ตอนที่ 1 Let’s go to Kansai :
http://pantip.com/topic/32914644
ตอนที่ 2 Arashiyama Area :
http://pantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple :
http://pantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion :
http://pantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe :
http://pantip.com/topic/33349966
เช้านี้เป็นการเที่ยวเต็มๆ วันหลังจากพักผ่อนกันเต็มที่แล้ว ก่อนจะมาผมทำการบ้านและแพลนมาเยอะพอสมควรอีกทั้งยังถามผู้รู้ก็มาก จนสรุปได้ว่า เกียวโต เองอาจจะไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ก็จริงแต่สถานที่เที่ยวแต่ละที่ค่อนข้างไกลกัน และยังเป็นเมืองที่ต้องเดินทางทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินและรถเมล์สลับกันไปมา ดังนั้นเราต้องจำกัดการเที่ยวเป็นย่านๆ ไป ซึ่งผมก็แยกไว้เป็นสามย่าน นั่นคือ ย่านอาราชิยามะ (Arashiyama Area) ย่านฮิกาชิยามะ (Higashiyama) และ ย่านคิคะคุจิ (Kinkakuji Area) โดยในวันนี้ผมจะมาพาเที่ยวย่านอาราชิยามะ ย่านที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีสุดโรแมนติก

การเดินทางมาอาราชิยามา (Arashiyama) สามารถไปได้หลายทาง และทางที่ผมไปก็ถือว่าไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าคุณจะพักอยู่ใกล้สถานีไหนก็ตาม ให้นั่งมาลงที่สถานี Omiya (Hankyu Kyoto Line) จากนั้นเดินออกมานอกสถานีจะเจอกับสถานี Shijo-Omiya ที่สถานีนี้เราจะนั่งรถรางรันเด็งสุดสายไปลงที่สถานีอาราชิยามะเลย โดยรถไฟสายนี้เส้นนี้ชื่อ Keifuku Arashiyama Line

นี่ล่ะรถรางรันเด็งหน้าตาดูโบราณแต่เครื่องและสภาพดูดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะอายุ 100 กว่าปีแล้ว

ลักษณะที่เสียบบัตรในรถรางครับ ถ้ามีบัตร Kansai Thru Pass ก็ใช้ได้เลย สะดวกไม่ต้องมาคอยหยอดเหรียญจ่ายเงิน

บรรยากาศในโบกี้

ใช้เวลาประมาณ 20 ก็มาถึงสถานีอาราชิยามะแล้ว ฟ้ากำลังสวยใสทีเดียว

ด้านข้างถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นมีเสาเรียงรายพร้อมกับลวดลายภายในเสาอันสวยงาม ลายเหล่านี้เรียกกันว่า Yuzen (友禅) เป็นหนึ่งในเทคนิคการย้อมผ้าไหมของชุดกิโมโนซึ่งมีคุณค่าและราคาแพง โดยในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Kimono Forest (キモノフォレスト) ก่อนกลับผมจะพามาชม

พอมาถึงหน้าสถานีถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงให้จำเอาง่ายๆ แบบนี้นะครับ ฝั่งซ้ายมือถ้าเดินไปจะพบกับสะพานโทเก็ทสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ส่วนฝั่งขวาจะพบกับวัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) และป่าไผ่ (Bamboo Forest)

ผมเลือกเดินฝั่งซ้ายก่อน เดินแปปเดียวก็จะเจอกับตัวสะพานเลย

สะพานโทเก็ทสึเคียวแม้ว่าจะเป็นสะพานทั่วๆ ไปที่คนใช้สัญจรในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่ทำให้สะพานนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาจากบรรยากาศรอบๆ ของตัวสะพานโดยเฉพาะช่วงเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ตามเทือกเขาจะเปลี่ยนสีตั้งแต่เหลือง ส้ม แดง สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวได้มากจริงๆ

ผมเดินถ่ายภาพมาเรื่อยๆ และข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งครับ บริเวณนี้เราเดินไปทางฝั่งขวามือได้ จะเป็นทางเดินเรียบน้ำตามทางเดียวกับการล่องเรือซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดฮิตของนักท่องเที่ยวเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด

ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีครับ ได้มุมภาพนี้มา คุ้มค่ากับการเดินจริงๆ

หลังจากกลับมาบริเวณสะพานอีกครั้ง แถวนี้มีวัดให้เราขึ้นไปชมด้วย ชื่อวัด Horinji เป็นวัดนิกาย Shingon

บนวัดไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่มีจุดชมวิวที่สามารถเห็นย่านอาราชิยามะได้เล็กน้อย

แต่สิ่งที่ผมชอบของวัดนี้กลับเป็นทางเดินมากกว่า

เพราะมีใบเมเปิ้ลให้ถ่ายหลายมุม

อีกหนึ่งกิจกรรมนอกจากการล่องเรือแล้วก็ยังมีบริการนั่งรถลากนั่นเอง

รถลากสไตล์เจแปนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ตรงที่ใช้พลังงานจากคนล้วนๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสอบถามราคาและเส้นทางที่คนลากสามารถไปถึงได้ เรื่องราคาผมไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่ได้ใช้บริการ

อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าจากหน้าสถานีถ้าไปฝั่งซ้ายมาทางสะพาน ทีนี้เราจะไปทางฝั่งขวากันบ้าง สำหรับสถานที่เที่ยวบริเวณนี้เรามาเริ่มกันที่วัดเท็นริวจิ

วัดเท็นริวจิเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตอาราชิยาม่ารวมไปถึงเมืองเกียวโตเองและยังได้รับบันทึกให้เป็นมรดกโลก ตอนปี ค.ศ. 1994 ในฐานะส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เคียวโตะโบราณ

ภายในวัดมีบริเวณที่กว้างมาก ป้ายที่แสดงก็เป็นภาษาญี่ปุ่นซะหมดผมก็เลยเดินไปมั่วๆ ยอมรับว่าเจอตรงไหนสวยๆ ก็ถ่ายตรงนั้น

ด้วยความที่เป็นวัดเซน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจถ้าจะเห็นสวนสไตล์เซนเหมือนกัน

ใบไม้เปลี่ยนสีในตัววัดเท็นริวจิถือว่าสวยงามมาก มีหลายมุมสวยๆ ให้ถ่ายได้ แต่ช่วงบ่ายแดดเริ่มหุบเข้ากลีบเมฆ ว่าแล้วก็ไปที่ต่อไปกันดีกว่า

สถานที่ที่ผมจะพาไปต่อก็คือดงป่าไผ่นั้นเอง เชื่อว่าหลายๆ คงเคยเห็นสถานที่นี้จากในอินเตอร์เน็ตแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน? การเดินทางก็ง่ายแสนง่ายเมื่อมันอยู่หลังจากวัดเท็นริวจินี่เอง เดินทะลุหากันได้จากหลังวัดเลยครับ

ระยะทางเดินของป่าไม่ได้ไกลมาก เดินไม่กี่นาทีก็หมดแล้วและมุมหลักจริงๆ ก็น่าจะมีแค่มุมเดียวนี่แหละ นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะต้องมายืนถ่ายภาพคู่กันหมด

จะว่าไปหลังจากเก็บสะพาน วัดเท็นริวจิและป่าไผ่ สำหรับผมก็ถือว่าโอเคแล้วสำหรับย่านนี้ แต่ด้วยเวลาที่ยังเหลือก็เลยเดินไปเรื่อยๆ ครับ บังเอิญเจอกับวัดนิซอนอิน (Nison-in Temple) ประทับใจมากๆ กับวัดนี้เพราะใบไม้เปลี่ยนสีเป็นแนวยาวงามจับใจเหลือเกิน

ขึ้นมาด้านบนมีตัววัดตั้งอยู่ ไม่ได้เข้าไปครับ

ใครที่ตามรอยผมแนะนำว่าข้างๆ ตัววัดจะมีบันไดยาวครับ อยากจะให้เดินขึ้นไปดู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่เพราะคุณจะได้มุมนี้กลับไป

ก่อนจะกลับยังไปสถานีอาราชิยาม่าอีกครั้งเจอของดีเข้าให้ครับ เป็นข้าวหน้าไข่ดิบ เป็นอย่างที่รู้กันว่าที่ประเทศญี่ปุ่นกินพวกไข่ดิบกันเป็นปกติ และด้วยการเลี้ยงที่สะอาดปลอดภัย ไข่ดิบจึงเป็นเมนูที่กินกับข้าวร้อนๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ ผมเองก็เป็นคนชอบทานไข่ดิบเหมือนกัน ว่าแล้วก็จัดมาเลย 1 ถ้วย หน้าตาเป็นแบบนี้ (320 เยน)

ดูกันใกล้ๆ หน้าตาเหมือนไข่ดิบบ้านเรา แต่เวลาทานไปแล้ว...ไข่ขาวไม่รู้สึกคาวแต่อย่างใด ส่วนไข่แดงเวลาเจาะมาแล้วดูเหมือนจะมีความข้นกว่าไข่แดงบ้านเรา โดยรวมแล้วรสชาติไม่ค่อยต่างจากไข่ดิบบ้านเราเท่าไหร่

มาเกียวโตไม่โดนชาเขียวคือมาไม่ถึงนะครับและสิ่งที่ต้องจัดให้ได้ก็คือชาเขียวมัทฉะรสกลมกล่อม โคตะระหอม

เดินไปเรื่อยก็กลับเข้ามาใกล้สถานีอีกครั้ง บริเวณนี้เจอร้านขายซอฟครีมชาเขียวเข้าให้ ก็โดนไปอีก อร่อยดีครับ สมราคาชาเขียวเกียวโต

จริงๆ แล้วอาหารอีกหนึ่งอย่างที่อยากจะแนะนำก็คือ เต้าหู้ น่าเสียดายที่ไม่ได้หาทาน ว่ากันว่าเต้าหู้ที่เกียวโตอร่อยและมีราคาแพง คือเป็นของขึ้นชื่อระดับโอท็อปเลยก็ว่าได้ ใครที่ได้มีโอกาสมาก็อย่าลืมหาจังหวะลิ้มลองกันดู

เย็นแล้วก่อนจะกลับ บริเวณสะพานโทเก็ทสึที่ผมพาไปตอนเช้ามีร้านขายของฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยว กับชาเขียวอยู่หลายเจ้า แนะนำว่าของเขาดีจริง ไปอุดหนุนกันได้

อย่างที่ได้สัญญากันไว้กับ Kimono Forest ตอนนี้ไฟได้เปิดแล้ว นักท่องเที่ยวหรือคนญี่ปุ่นเองถึงกับร้องสุโค่ยในความสวยงาม

อีกเรื่องที่ฝากไว้คือเวลาของประเทศญี่ปุ่นเร็วกว่าบ้านเรา 2 ชั่วโมงและพระอาทิตย์ตกก็เร็วกว่าเรา อยู่ที่ประมาณ 16.30 น. รวมไปถึงวัดในเกียวโตเองก็ปิดทำการประมาณ 16.00 น. เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างก็กะเวลากันให้ดี ในตอนหน้าผมจะพาเที่ยวย่านฮิกาชิยามะ (Higashiyama) ย่านรวมวัดดังที่ไม่ควรพลาด
ตะลุยทริปคันไซ ตอนที่ 2 : Arashiyama Area
ตอนที่ 2 Arashiyama Area : http://pantip.com/topic/32915035
ตอนที่ 3 Kiyomizudera Temple x Ginkakuji Temple : http://pantip.com/topic/32930122
ตอนที่ 4 Kinkakuji Temple x Fushimi Inari x Gion : http://pantip.com/topic/33344724
ตอนที่ 5 One Day Trip in Kobe : http://pantip.com/topic/33349966
เช้านี้เป็นการเที่ยวเต็มๆ วันหลังจากพักผ่อนกันเต็มที่แล้ว ก่อนจะมาผมทำการบ้านและแพลนมาเยอะพอสมควรอีกทั้งยังถามผู้รู้ก็มาก จนสรุปได้ว่า เกียวโต เองอาจจะไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ก็จริงแต่สถานที่เที่ยวแต่ละที่ค่อนข้างไกลกัน และยังเป็นเมืองที่ต้องเดินทางทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินและรถเมล์สลับกันไปมา ดังนั้นเราต้องจำกัดการเที่ยวเป็นย่านๆ ไป ซึ่งผมก็แยกไว้เป็นสามย่าน นั่นคือ ย่านอาราชิยามะ (Arashiyama Area) ย่านฮิกาชิยามะ (Higashiyama) และ ย่านคิคะคุจิ (Kinkakuji Area) โดยในวันนี้ผมจะมาพาเที่ยวย่านอาราชิยามะ ย่านที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีสุดโรแมนติก
การเดินทางมาอาราชิยามา (Arashiyama) สามารถไปได้หลายทาง และทางที่ผมไปก็ถือว่าไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าคุณจะพักอยู่ใกล้สถานีไหนก็ตาม ให้นั่งมาลงที่สถานี Omiya (Hankyu Kyoto Line) จากนั้นเดินออกมานอกสถานีจะเจอกับสถานี Shijo-Omiya ที่สถานีนี้เราจะนั่งรถรางรันเด็งสุดสายไปลงที่สถานีอาราชิยามะเลย โดยรถไฟสายนี้เส้นนี้ชื่อ Keifuku Arashiyama Line
นี่ล่ะรถรางรันเด็งหน้าตาดูโบราณแต่เครื่องและสภาพดูดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะอายุ 100 กว่าปีแล้ว
ลักษณะที่เสียบบัตรในรถรางครับ ถ้ามีบัตร Kansai Thru Pass ก็ใช้ได้เลย สะดวกไม่ต้องมาคอยหยอดเหรียญจ่ายเงิน
บรรยากาศในโบกี้
ใช้เวลาประมาณ 20 ก็มาถึงสถานีอาราชิยามะแล้ว ฟ้ากำลังสวยใสทีเดียว
ด้านข้างถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นมีเสาเรียงรายพร้อมกับลวดลายภายในเสาอันสวยงาม ลายเหล่านี้เรียกกันว่า Yuzen (友禅) เป็นหนึ่งในเทคนิคการย้อมผ้าไหมของชุดกิโมโนซึ่งมีคุณค่าและราคาแพง โดยในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Kimono Forest (キモノフォレスト) ก่อนกลับผมจะพามาชม
พอมาถึงหน้าสถานีถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงให้จำเอาง่ายๆ แบบนี้นะครับ ฝั่งซ้ายมือถ้าเดินไปจะพบกับสะพานโทเก็ทสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ส่วนฝั่งขวาจะพบกับวัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) และป่าไผ่ (Bamboo Forest)
ผมเลือกเดินฝั่งซ้ายก่อน เดินแปปเดียวก็จะเจอกับตัวสะพานเลย
สะพานโทเก็ทสึเคียวแม้ว่าจะเป็นสะพานทั่วๆ ไปที่คนใช้สัญจรในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่ทำให้สะพานนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาจากบรรยากาศรอบๆ ของตัวสะพานโดยเฉพาะช่วงเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ตามเทือกเขาจะเปลี่ยนสีตั้งแต่เหลือง ส้ม แดง สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวได้มากจริงๆ
ผมเดินถ่ายภาพมาเรื่อยๆ และข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งครับ บริเวณนี้เราเดินไปทางฝั่งขวามือได้ จะเป็นทางเดินเรียบน้ำตามทางเดียวกับการล่องเรือซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดฮิตของนักท่องเที่ยวเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างใกล้ชิด
ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีครับ ได้มุมภาพนี้มา คุ้มค่ากับการเดินจริงๆ
หลังจากกลับมาบริเวณสะพานอีกครั้ง แถวนี้มีวัดให้เราขึ้นไปชมด้วย ชื่อวัด Horinji เป็นวัดนิกาย Shingon
บนวัดไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่มีจุดชมวิวที่สามารถเห็นย่านอาราชิยามะได้เล็กน้อย
แต่สิ่งที่ผมชอบของวัดนี้กลับเป็นทางเดินมากกว่า
เพราะมีใบเมเปิ้ลให้ถ่ายหลายมุม
อีกหนึ่งกิจกรรมนอกจากการล่องเรือแล้วก็ยังมีบริการนั่งรถลากนั่นเอง
รถลากสไตล์เจแปนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ตรงที่ใช้พลังงานจากคนล้วนๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสอบถามราคาและเส้นทางที่คนลากสามารถไปถึงได้ เรื่องราคาผมไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่ได้ใช้บริการ
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าจากหน้าสถานีถ้าไปฝั่งซ้ายมาทางสะพาน ทีนี้เราจะไปทางฝั่งขวากันบ้าง สำหรับสถานที่เที่ยวบริเวณนี้เรามาเริ่มกันที่วัดเท็นริวจิ
วัดเท็นริวจิเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตอาราชิยาม่ารวมไปถึงเมืองเกียวโตเองและยังได้รับบันทึกให้เป็นมรดกโลก ตอนปี ค.ศ. 1994 ในฐานะส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เคียวโตะโบราณ
ภายในวัดมีบริเวณที่กว้างมาก ป้ายที่แสดงก็เป็นภาษาญี่ปุ่นซะหมดผมก็เลยเดินไปมั่วๆ ยอมรับว่าเจอตรงไหนสวยๆ ก็ถ่ายตรงนั้น
ด้วยความที่เป็นวัดเซน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจถ้าจะเห็นสวนสไตล์เซนเหมือนกัน
ใบไม้เปลี่ยนสีในตัววัดเท็นริวจิถือว่าสวยงามมาก มีหลายมุมสวยๆ ให้ถ่ายได้ แต่ช่วงบ่ายแดดเริ่มหุบเข้ากลีบเมฆ ว่าแล้วก็ไปที่ต่อไปกันดีกว่า
สถานที่ที่ผมจะพาไปต่อก็คือดงป่าไผ่นั้นเอง เชื่อว่าหลายๆ คงเคยเห็นสถานที่นี้จากในอินเตอร์เน็ตแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน? การเดินทางก็ง่ายแสนง่ายเมื่อมันอยู่หลังจากวัดเท็นริวจินี่เอง เดินทะลุหากันได้จากหลังวัดเลยครับ
ระยะทางเดินของป่าไม่ได้ไกลมาก เดินไม่กี่นาทีก็หมดแล้วและมุมหลักจริงๆ ก็น่าจะมีแค่มุมเดียวนี่แหละ นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะต้องมายืนถ่ายภาพคู่กันหมด
จะว่าไปหลังจากเก็บสะพาน วัดเท็นริวจิและป่าไผ่ สำหรับผมก็ถือว่าโอเคแล้วสำหรับย่านนี้ แต่ด้วยเวลาที่ยังเหลือก็เลยเดินไปเรื่อยๆ ครับ บังเอิญเจอกับวัดนิซอนอิน (Nison-in Temple) ประทับใจมากๆ กับวัดนี้เพราะใบไม้เปลี่ยนสีเป็นแนวยาวงามจับใจเหลือเกิน
ขึ้นมาด้านบนมีตัววัดตั้งอยู่ ไม่ได้เข้าไปครับ
ใครที่ตามรอยผมแนะนำว่าข้างๆ ตัววัดจะมีบันไดยาวครับ อยากจะให้เดินขึ้นไปดู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่เพราะคุณจะได้มุมนี้กลับไป
ก่อนจะกลับยังไปสถานีอาราชิยาม่าอีกครั้งเจอของดีเข้าให้ครับ เป็นข้าวหน้าไข่ดิบ เป็นอย่างที่รู้กันว่าที่ประเทศญี่ปุ่นกินพวกไข่ดิบกันเป็นปกติ และด้วยการเลี้ยงที่สะอาดปลอดภัย ไข่ดิบจึงเป็นเมนูที่กินกับข้าวร้อนๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ ผมเองก็เป็นคนชอบทานไข่ดิบเหมือนกัน ว่าแล้วก็จัดมาเลย 1 ถ้วย หน้าตาเป็นแบบนี้ (320 เยน)
ดูกันใกล้ๆ หน้าตาเหมือนไข่ดิบบ้านเรา แต่เวลาทานไปแล้ว...ไข่ขาวไม่รู้สึกคาวแต่อย่างใด ส่วนไข่แดงเวลาเจาะมาแล้วดูเหมือนจะมีความข้นกว่าไข่แดงบ้านเรา โดยรวมแล้วรสชาติไม่ค่อยต่างจากไข่ดิบบ้านเราเท่าไหร่
มาเกียวโตไม่โดนชาเขียวคือมาไม่ถึงนะครับและสิ่งที่ต้องจัดให้ได้ก็คือชาเขียวมัทฉะรสกลมกล่อม โคตะระหอม
เดินไปเรื่อยก็กลับเข้ามาใกล้สถานีอีกครั้ง บริเวณนี้เจอร้านขายซอฟครีมชาเขียวเข้าให้ ก็โดนไปอีก อร่อยดีครับ สมราคาชาเขียวเกียวโต
จริงๆ แล้วอาหารอีกหนึ่งอย่างที่อยากจะแนะนำก็คือ เต้าหู้ น่าเสียดายที่ไม่ได้หาทาน ว่ากันว่าเต้าหู้ที่เกียวโตอร่อยและมีราคาแพง คือเป็นของขึ้นชื่อระดับโอท็อปเลยก็ว่าได้ ใครที่ได้มีโอกาสมาก็อย่าลืมหาจังหวะลิ้มลองกันดู
เย็นแล้วก่อนจะกลับ บริเวณสะพานโทเก็ทสึที่ผมพาไปตอนเช้ามีร้านขายของฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยว กับชาเขียวอยู่หลายเจ้า แนะนำว่าของเขาดีจริง ไปอุดหนุนกันได้
อย่างที่ได้สัญญากันไว้กับ Kimono Forest ตอนนี้ไฟได้เปิดแล้ว นักท่องเที่ยวหรือคนญี่ปุ่นเองถึงกับร้องสุโค่ยในความสวยงาม
อีกเรื่องที่ฝากไว้คือเวลาของประเทศญี่ปุ่นเร็วกว่าบ้านเรา 2 ชั่วโมงและพระอาทิตย์ตกก็เร็วกว่าเรา อยู่ที่ประมาณ 16.30 น. รวมไปถึงวัดในเกียวโตเองก็ปิดทำการประมาณ 16.00 น. เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างก็กะเวลากันให้ดี ในตอนหน้าผมจะพาเที่ยวย่านฮิกาชิยามะ (Higashiyama) ย่านรวมวัดดังที่ไม่ควรพลาด