เคล็ดลับ 24 ข้อของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ในสาย VI คุณคิดว่า คุณมีโอกาสได้ใช้มากน้อยแค่ไหน


เคล็ดลับ24 ข้อ จากหนังสือ How Buffet Does It
ข้อ 1 เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
- บัฟเฟตต์แนะนำว่า “เมื่อลงทุน ทำให้เรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน”
ทำให้ง่าย คือ เป้าหมายของเรา ซื้อหุ้นของบริษัทที่ดี ดำเนินการบริหารโดยคนที่ซื้อสัตย์สุจริตและเชื่อถือได้ ซื้อหุ้นในราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง คำนวณถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจในอนาคต (มองว่าในอนาคตบริษัทจะยังอยู่ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่) อยู่กับอุตสาหกรรมที่เราเข้าใจ
- จงมองหาธุรกิจที่ทำอย่างเดียวกันกับที่เคยทำเมื่อทศวรรษที่แล้ว เพราะมันทำให้เขาสามารถคาดเดาอนาคตของบริษัทได้ง่ายขึ้น ส่วนบริษัทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น จะทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย
ข้อ 2 ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง
- อย่าเชื่อโบรกเกอร์,นักวิเคราะห์ หรือผู้รู้ จงเชื่อตัวคุณเอง แต่ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะปิดหู ปิดตา ไม่รับข้อมูลใดๆจากพวกเขาเหล่านี้ เพียงแต่เมื่อได้ข้อมูลมาให้เรานำมาวิเคราะห์ แยกแยะ และตัดสินใจด้วยเหตุผล รวมทั้งคุณต้องศึกษาประวัติ พื้นฐานของบริษัทมาให้ดีก่อนที่จะลงทุน
- ไม่ลงทุนโดยฟังมาจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดโดยปราศจากการไตร่ตรอง เพราะเขาเหล่านี้ทำเงินมาจากค่าคอมมิสชั่นและภาษีของคุณ
ข้อ 3 จงมีสติ
- “ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาด แล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน” การมีสตินั้นยังหมายถึงการมีวินัยเมื่อตลาดพุ่งทะยานขึ้น และคนอื่นๆกำลังละโมบและดีใจ เพราะสติจะเป็นตัวจักรสำคัญเมื่อสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามที่คุณหวังไว้
เกรแฮมพูดไว้ว่า “ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุนคือ ตัวเขาเอง”
- บัฟเฟตต์มีเกณฑ์สำคัญที่คุณควรจะนำไปใช้ คือ ถ้าใครไม่สามารถรับได้ว่า หุ้นที่ถืออยู่ราคาจะตกลงครึ่งหนึ่งในช่วงข้ามคืน ก็ไม่ควรเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่แรก คุณจะต้องมีความสามารถที่จะลงทุนในบริษัทที่ดี และมีความมั่นใจกับมันหรือไม่ก็อย่าซื้อมัน คุณปู่ยังบอกอีกว่า “มันจะไม่เข้าท่าเลย ถ้าคุณขายหุ้นของบริษัทดีๆเมื่อมีความกลัวลอยอยู่ในอากาศ”
ข้อ 4 จงอดทน
- ชาลี มังเกอร์ พูดถึงเรื่องของความอดทนไว้อย่างน่าสนใจว่า “การลงทุน คือ การหาบริษัทดีๆ 2-3 บริษัท แล้วนั่งทับมันไว้” และ “ความผิดพลาดในการลงทุนเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด ความอดทนที่น้อยเกินไปคือส่วนหนึ่งของความหงุดหงิดนั้น”
- สำหรับบัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนทศวรรษ แทนที่จะเป็นนักลงทุนรายวัน เพราะเขามองหาทางทำกำไรจากบริษัทไม่ใช่การทำกำไรจากตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเป็นเพียงแค่สื่อกลางในการที่จะเสนอราคาเท่านั้น ง่ายๆคือ บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นแล้ว Let Profit Run เพียงแต่คุณต้องหาบริษัทที่ดีมากกกกกกกๆๆๆ แล้วกอดมันไว้ แล้วถ้าบริษัทที่ดีนั้น ราคาตก ก็ซื้อเก็บ รอให้ตลาดมองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของมัน
ข้อ 5 ซื้อธุรกิจไม่ใช่ซื้อหุ้น
บัฟเฟตต์กล่าวว่า “จงจำไว้ว่าเมื่อคุณซื้อหุ้น คุณได้ซื้อส่วนของธุรกิจนั้นจริงๆ หุ้นไม่ได้มีอะไรในตัวมันเองนอกจากการเป็นตัวแทนของกิจการ”
การลงทุนไม่ใช่การเล่นกับตลาด แต่มันเกี่ยวกับการซื้อธุรกิจที่ดี ถึงแม้ในระยะยาวแล้วธุรกิจที่ดีอาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่ในทางกลับกันธุรกิจที่ไม่ดี ไม่ได้ช่วยอะไรเลยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องทำก่อนจะซื้อหุ้น คือ คิดให้ไกลและคิดให้หนัก เกี่ยวกับพื้นฐานและอนาคตของธุรกิจ แล้วให้มองว่าตัวเราเป็นนักธุรกิจไม่ใ่ช่นักเล่นหุ้น
หลักการสำคัญที่บัฟเฟตต์ใช้เลือกซื้อหุ้น
- เขาสามารถเข้าใจธุรกิจนั้นได้
- บริษัทมีประวัติการดำเนินงานที่ดีเป็นระยะเวลายาวนาน
- ดำเนินธุรกิจโดยผู้บริหารที่มีความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริต
- ราคาหุ้นน่าสนใจ
ข้อ 6 จงมองหาบริษัทที่มีแฟรนไชส์
- บริษัทที่มีแฟรนไชส์ เปรียบเสมือนธุรกิจที่มีกำแพงและคูเมืองล้อมรอบอยู่ เพราะสามารถป้องกันและต้านทานศัตรูที่จะบุกเข้ามาได้ ธุรกิจแฟรนไชส์ในความหมายของเขา หมายถึงธุรกิจที่มีสิทธิพิเศษบางอย่างและสามารถรับประกันความสำเร็จของธุรกิจได้
ธุรกิจที่มีแฟรนไชส์นั้นต้องขายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการที่
1. จำเป็นหรือที่ตอบสนองความต้องการ (ความโลภ)
2. ไม่ต้องการเงินลงทุนที่มากเกินไป เช่น บริษัทเทคโนโลยี นี่ไม่ใช่แล้ว ไม่เข้าข่ายเลย เพราะว่าต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อปรับปรุงและพัฒนาสินค้าตลอดเวลา
3. เป็นผู้นำตลาดและไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง
4. สามารถขึ้นราคาสินค้าหรือบริการได้อย่างอิสระ ผลักภาระให้ผู้ซื้อได้
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเมื่อคุณจะซื้อธุรกิจที่มีแฟรนไชส์นั่นก็คือ การรอซื้อในราคาที่เหมาะสม
ข้อ 7 ซื้อโลเทค ไม่ใช่ไฮเทค
- บัฟเฟตต์ ซื้อบริษัททำอิฐ บริษัทสี บริษัทพรม บริษัทเฟอร์นิเจอร์ และบริษัทชุดชั้นใน ธุรกิจเหล่านี้เป็นธุรกิจที่บัฟเฟตต์รักที่จะเป็นเจ้าของ เพราะมันสามารถเข้าใจได้ง่าย มั่นคงด้วยกระแสเงินสดที่คาดเดาได้ ไม่มีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้น แต่เป็นธุรกิจที่ดี บริษัทเข้มแข็งจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง สามารถนำรายได้และผลกำไรที่เติบโตขึ้นทุกๆปี แต่เขาจะไม่ซื้อบริษัทที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ใช้เทคโนโลยีล่าสุด เพราะผลตอบแทนที่ได้จากธุรกิจประหลาดๆเหล่านี้มักจะไม่ค่อยตกไปถึงมือนักลงทุน
- ลองเปรียบเทียบหุ้นกับผู้หญิง ผู้หญิงประเภทไหนที่คุณจะชวนไปเต้นรำ? ระหว่างสาวหน้าใหม่น่าตื่นเต้นที่คุณเพิ่งพบที่ทุกคนคิดว่าเซ็กซี่แต่ไม่มีใครรู้จักเธอ หรือสาวข้างบ้าน ที่ดูน่าเบื่อแต่เพรียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติ
บัฟเฟตต์แนะนำให้ชวนสาวข้างบ้าน เพราะความเซ็กส์ซี่ของธุรกิจคลื่นลูกใหม่ จะสร้างปัญหาให้กับการคาดเดาอนาคตของบริษัทในระยะยาว แม้ว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้นแต่มันจะจบลงในระยะเวลาไม่นาน
จงหลีกเลี่ยงหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการแข่งขัน ให้มองหาธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็ต่อเมื่อจะขยายธุรกิจเท่านั้น
ข้อ 8 ลงทุนแบบมุ่งเน้น
- บัฟเฟตต์กล่าวว่า “ถ้าคุณพบหุ้นที่ดี ทำไมคุณถึงซื้อหุ้นแค่นิดเดียว” เขาเชื่อมั่นในการลงทุนแบบมุ่งเน้น และปฏิเสธการกระจายความเสี่ยง เพราะจะสร้างผลตอบแทนอย่างน่าอัศจรรย์ในระยะยาว
บัฟเฟตต์แนะนำว่า ให้ซื้อหุ้น 5-10 บริษัทที่ดีๆ ในราคาถูกและซื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคุณสามารถติดตามผลการดำเนินการรวมทั้งข้อมูลข่าวสารของบริษัทได้ง่ายกว่าการลงทุนในหุ้น 20-30 ตัว
- พอร์ตการลงทุนแบบมุ่งเน้น เป็นกลยุทธ์ที่ตรงกันข้ามกับการกระจายความเสี่ยง คุณจะอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่กระตุ้นและอารมณ์เมื่อคุณเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว นี่คือพลังของการลงทุนแบบมุ่งเน้นที่จะทำให้คุณควบคุมตัวเองได้
ข้อ 9 ฝึกที่จะอยู่นิ่ง
บัฟเฟตต์ชอบซื้อหุ้น แต่การขายหุ้นนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาเปรียบนักลงทุนที่ชอบการเคลื่อนไหวว่า เหมือนกับผึ้งที่ชอบตอมดอกไม้ไปเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้น
เขาแนะนำว่า ถ้าคุณเจอดอกไม้ที่คุณชอบ จงติดอยู่กับมัน พยายามต้านอารมณ์ความเคลื่อนไหวในตัวคุณ การเคลื่อนไหวบ่อยๆ จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ค่านายหน้า หรือภาษี ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับนักลงทุนระยะยาว
การซื้อขายหุ้นเพราะเห็นแก่กำไรเล็กๆน้อยๆ การซื้อขายมากๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของนักลงทุนที่โลเล ซึ่งมักจะจบลงด้วยการขาดทุนมากกว่าจะกำไร
ข้อ 10 อย่ามองตัววิ่ง (ราคาหุ้น)
ราคาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนักเก็งกำไร แต่การลงทุนเป็นอะไรที่มากกว่าราคา ถ้าคุณเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ไม่สนใจในการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงของราคาหุ้นในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าคุณเป็นเจ้าของหุ้นในธุรกิจที่ดี คุณไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจกับราคาหุ้นในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้น พื้นฐานของธุรกิจจะเป็นผู้ดูแลราคาของคุณเอง
เพราะการดูราคาหุ้นทุกวัน จะนำคุณไปสู่อารมณ์ของการเคลื่อนไหวในราคาหุ้น ราคาหุ้นในที่สุดแล้วจะสะท้อนมูลค่าของธุรกิจเสมอ เพียงแต่ราคาของหุ้นในอนาคตนั้นจะไม่ถูกขับเคลื่อนไปด้วยความบ้าคลั่งของวันนี้ แต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยผลกำไรของวันพรุ่งนี้
บัฟเฟตต์เปรียบเทียบการลงทุนกับการดูเบสบอลว่า “จุดสำคัญอยู่ที่การดูเกมส์ในสนามไม่ใช่การดูที่สกอร์บอร์ด” การจะดูว่าคุณภาพของทีมที่คุณเชียร์เป็นอย่างไรแล้วมีโอกาสที่จะชนะในอินนิ่งต่อไปหรือไม่ ที่ๆคุณจะดูผู้เล่นของทีมคุณคือ ในสนาม
เบน เกรแฮม พูดไว้ว่า “ในระยะสั้นตลาดหุ้นเป็นเพียงเครื่องมือในการออกความเห็น (เรื่องของราคา) แต่ในระยะยาวแล้วตลาดจะเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก (เรื่องของมูลค่า)
ข้อ 11 มองตลาดหุ้นขาลงในเป็นโอกาส
- การลงทุนของบัฟเฟตต์ครั้งสำคัญๆ ส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นตอนตลาดหมี เมื่อราคาหุ้นของกิจการที่ดีลดราคา หรือเมื่อบริษัทดีๆประสบกับปัญหาที่เข้ามารุมล้อมชั่วคราว และราคาของหุ้นได้ถูกกดดันให้ลดต่ำลง ซึ่งทำให้เกิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการซื้อหุ้นที่ราคาย่อมเยา ฉะนั้น จงมองหาบริษัทที่มีคุณภาพที่กำลังลดราคา สำหรับคุณภาพนั้นหมายถึง พื้นฐานที่รองรับธุรกิจและคุณภาพของทีมบริหาร
- เบน เกรแฮม เขียนไว้ว่า “ถ้านักลงทุนผู้ใดยอมให้ความตื่นกลัวหรือความไม่เหมาะสมเข้ามาครอบงำจิตใจ และกังวลใจจากการตกต่ำของตลาดอย่างไม่เหมาะสม นักลงทุนผู้นั้นจะถูกแปลงสภาพจากความได้เปรียบไปสู่ความเสียเปรียบ การแกว่งตัวของราคานั้นมีความหมายที่สำคัญอย่างเดียวกับนักลงทุน คือ มันสร้างโอกาสให้ซื้ออย่างชาญฉลาดเมื่อราคาตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว และขายอย่างชาญฉลาดเมื่อราคาพุ่งสูงมากอย่างไม่เหมาะสม”
ข้อ 12 อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา
วอเร็น พูดว่า”การตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้องปีละครั้ง นั้นถือว่าทำได้ดีมากแล้ว” การตัดสินใจลงทุนน้อยคร้ังก็สามารถรับประกันความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เขาเปรียบนักลงทุนว่า เหมือนกับผู้เล่นเบสบอลที่ยืนอยู่บนโฮมเบสที่พร้อมจะตีลูก ตลาดหุ้นก็เหมือนกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ขว้างลูกมาให้นักลงทุนตีอยู่ตลอดเวลา
แต่บัฟเฟตต์แนะนำว่า อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา จงอดทนแล้วให้ลูกบอลถูกขว้างผ่านไป ให้รอเฉพาะลูกสวยๆ ตีง่ายๆ ที่ถูกขว้างมาแล้วค่อยตี
เขาอธิบายว่า ให้ซื้อธุรกิจที่ดีที่มาพร้อมด้วยกำไรในอนาคดที่เข้มแข็ง บริหารโดยผู้ที่มีความสามารถ และมีจริยธรรม สามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม แต่ถ้าบอลที่ขว้างมาไม่เข้าข่ายเหล่านี้ เขาก็จะปล่อยให้ผ่านไป
ข้อ 13 อย่าสนใจเรื่องมหภาค สนใจแต่เรื่องจุลภาค
บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่า เรื่องใหญ่ๆอย่างเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นเรื่องภายนอกธุรกิจอย่าไปใส่ใจกับมัน จงสนใจแต่เรื่องเล็กๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง
เขาแนะนำว่า อย่าสนใจเรื่องระยะสั้นของตลาดหุ้น จงสนใจแต่เรื่องโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวในหุ้นที่จะลงทุน เพราะถ้าคุณใช้เวลาไปกับการกังวลว่าตลาดจะไปในทิศทางไหนในเดือนหน้าหรือปีหน้า คุณจะเสียเวลาเปล่า คุณควรจะเป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจ มากกว่าที่จะเป็นนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศ, ตลาดหุ้น หรือหลักทรัพย์
คุณควรใช้เวลาที่มีกับข้อมูลของบริษัทที่แน่ชัด มันไม่คุ้มกับการที่คุณจะนำเอาข้อมูลที่ไม่ชัดเจน(การเดา) มาทดแทนกับข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของคุณซึ่งคุณได้ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
ข้อ 14 จับจ้องมองการบริหาร
วอเร็น บัฟเฟตต์ มักจะมองหาธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่เสมอ ต่อไปนี้คือสิ่งสำคัญที่ควรจะพิารณาก่อนที่จะเริ่มลงทุน
1. ทีมผู้บริหารทำงานเพื่อผู้ถือหุ้น หรือทำงานเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเขาเองโดยใช้ทรัพยากรของผู้ถือหุ้น (เช่น เงินเดือนก้อนโต, โบนัสก้อนใหญ่, สิทธิในการซื้อหุ้น และสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ)
2. ผู้บริหารใช้งบประมาณของบริษัทอย่างรอบคอบ หรือเป็นผู้บริหารที่ใช้เงินสิ้นเปลือง
3. ผู้บริหารทุ่มเทเพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัทให้กับผู้ถือหุ้นและใช้จ่ายเงินลงทุนอย่างเหมาะสมหรือไม่
4. ผู้บริหารมีโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและหลีกเลี่ยงการออกหุ้นใหม่ที่จะทำให้มูลค่าของหุ้นลดลงหรือไม่
5. ผู้ถือหุ้นถูกปฏิบัติอย่างหุ้นส่วนหรือเป็นเพียงแค่หุ่นไล่กา
6. รายงานประจำปีของบริษัทเปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาหรือว่ามีแต่เรื่องไร้สาระ
....ต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่