“สังคมลอกการบ้าน” จะก้าวต่อไปอย่างไร เมื่อคนเริ่มเรียกหาแต่คำตอบ โดยไม่สนใจที่มา ??

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นผมคงต้องบอกว่า การเขียนบทความนี้ของผมเป็นการเขียนครั้งแรกต่อสาธารณะ ผมเป็นคนคนหนึ่งที่มีคำถามเสมอกับมุมมองต่อสังคมของเรา แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนใกล้ตัวสักเท่าไร จึงอยากขอใช้โอกาสและสถานที่นี้ในการแลกเปลี่ยนมุมมองและความเห็นกับทุกคนที่สนใจ โดยพร้อมรับฟังและคิดต่อยอดไปด้วยกัน หวังว่าอย่างน้อยสิ่งนี้น่าจะเป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยเปิดมุมมองให้ทุกคนและส่งเสริมให้สังคมก้าวต่อไปในทางที่ดีขึ้น

“สังคมลอกการบ้าน” จะก้าวต่อไปอย่างไร เมื่อคนเริ่มเรียกหาแต่คำตอบ โดยไม่สนใจที่มา ??

    หลายๆครั้งที่ได้ฟังความคิดเห็นและได้พบเจอกับสถานการณ์ที่คนเรียกร้องจะเอาคำตอบ เรียกร้องอยากได้ผลลัพธ์ แต่ไม่กลับมีความพยายามที่จะเข้าใจถึงที่มาที่ไป หรือวิธีการเพื่อให้ได้คำตอบมา สิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ต่างกับการลอกการบ้านสมัยเด็ก ขอแค่ได้เสร็จ ขอแค่มีงานส่ง "ดีที่สุดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าคนอื่นเค้าทำมาอย่างนี้ มันก็คงไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกมั้ง หรือถึงเลวร้ายที่สุดมันจะผิด ก็ผิดเหมือนคนอื่นละกันวะ" แนวคิดแบบนี้ถูกปลูกฝังมากับสังคมไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือเหมือนมันจะลุกลามไปกันใหญ่ เกินกว่าปัญหาเด็กลอกการบ้าน แต่กลายเป็นปัญหาการใช้ชีวิตแบบไม่ก้าวหน้า กลายเป็นปัญหาประเทศชาติที่ยํ่าอยู่กับที่
    ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้อ่านกระทู้ที่มีสาระอย่างมากกระทู้หนึ่ง ผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะให้ความรู้แก่มนุษย์เงินเดือนทุกท่านเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุน LTF กระทู้นี้เต็มไปด้วยสาระและไม่มีอะไรเลยที่เสียหาย บุคคลที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นและร่วมอ่านร่วมเรียนรู้ก็ไม่ได้มีอะไรเลยที่เสียหาย แต่ปัญหามันกลับอยู่ที่ว่า มีหนึ่งความคิดเห็นที่แสดงพฤติกรรมลอกการบ้านแบบเด็กๆจนน่าเกลียด ด้วยความเห็นที่ว่า “ช่วยบอกได้ไหมว่ากองไหนดีที่สุด ไม่ต้องอธิบายก็ได้ บอกมาเลย บอกอันไหนก็จะเดินไปซื้อเลย ไม่คิดอะไรแล้ว” ความเห็นเพียงความเห็นเดียวนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรือเสียหายอะไร แต่มันก็สะท้อนให้ผมรู้สึกถึงความไม่ใฝ่รู้ และมักง่ายกับการได้มาซึ่งคำตอบของสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังมา
    โลกของอินเตอร์เน็ทที่คำตอบทุกเรื่องสามารถหาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ส่งเสริมให้คนเรียนรู้ด้วยวิธีที่มักง่ายมากขึ้น จนอาจไม่เรียกว่า “เรียนรู้” ได้เลยด้วยซำ้ เรียกว่า “รู้” ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้รึเปล่า เพราะการรู้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการเข้าใจ ไม่ใช่แค่จำมา แต่จะโทษวิวัฒนาการและเทคโนโลยีก็คงจะไม่ถูก เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากมันสมองที่ได้รับการ “เรียนรู้” มาอย่างหนัก และมุ่งหวังจะต่อยอดการเรียนรู้ให้คนในโลกกว้าง หากจะโทษคงจะต้องโทษคนที่ใช้มันมากกว่า
    หรือจะโทษค่านิยมความเนื้อเชื่อใจของคนไทย ที่ไม่คิดว่าใครจะประสงค์ร้ายกับเราหากเราไม่ได้ร้ายกับใคร ถ้าถามคำถามไป มีคนตอบมาก็สามารถเชื่อได้เลยโดยไม่ต้องกลั่นกรองด้วยกระบวนการที่วุ่นวาย หุ้นตัวไหนที่เค้าพูดกันว่าดี ไม่ต้องมาอธิบายนะว่าดียังไง บอกมาก็พอว่าจะขึ้นไปเท่าไร ซื้อตามแน่นอน เผลอๆไม่ต้องรู้ด้วยซำ้ว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร ครั้นเสียหายมาก็ตีโพยตีพายโทษคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ไม่โทษก็แต่ตัวเอง
    การได้มาซึ่งคำตอบ โดยไม่ผ่านการเรียนรู้ในระดับบุคคลอาจจะยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวสักเท่าไร แต่หากลองคิดต่อไปเมื่อคนเหล่านี้ใช้แนวคิดลักษณะนี้ในการทำงานเพื่อพัฒนาองค์กรหรือสังคม เคยมั้ยกับการทำแบบสอบถามทางการตลาดของผู้ประกอบการหรือนักวิจัยต่างๆ ที่ถามกับเราอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณต้องการคอนโดมีเนียมที่มีขนาดกี่ตารางเมตร” หรือ “คุณต้องการให้ภายในห้องพักโรงแรมของคุณมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง” คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามมักง่ายที่อยากได้แต่คำตอบจากผู้ตอบแบบสอบถามเพื่อนำไปออกแบบสินค้าโดยเชื่อว่าเป็นตอบสนองความต้องการ  พูดมาเท่านี้คุณคงเกิดคำถามกลับผมว่า “คำถามเหล่านั้นมักง่ายอย่างไร”
    ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆว่า หากเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ สตีฟจ๊อบทำแบบสอบถามถามผู้บริโภคว่าอยากให้เครื่องเล่นเพลงมีปุ่มกี่ปุ่ม ทุกวันนี้เราคงยังไม่ได้เห็นการเกิดขึ้นของ ipod เพราะการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคนั้น ไม่ใช่การทำตามเหมือนร้านอาหารตามสั่ง แต่เป็นการ “เรียนรู้” และ “เข้าใจ” ในพฤติกรรม ความชอบ และความคิดเห็นของผู้บริโภคต่างหาก ความเข้าใจเหล่านี้เมื่อมารวมกับจินตนาการและความสร้างสรรค์เท่านั้นที่จะสรรสร้างให้เกิดเป็นวิวัฒนาการได้
    ย้อนกลับมาว่า หากเราตั้งคำถามใหม่ เพื่อศึกษาว่าผู้บริโภคทำกิจกรรมอะไรบ้างภายในห้องคอนโดมีเนียม มีวิธีการ มุมมอง และการจัดการกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร เราอาจจะแปลกใจว่า เราสามารถได้คำตอบเรื่องขนาดห้องที่เหมาะสมใหม่ที่ไม่เหมือนการถามอย่างมักง่ายก็ได้ และสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะนำไปสู่การพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ตรงประเด็นมากขึ้นเรื่อยๆ
    ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะว่าร้ายผู้ใด แต่อยากให้สังคมเรียนรู้และเข้าใจถึงอันตรายและสาเหตุหนึ่งของการไม่พัฒนาไปไหนของประเทศ คงถึงเวลาแล้วที่เราควรจะปรับวิธีคิดและพฤติกรรมที่ตัวเราให้รักที่จะเรียนรู้ และสนุกกับการเข้าใจในเรื่องใหม่ ไม่ใช่เรียกร้องจะเอาแต่คำตอบเหมือนเด็กลอกการบ้าน และคุณจะพบว่าสิ่งเหล่านั้นจะต่อยอดวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตและพัฒนาสังคมของเราไปได้อีกไกล

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และยินดีแลกเปลี่ยนทุกความคิดเห็นครับ หัวเราะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่