Gate - thus the jsdf fought there มามโนคลายเครียดกัน
เนื้อเรื่อง Gate: thus the JSDF fought there เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่ง ของปี 20XX ที่กินซ่า กลางเมืองกรุงโตเกียว ได้เกิดประตูมิติขนาดใหญ่ขึ้น แล้วก็มีและมีทหารยุคกลางและสัตว์ประหลาด (มังกร, ยักษ์) แห่กันออกมาจากประตูบานนั้น ไล่ฆ่าพลเรือนจำนวนมาก ส่งผลทำให้กินซ่ากลายเป็นขุมนรก และภายหลังเหตุการณ์นี้ถูกเรียกต่อมาว่า “เหตุการณ์กินซ่า”
เห็นได้ชัดกองทัพแฟนตาซีที่มาจากประตูหมายที่จะยึดดินแดนญี่ปุ่นแห่งนี้ ตอนแรกฝ่ายต่างโลกก็ได้เปรียบอยู่หรอก แต่อนิจจา เมื่อญี่ปุ่นส่งกองทัพออกมาตอบโต้ฝ่ายต่างโลก มันหนังคนล่ะม้วน ดาบหรือจะสู้ปืน มังกรหรือจะสู้เครื่องบินรบ ยักษ์หรือจะสู้รถถังหุ้มเกราะแรด ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าฝ่ายต่างโลกพ่ายแพ้พินาศในเวลาแค่ 7 วันเท่านั้น (ที่สูสีน่ะสู้กับตำรวจในช่วงแรกเท่านั้นแหละ)
หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พื้นที่ประตูปรากฏถูกเรียกว่า “พื้นที่พิเศษ” ซึ่งประตูถูกรัฐบาลฯญี่ปุ่นยึด ซึ่งในภายหลังก็ได้ค้นพบว่าประตูเป็นทางเชื่อมระหว่างญี่ปุ่นและโลกอีกโลกหนึ่ง ทำให้กองกำลังป้องกันตัวเองตัดสินใจส่งกองทหารเล็กๆ เข้าไปเพื่อตรึงพื้นที่รักษาความปลอดภัยเอาเอาไว้ (พร้อมกับกองทัพ US ด้วย)
ต่อมากองทัพญี่ปุ่นได้ส่งทีมย่อยที่นำโดยพระเอกเรื่องนี้คือ “โยวจิ อิตามิ” เป็นทหารยศร้อยตรี อายุ 33 ปี ที่เป็นถึงหน่วยเรนเจอร์ แต่อนิจจาเขาไม่มีลักษณะเป็นทหารที่แข็งแกร่งอะไรเลยแม้แต่น้อย หน้าตาเหมือนผู้ชายทั่วไป อีกทั้งยังเป็นโอตากุ (เขายืดอกยอมรับเองว่าเป็นโอตากุ) มีเมียเป็นสาวแว่นแต่หย่ากันแล้ว (แต่ยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่) นิสัยค่อนข้างสบายถือคติว่า “กินอิ่ม นอนหลับ เล่นสนุก นี้แหละชีวิตของคนญี่ปุ่น"
โอตามิและพรรคพวกได้เข้าไปพื้นที่ดินแดนของฝ่ายศัตรูเพื่อทำภารกิจลาดตะเวน สำรวจ ช่วยเหลือประชาชนในท้องที่ และผูกสัมพันธ์กับชาวบ้าน (ช่วยเหลือปัจจัยที่จำเป็น)
เรื่องนี้ไม่มีนางเอกเด่นชัด แต่มีตัวเอกหญิง 3 คน ต่างสถานะ ต่างเผ่าพันธุ์ คนแรกเป็น “เลเลย์ ลา ลีเลนน่า” จอมเวทย์ที่ฉลาดและใฝ่รู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุ 15 ปี) , คนที่สอง "โรว์รี่ เมอคิวรี่" มนุษย์ที่กำลังจะกลายเป็นเทพ แม้ภายนอกจะเป็นเด็กสาวโกธิคโลลิตัวเล็กๆ แต่ความจริงอายุปาไปพันปีแล้ว และคนที่สาม “ทูกะ ลูน่า มาร์เซอู” สาวเอลฟ์ผุ้เก่งธนูอายุกว่าร้อยปี พวกเธอทั้งสามคนต่างพบกลุ่มพระเอกที่ผ่านมาจึงขอเข้าร่วมขบวนด้วย
และยิ่งพระเอกและพรรคพวกเข้าไปยังดินแดนข้าศึกลึกเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเห็นความโสมนของมนุษย์บนโลกแฟนตาซีแห่งนี้มากขึ้นเท่านั้น.....
Gate: thus the JSDF fought there เป็นการ์ตูนที่เน้นกลุ่มคนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะมีเรื่องยากๆ อีกทั้งยังมีฉากรุนแรง ฉากมีเพศสัมพันธ์ไม่เหมาะสำหรับผู้อ่านสำหรับเด็ก
กลับมาสิ่งที่ผมพูดไว้ตอนต้น Gate: thus the JSDF fought there ในตอนแรกนั้น แสดงให้เห็นว่าผลของรุกรานศัตรูโดยที่ไม่ศึกษาข้อมูลศัตรูก่อน ผลตอบแทนที่ได้รับจะเป็นอย่างไร
การ์ตูนเริ่มต้นด้วยการรุกรานจากโลกต่างมิติ ที่อุตส่าห์ทะลุเวลามารุกรานโลกปัจจุบันที่เราอยู่ แต่อนิจจาแม้มีวิทยาการถึงขั้นนี้ แต่กลับสอบตกเรื่องกลยุทธ์สงคราม โดยเฉพาะเรื่องการเรียนรู้ฝ่ายศัตรู ที่ฝ่ายโลกต่างมิติไม่ดูแม้แต่น้อยว่าฝ่ายที่พวกตนจะรุกรานนั้นมันเป็นยังไง มีค่าอะไรสมควรที่สมควรจะบุก มีกองทัพขนาดไหน มีจุดอ่อน จุดแข็งตรงไหน พวกตนสามารถสู้ได้หรือเปล่า
กองทัพโลกแฟนตาซีบุกโลกปัจจุบัน
เท่าที่ดูแบบคร่าวๆ การปกครอง และวิทยาการคล้ายกับจักรวรรดิโรมัน คงคิดว่าในโลกของตนนั้นมีกำลังยิ่งใหญ่ มีกำลังทหารมากมาย มีอาณาจักร-เมืองขึ้นน้อยใหญ่อยู่ใต้การปกครอง และเมื่อมีทุกสิ่งทุกอย่าง พวกตนก็ไปรุกรานต่างมิติด้วยเพื่อขยายอนาคต โดยมองโลกต่างมิติว่าคงไม่แตกต่างจากเมืองขึ้นเล็กๆ พวกตนน่าจะยึดได้ไม่ยาก
ต่างอนิจจาฝ่ายโลกต่างมิติช่างไม่รู้เลยว่าอาณาจักรที่ตนไปบุกนั้น พวกเขาไม่ใช่อาณาจักรงอกง่อย หากแต่เป็นญี่ปุ่นปัจจุบัน แม้ว่าญี่ปุ่นจะไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจทางการทหาร แต่มีกำลังป้องกันตนเองที่มีประสิทธิภาพของโลก ที่เรียกว่า Japan Self-Defense Force หรือ JSDF (หากจัดอันดับศักยภาพทางการทหาร ญี่ปุ่นติดอันดับต้นๆ ของโลก) อีกทั้งยังมีอเมริกาเป็นพันธมิตรอีกต่างหาก
ในขณะที่โลกต่างมิติ (ที่ออกไปทางโรมัน) ล่ะกองทัพประกอบไปด้วยอะไรบ้างล่ะ กองทัพยุคกลาง ทหารบก ทหารม้าประมาณแสนคนที่หุ้มเกราะที่สมัยนี้เลิกใช้กันแล้ว มีมังกรเล็กๆ มีพวกสัตว์ในตำนานอย่างก็อปลิน, ยักษ์, อ็อค์ เป็นหน่วยหน้า เครื่องจักสงครามเป็นเครื่องยิงหิน, เครื่องกระทุ้งกำลัง, ส่วนจอมเวทย์ยิงกระสุนถั่ว (เวทย์กระจอก) หากอยู่สมัยกลางถือว่าเป็นกองทัพที่เหนือกว่าอยู่หรอก แต่พอมาเจออาวุธสมัยของโลกปัจจุบันเข้าไป มันก็เหมือนมดสู้กับช้าง กองทัพสมัยกลางหรือจะสู้กองทัพสมัยใหม่ได้
แม้ว่าตอนแรกๆ ฝ่ายโลกต่างมิติจะได้เปรียบ เพราะโจมตีฝ่ายศัตรูแบบสายฟ้าแลบ (แถมพวกที่ฆ่าส่วนใหญ่เป็นพลเมืองอีกต่างหาก) หากแต่เมื่อฝ่ายศัตรูตั้งหลักได้ และนำกองทัพหลักมา ฝ่ายโลกต่างมิติก็พ่ายยับ สูญเสียกำลังพลมากมาย แถมถูกศัตรูยึดประตูมิติอีก
ฝ่ายโลกต่างมิติพ่ายแพ้อย่างยับเยินเพราะไม่รู้จักหาข้อมูลฝ่ายศัตรู
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโลกต่างมิติยังโง่งมต่อไป คิดว่าฝ่ายของตนยังแน่ ยังได้เปรียบ (แม้จะเสียกองทัพครั้งแรก ถึง 1 ใน 6) คิดแบบกลยุทธ์สมัยเก่า ว่าหากส่งกำลังคนไปมากกว่าศัตรูย่อมได้เปรียบ และเมื่อพวกเขาทราบว่าฝ่ายศัตรูมีกำลังน้อยกว่าตน จึงส่งทัพใหญ่ไปหวังแก้มือ
แต่อนิจจา ฝ่ายโลกต่างมิติไม่รู้กลยุทธ์สมัยใหม่เลยแม้แต่น้อย ว่ากลยุทธ์ทางการทหารสมัยนี้เขาไม่ได้เน้นจำนวนทหาร หากแต่เน้นศักยภาพของอาวุธสงคราม ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ ยิ่งใช้จำนวนคนน้อยลง พวกเขามีจรวดที่ตกเป้าหมายอย่างแม่นยำ และก่อให้เกิดอำนาจทำลายล้างกินพื้นที่หลายบริเวณ พวกเขามีอาวุธปืนที่มีอำนาจทะลุทะลวงทำลายเกราะได้อย่างง่ายดาย พวกเขามีรถถังที่แข็งแกร่งกว่าทหารม้าแค่คันเดียวสามารถชนะทหารม้าทั้งกองได้ และที่สำคัญพวกเขาไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวกลางสนามรบแค่ปล่อยจรวด ทิ้งระเบิดใส่กองทัพยุคกลางก็เอาชนะอย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายโลกปัจจุบันรู้จักฝ่ายศัตรูดี (จับเชลยไปสอบสวนจึงรู้ขนาดกองทัพ จุดอ่อน จุดแข็ง) จึงวางกำลัง ยึดจุดยุทธ์ศาสตร์ แต่ฝ่ายโลกต่างมิติแทบไม่ศึกษาฝ่ายศัตรูแม้แต่น้อย ไม่รู้จักปืน ไม่รู้จักจรวด ไม่รู้จักระเบิด ไม่รู้จักกลยุทธ์การรบของฝ่ายศัตรู พวกผู้นำฝ่ายโลกต่างมิติไม่เคยไปสนามรบเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังรบอะไรอยู่ คิดแต่ว่าพวกตนเก่งท่าเดียว ผลก็คือพวกเขาย่อยยับอีกครั้ง พ่ายแพ้ชนิดว่าไม่สามารถฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้เลยสักคน และเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคยรบชนะเลย
นอกเหนือจากการสูญเสียกองกำลังทหารจำนวนมากมายของโลกแฟนตาซี ที่ไม่สามารทำอะไรกับฝ่ายโลกปัจจุบันได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำแล้วยังเป็นการปลุกยักษ์ให้ตื่นด้วยซ้ำ เพราะทำให้โลกปัจจุบันรู้การคงอยู่ของโลกต่างมิติ โลกที่ยังไม่มีใครสำรวจ เต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย (น้ำมัน, ทองคำ, เพชรพลอย) ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ทำให้ประเทศมหาอำนาจของโลกต่างจ้องอาหารจานนี้ตาเป็นมัน พร้อมจะบุกยึดโลกแฟนตาซีทุกเมื่อถ้ามีโอกาส
โชคยังดีสำหรับโลกต่างมิติ เพราะอาณาจักร หรือประเทศที่พวกตนยกทัพไปรุกรานนั้นเป็นประเทศญี่ปุ่น หากเป็นอเมริกา, จีน, รัสเซีย หรือแม้แต่เกาหลีเหนือ โลกต่างมิติคงถูกรุกรานเละไปนานแล้ว เพราะญี่ปุ่นเป็นประเภทที่ทำสัญญาว่าห้ามรุกรานประเทศอื่น (เป็นสัญญาที่ให้ไว้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยไม่รับอนุญาตให้ทำสงคราม) กลับกันญี่ปุ่นเองก็ต้องเล่นเกมการทูตเจรจากับประเทศอื่นๆ ไม่ให้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ (โดยเฉพาะอเมริกาและจีน) โลกต่างมิติควรขอบคุณญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
ก็แปลกดี ทั้งๆ ที่โลกต่างมิติเป็นฝ่ายบุกก่อน ฆ่าพลเมืองของญี่ปุ่นไปตั้งเยอะ แต่เท่าที่ผมดูมาไม่เห็นประชาชนคนญี่ปุ่นในเรื่องโกรธแค้นอะไรกับโลกแฟนตาซีเลยแม้แต่น้อย (ไม่เหมือนกรณีสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นบุกโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ หรือเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อเมริกาทำสงคราม) ซ้ำประชาชนคนญี่ปุ่นอวยโลกต่างมิติอีกต่างหาก เพราะสาวน้อยจอมเวทย์ หรือเอลฟ์นั้นโมเอะมากๆ
สิ่งเหล่านี้ก็คงเหมือนจิกกัดญี่ปุ่นกลายๆ ล่ะมั้ง ประมาณว่าญี่ปุ่นไม่ต้องการสงคราม สำหรับพวกเขาแล้วมันมากพอแล้ว อีกทั้งกระแสสมัยใหม่คนญี่ปุ่นเองก็หลงๆ ลืมๆ เรื่องสงครามลงไป ซึ่งญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่เน้นเรื่องของมนุษยธรรมเสียมากกว่าสงคราม
อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรโลกแฟนตาซี ก็ยังเป็นที่หลงใหลอยู่ดี แน่นอนว่าญี่ปุ่นก็คงอยากได้ หากแต่ญี่ปุ่นไม่ได้ใช้สงครามในการแย่งชิงดินแดน ทรัพยากรอย่างใด พวกเขาใช้วิธีการทูต การดูดกลืนวัฒนธรรม และเก็บข้อมูลในโลกนี้มากที่สุด
และเมื่อเนื้อหาการ์ตูนเรื่องนี้ผ่านไปก็พบว่าโลกแฟนตาซีต่างมิติแห่งนี้ ย่ำแย่มากๆ ภายใต้อาณาจักรแห่งความยิ่งใหญ่กลับมีแต่ความล้มเหลวการปกครอง ผู้นำไม่ได้เรื่อง
คิดว่ากองทัพไทยจะไหวไหม (มโนอาวุธ การเมืองไม่ต้องเข้า)
Gate - thus the jsdf fought there มามโนคลายเครียดกัน
เนื้อเรื่อง Gate: thus the JSDF fought there เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่ง ของปี 20XX ที่กินซ่า กลางเมืองกรุงโตเกียว ได้เกิดประตูมิติขนาดใหญ่ขึ้น แล้วก็มีและมีทหารยุคกลางและสัตว์ประหลาด (มังกร, ยักษ์) แห่กันออกมาจากประตูบานนั้น ไล่ฆ่าพลเรือนจำนวนมาก ส่งผลทำให้กินซ่ากลายเป็นขุมนรก และภายหลังเหตุการณ์นี้ถูกเรียกต่อมาว่า “เหตุการณ์กินซ่า”
เห็นได้ชัดกองทัพแฟนตาซีที่มาจากประตูหมายที่จะยึดดินแดนญี่ปุ่นแห่งนี้ ตอนแรกฝ่ายต่างโลกก็ได้เปรียบอยู่หรอก แต่อนิจจา เมื่อญี่ปุ่นส่งกองทัพออกมาตอบโต้ฝ่ายต่างโลก มันหนังคนล่ะม้วน ดาบหรือจะสู้ปืน มังกรหรือจะสู้เครื่องบินรบ ยักษ์หรือจะสู้รถถังหุ้มเกราะแรด ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าฝ่ายต่างโลกพ่ายแพ้พินาศในเวลาแค่ 7 วันเท่านั้น (ที่สูสีน่ะสู้กับตำรวจในช่วงแรกเท่านั้นแหละ)
หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พื้นที่ประตูปรากฏถูกเรียกว่า “พื้นที่พิเศษ” ซึ่งประตูถูกรัฐบาลฯญี่ปุ่นยึด ซึ่งในภายหลังก็ได้ค้นพบว่าประตูเป็นทางเชื่อมระหว่างญี่ปุ่นและโลกอีกโลกหนึ่ง ทำให้กองกำลังป้องกันตัวเองตัดสินใจส่งกองทหารเล็กๆ เข้าไปเพื่อตรึงพื้นที่รักษาความปลอดภัยเอาเอาไว้ (พร้อมกับกองทัพ US ด้วย)
ต่อมากองทัพญี่ปุ่นได้ส่งทีมย่อยที่นำโดยพระเอกเรื่องนี้คือ “โยวจิ อิตามิ” เป็นทหารยศร้อยตรี อายุ 33 ปี ที่เป็นถึงหน่วยเรนเจอร์ แต่อนิจจาเขาไม่มีลักษณะเป็นทหารที่แข็งแกร่งอะไรเลยแม้แต่น้อย หน้าตาเหมือนผู้ชายทั่วไป อีกทั้งยังเป็นโอตากุ (เขายืดอกยอมรับเองว่าเป็นโอตากุ) มีเมียเป็นสาวแว่นแต่หย่ากันแล้ว (แต่ยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่) นิสัยค่อนข้างสบายถือคติว่า “กินอิ่ม นอนหลับ เล่นสนุก นี้แหละชีวิตของคนญี่ปุ่น"
โอตามิและพรรคพวกได้เข้าไปพื้นที่ดินแดนของฝ่ายศัตรูเพื่อทำภารกิจลาดตะเวน สำรวจ ช่วยเหลือประชาชนในท้องที่ และผูกสัมพันธ์กับชาวบ้าน (ช่วยเหลือปัจจัยที่จำเป็น)
เรื่องนี้ไม่มีนางเอกเด่นชัด แต่มีตัวเอกหญิง 3 คน ต่างสถานะ ต่างเผ่าพันธุ์ คนแรกเป็น “เลเลย์ ลา ลีเลนน่า” จอมเวทย์ที่ฉลาดและใฝ่รู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุ 15 ปี) , คนที่สอง "โรว์รี่ เมอคิวรี่" มนุษย์ที่กำลังจะกลายเป็นเทพ แม้ภายนอกจะเป็นเด็กสาวโกธิคโลลิตัวเล็กๆ แต่ความจริงอายุปาไปพันปีแล้ว และคนที่สาม “ทูกะ ลูน่า มาร์เซอู” สาวเอลฟ์ผุ้เก่งธนูอายุกว่าร้อยปี พวกเธอทั้งสามคนต่างพบกลุ่มพระเอกที่ผ่านมาจึงขอเข้าร่วมขบวนด้วย
และยิ่งพระเอกและพรรคพวกเข้าไปยังดินแดนข้าศึกลึกเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเห็นความโสมนของมนุษย์บนโลกแฟนตาซีแห่งนี้มากขึ้นเท่านั้น.....
Gate: thus the JSDF fought there เป็นการ์ตูนที่เน้นกลุ่มคนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะมีเรื่องยากๆ อีกทั้งยังมีฉากรุนแรง ฉากมีเพศสัมพันธ์ไม่เหมาะสำหรับผู้อ่านสำหรับเด็ก
กลับมาสิ่งที่ผมพูดไว้ตอนต้น Gate: thus the JSDF fought there ในตอนแรกนั้น แสดงให้เห็นว่าผลของรุกรานศัตรูโดยที่ไม่ศึกษาข้อมูลศัตรูก่อน ผลตอบแทนที่ได้รับจะเป็นอย่างไร
การ์ตูนเริ่มต้นด้วยการรุกรานจากโลกต่างมิติ ที่อุตส่าห์ทะลุเวลามารุกรานโลกปัจจุบันที่เราอยู่ แต่อนิจจาแม้มีวิทยาการถึงขั้นนี้ แต่กลับสอบตกเรื่องกลยุทธ์สงคราม โดยเฉพาะเรื่องการเรียนรู้ฝ่ายศัตรู ที่ฝ่ายโลกต่างมิติไม่ดูแม้แต่น้อยว่าฝ่ายที่พวกตนจะรุกรานนั้นมันเป็นยังไง มีค่าอะไรสมควรที่สมควรจะบุก มีกองทัพขนาดไหน มีจุดอ่อน จุดแข็งตรงไหน พวกตนสามารถสู้ได้หรือเปล่า
กองทัพโลกแฟนตาซีบุกโลกปัจจุบัน
เท่าที่ดูแบบคร่าวๆ การปกครอง และวิทยาการคล้ายกับจักรวรรดิโรมัน คงคิดว่าในโลกของตนนั้นมีกำลังยิ่งใหญ่ มีกำลังทหารมากมาย มีอาณาจักร-เมืองขึ้นน้อยใหญ่อยู่ใต้การปกครอง และเมื่อมีทุกสิ่งทุกอย่าง พวกตนก็ไปรุกรานต่างมิติด้วยเพื่อขยายอนาคต โดยมองโลกต่างมิติว่าคงไม่แตกต่างจากเมืองขึ้นเล็กๆ พวกตนน่าจะยึดได้ไม่ยาก
ต่างอนิจจาฝ่ายโลกต่างมิติช่างไม่รู้เลยว่าอาณาจักรที่ตนไปบุกนั้น พวกเขาไม่ใช่อาณาจักรงอกง่อย หากแต่เป็นญี่ปุ่นปัจจุบัน แม้ว่าญี่ปุ่นจะไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจทางการทหาร แต่มีกำลังป้องกันตนเองที่มีประสิทธิภาพของโลก ที่เรียกว่า Japan Self-Defense Force หรือ JSDF (หากจัดอันดับศักยภาพทางการทหาร ญี่ปุ่นติดอันดับต้นๆ ของโลก) อีกทั้งยังมีอเมริกาเป็นพันธมิตรอีกต่างหาก
ในขณะที่โลกต่างมิติ (ที่ออกไปทางโรมัน) ล่ะกองทัพประกอบไปด้วยอะไรบ้างล่ะ กองทัพยุคกลาง ทหารบก ทหารม้าประมาณแสนคนที่หุ้มเกราะที่สมัยนี้เลิกใช้กันแล้ว มีมังกรเล็กๆ มีพวกสัตว์ในตำนานอย่างก็อปลิน, ยักษ์, อ็อค์ เป็นหน่วยหน้า เครื่องจักสงครามเป็นเครื่องยิงหิน, เครื่องกระทุ้งกำลัง, ส่วนจอมเวทย์ยิงกระสุนถั่ว (เวทย์กระจอก) หากอยู่สมัยกลางถือว่าเป็นกองทัพที่เหนือกว่าอยู่หรอก แต่พอมาเจออาวุธสมัยของโลกปัจจุบันเข้าไป มันก็เหมือนมดสู้กับช้าง กองทัพสมัยกลางหรือจะสู้กองทัพสมัยใหม่ได้
แม้ว่าตอนแรกๆ ฝ่ายโลกต่างมิติจะได้เปรียบ เพราะโจมตีฝ่ายศัตรูแบบสายฟ้าแลบ (แถมพวกที่ฆ่าส่วนใหญ่เป็นพลเมืองอีกต่างหาก) หากแต่เมื่อฝ่ายศัตรูตั้งหลักได้ และนำกองทัพหลักมา ฝ่ายโลกต่างมิติก็พ่ายยับ สูญเสียกำลังพลมากมาย แถมถูกศัตรูยึดประตูมิติอีก
ฝ่ายโลกต่างมิติพ่ายแพ้อย่างยับเยินเพราะไม่รู้จักหาข้อมูลฝ่ายศัตรู
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโลกต่างมิติยังโง่งมต่อไป คิดว่าฝ่ายของตนยังแน่ ยังได้เปรียบ (แม้จะเสียกองทัพครั้งแรก ถึง 1 ใน 6) คิดแบบกลยุทธ์สมัยเก่า ว่าหากส่งกำลังคนไปมากกว่าศัตรูย่อมได้เปรียบ และเมื่อพวกเขาทราบว่าฝ่ายศัตรูมีกำลังน้อยกว่าตน จึงส่งทัพใหญ่ไปหวังแก้มือ
แต่อนิจจา ฝ่ายโลกต่างมิติไม่รู้กลยุทธ์สมัยใหม่เลยแม้แต่น้อย ว่ากลยุทธ์ทางการทหารสมัยนี้เขาไม่ได้เน้นจำนวนทหาร หากแต่เน้นศักยภาพของอาวุธสงคราม ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ ยิ่งใช้จำนวนคนน้อยลง พวกเขามีจรวดที่ตกเป้าหมายอย่างแม่นยำ และก่อให้เกิดอำนาจทำลายล้างกินพื้นที่หลายบริเวณ พวกเขามีอาวุธปืนที่มีอำนาจทะลุทะลวงทำลายเกราะได้อย่างง่ายดาย พวกเขามีรถถังที่แข็งแกร่งกว่าทหารม้าแค่คันเดียวสามารถชนะทหารม้าทั้งกองได้ และที่สำคัญพวกเขาไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวกลางสนามรบแค่ปล่อยจรวด ทิ้งระเบิดใส่กองทัพยุคกลางก็เอาชนะอย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายโลกปัจจุบันรู้จักฝ่ายศัตรูดี (จับเชลยไปสอบสวนจึงรู้ขนาดกองทัพ จุดอ่อน จุดแข็ง) จึงวางกำลัง ยึดจุดยุทธ์ศาสตร์ แต่ฝ่ายโลกต่างมิติแทบไม่ศึกษาฝ่ายศัตรูแม้แต่น้อย ไม่รู้จักปืน ไม่รู้จักจรวด ไม่รู้จักระเบิด ไม่รู้จักกลยุทธ์การรบของฝ่ายศัตรู พวกผู้นำฝ่ายโลกต่างมิติไม่เคยไปสนามรบเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังรบอะไรอยู่ คิดแต่ว่าพวกตนเก่งท่าเดียว ผลก็คือพวกเขาย่อยยับอีกครั้ง พ่ายแพ้ชนิดว่าไม่สามารถฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้เลยสักคน และเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคยรบชนะเลย
นอกเหนือจากการสูญเสียกองกำลังทหารจำนวนมากมายของโลกแฟนตาซี ที่ไม่สามารทำอะไรกับฝ่ายโลกปัจจุบันได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำแล้วยังเป็นการปลุกยักษ์ให้ตื่นด้วยซ้ำ เพราะทำให้โลกปัจจุบันรู้การคงอยู่ของโลกต่างมิติ โลกที่ยังไม่มีใครสำรวจ เต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย (น้ำมัน, ทองคำ, เพชรพลอย) ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ทำให้ประเทศมหาอำนาจของโลกต่างจ้องอาหารจานนี้ตาเป็นมัน พร้อมจะบุกยึดโลกแฟนตาซีทุกเมื่อถ้ามีโอกาส
โชคยังดีสำหรับโลกต่างมิติ เพราะอาณาจักร หรือประเทศที่พวกตนยกทัพไปรุกรานนั้นเป็นประเทศญี่ปุ่น หากเป็นอเมริกา, จีน, รัสเซีย หรือแม้แต่เกาหลีเหนือ โลกต่างมิติคงถูกรุกรานเละไปนานแล้ว เพราะญี่ปุ่นเป็นประเภทที่ทำสัญญาว่าห้ามรุกรานประเทศอื่น (เป็นสัญญาที่ให้ไว้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยไม่รับอนุญาตให้ทำสงคราม) กลับกันญี่ปุ่นเองก็ต้องเล่นเกมการทูตเจรจากับประเทศอื่นๆ ไม่ให้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ (โดยเฉพาะอเมริกาและจีน) โลกต่างมิติควรขอบคุณญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
ก็แปลกดี ทั้งๆ ที่โลกต่างมิติเป็นฝ่ายบุกก่อน ฆ่าพลเมืองของญี่ปุ่นไปตั้งเยอะ แต่เท่าที่ผมดูมาไม่เห็นประชาชนคนญี่ปุ่นในเรื่องโกรธแค้นอะไรกับโลกแฟนตาซีเลยแม้แต่น้อย (ไม่เหมือนกรณีสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นบุกโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ หรือเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อเมริกาทำสงคราม) ซ้ำประชาชนคนญี่ปุ่นอวยโลกต่างมิติอีกต่างหาก เพราะสาวน้อยจอมเวทย์ หรือเอลฟ์นั้นโมเอะมากๆ
สิ่งเหล่านี้ก็คงเหมือนจิกกัดญี่ปุ่นกลายๆ ล่ะมั้ง ประมาณว่าญี่ปุ่นไม่ต้องการสงคราม สำหรับพวกเขาแล้วมันมากพอแล้ว อีกทั้งกระแสสมัยใหม่คนญี่ปุ่นเองก็หลงๆ ลืมๆ เรื่องสงครามลงไป ซึ่งญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่เน้นเรื่องของมนุษยธรรมเสียมากกว่าสงคราม
อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรโลกแฟนตาซี ก็ยังเป็นที่หลงใหลอยู่ดี แน่นอนว่าญี่ปุ่นก็คงอยากได้ หากแต่ญี่ปุ่นไม่ได้ใช้สงครามในการแย่งชิงดินแดน ทรัพยากรอย่างใด พวกเขาใช้วิธีการทูต การดูดกลืนวัฒนธรรม และเก็บข้อมูลในโลกนี้มากที่สุด
และเมื่อเนื้อหาการ์ตูนเรื่องนี้ผ่านไปก็พบว่าโลกแฟนตาซีต่างมิติแห่งนี้ ย่ำแย่มากๆ ภายใต้อาณาจักรแห่งความยิ่งใหญ่กลับมีแต่ความล้มเหลวการปกครอง ผู้นำไม่ได้เรื่อง