ร่างกายกับจิตใจต้องอาศัยกัน จะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกัน ก็จะหายไปด้วยกันทั้งคู่
เมื่อมีร่างกายที่ยังมีชีวิต ก็จะมีระบบประสาท (อายตนะภายใน ๖) เพื่อรับรู้สิ่งภายนอก (อายตนะภายนอก ๖)
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาท ก็จะเกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นที่ระบบประสาททันที และเมื่อมีความทรงจำจากสมองมาร่วม จึงมีการปรุงแต่งให้เกิดจิตใจที่รู้สึกนึกคิดได้ขึ้นมาทันที (เกิดขันธ์ ๕) และจิตก็จะมาดูแลร่างกายให้เจริญเติบโต ถ้าไม่มีจิตหรือวิญญาณ ร่างกายก็จะแตก (ตาย) นี่แสดงถึงว่าทั้งร่างกายกับจิตใจต้องอาศัยกัน จะแยกกันไม่ได้
นี่แสดงถึงลักษณะของสิ่งปรุงแต่งที่เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนอมตะ) ที่ต้องมีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งจึงจะเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาและตั้งอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดตามความเชื่อเรื่องอัตตา (ตัวตนอมตะที่เวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายได้) ของพราหมณ์ และความเชื่อนี้ก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าภายหลังปรินิพพานไปแล้วไม่นาน
ร่างกายกับจิตใจต้องอาศัยกัน จะแยกกันไม่ได้
เมื่อมีร่างกายที่ยังมีชีวิต ก็จะมีระบบประสาท (อายตนะภายใน ๖) เพื่อรับรู้สิ่งภายนอก (อายตนะภายนอก ๖)
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาท ก็จะเกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นที่ระบบประสาททันที และเมื่อมีความทรงจำจากสมองมาร่วม จึงมีการปรุงแต่งให้เกิดจิตใจที่รู้สึกนึกคิดได้ขึ้นมาทันที (เกิดขันธ์ ๕) และจิตก็จะมาดูแลร่างกายให้เจริญเติบโต ถ้าไม่มีจิตหรือวิญญาณ ร่างกายก็จะแตก (ตาย) นี่แสดงถึงว่าทั้งร่างกายกับจิตใจต้องอาศัยกัน จะแยกกันไม่ได้
นี่แสดงถึงลักษณะของสิ่งปรุงแต่งที่เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนอมตะ) ที่ต้องมีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งจึงจะเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาและตั้งอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดตามความเชื่อเรื่องอัตตา (ตัวตนอมตะที่เวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายได้) ของพราหมณ์ และความเชื่อนี้ก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าภายหลังปรินิพพานไปแล้วไม่นาน