุคซิโก้
1) ความเป็นมืออาชีพ
ในยุคก่อนๆ โค๊ชทีมชาติไทย เราใช้โค๊ช ต่างชาติเป็นหลัก
โค๊ชมีหน้าที่ มาดูแลหลังจาก การคัดเลือกตัวผู้เล่น เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งคงไม่พ้นข้อครหา เด็กฝาก เด็กเส้น เด็กกรู
โค๊ชเหล่านั้นบางคน ไม่ได้ไปคัดเลือกตัวผู้เล่นด้วยตัวเอง
ในยุคก่อนๆที่ผ่านมา โค๊ชมีหน้าที่แกะซอง ใส่ถ้วย เทน้ำร้อน
แต่ในยุคซิโก้ คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร เลยต้องไปหา
ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มาหั่น มาโขกสับ เพื่อให้ได้รสชาติ ตามแปลนที่วางไว้
2) ระเบียบวินัย
การที่โค๊ชทีมชาติ คนก่อนๆ ไม่กล้าแตะนักเตะบางคน ที่เกเร
สมัยก่อน เราจะเห็นระเบียบวินัย ค่อนข้างจะบกพร่อง บางคนหนีเที่ยว กินเหล้า เมาแล้วขับตามข่าว
มีเรื่องในผับ ตอนนั้นจำไม่ได้ ว่าใครไปมีเรื่องชกต่อยในผับ (ยุคทวีโชค)
ในยุคซิโก้ ระเบียบวินัยดูค่อนข้างจะเข้มงวด ซึ่งผลงาน เราเห็นชัดเจน ในสนาม
นักเตะไทย โดนมาตั้งแต่นัดแรกที่พบกับสิงคโปร์ มาเลย์ และ พม่า โดยเฉพาะ เจ้าตัวเล็กรู้สึก
จะโดนเยอะกว่าเพื่อน คือเจ้าเจ นัดล่าสุด ทั้งเจ้าเจ และ เจ้าหนุ่ย สราวุฒิ มาสุข โดนพม่าเตะ เข้าหนัก
แต่ทุกคนไม่สนใจ มุ่งมั่นในเกมส์อย่างเดียว ถ้าเป็นยุคก่อนมีเอาคืน แน่นอน ...
ทั้งสามเกมส์ มีหลุดอยู่คนเดียว ที่เอาคืน จริงๆ เห็นใจที่โดนมาเลย์ เล่นตอดเล็กตอดน้อย
แต่อยากให้ ลงโทษ เพื่อรักษากฏ
3) ความมุ่งมั่นในเกมส์ และ ความกระหายในชัยชนะ
มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนไทยทั้งประเทศ หลังจากเราไม่ได้ดูฟุตบอลทีมชาติที่
ที่เล่นสนุก ตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน หลังจากชุดดรีมทีม ในยุคบิ๊กหอย
หลังจากนั้นทีมชาติไทย เล่นบอล แบบซังกะตาย เดินเล่น ไม่มุ่งมั่น มีแต่ความเก๋า
แต่ขาดแรงจูงใจในการเล่นเพื่อชาติ เหมือนถูกบังคับให้มาเล่น ...
ในยุคนี้ เราได้เห็น ความมุ่งมั่นของเด็กไทย ภาพชัดเจน นัดเจอมาเลย์เซีย
โดนนำสองครั้งสองครา แต่เรากลับพลิกมาชนะ ได้ ในนาทีที่ 88 เกือบจะหมดเวลาอยู่แล้ว
เพราะความกระหายในชัยชนะ ตราบใดที่กรรมการยังไม่เป่าหมดเวลา ทุกคนยังมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะให้ได้
4) ทัศนะคติ ในการเล่น และวุฒิภาวะของนักเตะ
ทีมชาติไทยชุดนี้ มีความเป็นมืออาชีพสูงกว่า รุ่นพี่ๆ ที่ผ่านมา
เราโดนทำฟาวล์ กรรมการไม่เป่าให้ ก็ไม่เถียง อาจจะเถียงบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับแสดงอาการโอเวอร์แอ๊คชั่น
เราโดนนักเตะรุ่นใหญ่ อย่างสิงคโปร์ มาเลย์ และ พม่า ทำฟาวล์เราตลอดทั้งสามเกมส์
แต่ทุกคนไม่สนใจ มุ่งมั่นในเกมส์อย่างเดียว การควบคุมอารมณ์ของนักเตะ ผมให้คะแนน 10/10
สามนัดที่ผ่านมา รูปร่างประสบการณ์ ทีมชาติไทย เป็นรองทุกอย่าง
เราเจอกระดูก ที่แข็งมาก ในสาย โดยเฉพาะ มาเลย์ และ พม่า รูปเกมส์เราไม่ได้เหนือกว่า
แต่ที่เราพลิกกลับมาชนะได้ เพราะ ความเป็นมืออาชีพ ของทีมงานและนักเตะ
ความมุ่งมั่นในเกมส์ ความกระหายในชัยชนะ ....
สามนัดที่ผ่านมา ทีมชาติไทย เป็นทีมเดียวที่ชนะมาทั้งสามนัด
เป็นสถิติ ที่ดีที่สุด ในทัวร์นาเม้นต์นี้ ....
ผมมองว่าทีมแข็งๆ เราผ่านมาหมดแล้ว
ที่เหลือไม่น่ากลัวแล้วสำหรับทีมชาติไทย
พุธหน้า 10 ธันวา 2557 จะเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ของฟุตบอลไทย
ศรัทธาฟุตบอลบอลไทย กำลังจะกลับมา
และเราจะเห็นสนามแตกอีกครั้ง... ที่ราชมังคลา