เคยแต่ไปทัวร์ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ทริปสิวิไลทั้งน้าน ช้อปปิ้ง ถ่ายรูป เกร๋ๆ ไม่เคยคิดว่าจะไปโซนประวัติศาสตร์เลยซักครั้ง เพราะคิดว่าไหนจะเดินทาง ไหนจะที่พัก ลำบากแน่ แต่ต้องลองอ่านดูนะคะว่าทำไมเราถึงอยากไปที่นี่ อาจอยากเปลี่ยนความคิดหนีที่เที่ยวสิวิไลกันไปเลย
เริ่มตั้งแต่การจองตั๋วเดินทาง บอกเลยเต็มแทบทุกไฟลท์ คุณพระ! นึกว่าไปญี่ปุ่นช่วงดูซากุระ แสดงว่าที่หมายที่เราไปมันเจ๋งสินะ กว่าจะลงตัวให้ได้ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะมีในตอนนั้น เราใช้เวลา 4 วัน แต่วันกลับเดินทางกลับเช้าตรู่ เป้าหมายเราคือ “พุกาม” แต่แอบแวะมัณฑะเลย์ด้วย


เดินทางไปลงมัณฑะเลย์ ถึงสนามบินก็เกือบบ่ายแล้วหาอะไรกินง่ายๆ แล้วไปต่อ เริ่มด้วย วิหารชเวนันดอร์ สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ลวดลายวิจิตร งดงามมากจริงๆ เน้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ และพระพุทธเจ้า งดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ ๆ เดินทางต่อไปยังเนินเขามัณฑะเลย์ ซึ่งทางขึ้นเป็นบันไดที่มีหลังคาทอดตัวขึ้นสู่ยอดเขาทั้งหมด 1,729 ขั้น และ มีศาลเล็กๆ ตั้งอยู่เป็นระยะๆ บอกตรงๆ เราถึงแม้จะห่างไกลพุทธศาสนามากจริงๆ ยังรู้สึกถึงความงดงาม จากที่นี่สามารถเห็นทัศนียภาพและตัวเมืองมัณฑะเลย์ทั้งเมือง สวยงามโดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตก ด้วยความพิรี้พิไร มัวชมนกชมไม้อยู่นั้นเราก็เลยจบแค่ที่เดียว แต่บอกเลยว่ามันคุ้มมากกับความสวยงาม
อีกวันเราก็ต้องเดินทางไปพุกามดินแดนอันเป้าหมายของเราแล้ว เดินทางแต่เช้าตรู่ ซึ่งไม่ค่อยคุ้นเลย แต่จะเที่ยวต้องอดทน ไปถึงพุกามประมาณ 9 โมงเช้า กว่าจะหอบหิ้วสัมภาระถึงที่พักเตรียมตัวไปต่อก็เกือบ 11 โมงละ เป้าหมายที่แรก ที่ทุกคนควรจะต้องไปเมื่อมาที่นี่ เจดีย์ชเวสิกอง พระเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพุกาม ซึ่งเป็นสถูปของพม่าโดยแท้ มีลักษณะเป็นสีทองขนาดใหญ่ ที่เชื่อว่าภายในเป็นพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า เพื่อนเราบอกมาว่าที่นี่ถือเป็น 1 ใน 5 วัดศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องไปสักการะเลยทีเดียว แล้วจากนั้นก็เที่ยวชมวัดอนันดา ซึ่งวิหารแห่งนี้นับได้ว่าเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพุกาม เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถือว่าต้นแบบของสถาปัตยกรรมพม่าในยุคต้นของพุกาม สิ่งที่น่าประทับใจคือมีแสงสว่างเข้าไปในวิหาร ตรงองค์พระประธาน ยิ่งดูขลังก์มาก ต่อด้วยชมวัดมนุหา และวัดกุบยางกี ที่เคยดูในรีวิวว่ามีภาพจิตกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดในพุกาม ซึ่งก็จริงอย่างที่เค้าว่าไว้เลย กะว่าจะไปเจดีย์สัพพัญูญต่อแต่แอบเพลียอ่ะ ปกติอยู่ออฟฟิศแอร์เย็น เลยพักชิลๆ แถวนี้ก่อน เก็บแรงไว้ก่อน เรามีจองตั๋วโชว์เอาไว้ตอนเย็น กลัวไปนั่งหลับเดี๋ยวพลาด อิอิ
หลังจากโอ้เอ้อยู่พักใหญ่ เราก็นั่งรถม้าชมเมือง และไหนๆ ก็ต้องไปชมโชว์ที่พระราชวังทองพุกามแล้ว เราก็เลยแวะไปเที่ยวที่นี่ก่อน เสร็จแล้วจะได้ดูโชว์เลย พระราชวังทองพุกาม จริงแล้วที่นั่นเรียก Bagan Golden Palace สวยยยมากกกก จริงงง บอกเลย จนติดอันดับ 1 ใน 3 พระราชวัง ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องเดินทางมาเยี่ยมชมให้ได้ แค่นี้ก็ว่าประทับใจแล้ว รอดูโชว์แบบไม่แน่ใจพม่าจะโชว์อะไรให้เราดูหว่า ดูทีเซอร์ทาง YouTube มาเราว่ามันเจ๋งดี Production จะสู้ไทยเราได้มั้ยน๊อ ถึงเวลาเข้าชมแล้วตื่นเต้นจัง วันที่เรามาชมมีรัฐมนตรีของพม่ามาชมด้วย กระทรวงอะไรซักอย่าง พอเข้าไปชม แค่บรรยากาศก็มาละ งานกลางแจ้งจ้า แต่เสมือนอยู่ในโรงละครที่มีแบ็คกราวด์เป็นพระราชวัง แสง เสียง โปรดักชั่น ทำขนลุก ดูขลังก์มาก และก็สนุกด้วย เป็นการเล่าเรื่องราวจากรุ่นปู่ให้หลานฟัง ถึงเรื่องราวความรุ่นเรื่อง สงคราม อารยธรรมในอดีตถึงปัจจุบัน เราอาจไม่อินกับเรื่องราวของเค้านะ แต่เราอินกับการแสดง การละเล่น ของเค้า มีนักแสดงเด็กๆ ด้วยน่ารักมาก โดยรวมถือว่ายอดเยี่ยม เราเป็นคนละครอยู่แล้ว ชอบดูโชว์อยู่แล้ว ตอนจบเราปรบมือให้เสียงดังมาก...จำได้ เราเพิ่งรู้ว่าเพิ่งมีการแสดงแบบนี้เป็นปีแรก และจะมีเฉพาะช่วงไฮซีซั่นคือ พ.ย.-มี.ค. นี้เท่านั้น โชคดีมากที่เรามาช่วงนี้ ได้ดูด้วย สรุปคืนนี้ก็ฟินกันไปตามๆ กัน พรุ่งค่อยลุยกันต่อ





รุ่งเช้าตื่นมาตีสี่ เพื่อ? เช้าไป๊ แต่ก็เตรียมไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปกันที่บากัน ทาวเวอร์ เห็นเจดีย์น้อยใหญ่จำนวนมาก นี่ก็คงเป็นที่มา “ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์” วันนี้ขอชิล สวยๆ นั่งรถม้าชมเมืองอีกรอบ ตกเย็นล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกในแม่น้ำอิรวดี บรรยากาศยามเย็นได้เห็นวิถีวิถีชีวิตของชาวอิรวดี ที่ใช้ชีวิตพึ่งพาแม่น้ำสายนี้เพื่อความอยู่รอด บรรยากาศเหมือนหนัง period บ้านเราซักเรื่องหนึ่ง
เราไม่ได้เที่ยวเยอะมาก แต่เราได้สัมผัสกับสถานที่แต่ละที่แบบลึกซึ้ง และรู้สึกว่าเวลาที่นี่เดินช้ามาก ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ไม่เหมือนตอนเราอยู่กรุงเทพฯ ทำให้อยู่กับตัวเอง ธรรมชาติ ตัดโลกภายนอกไปบ้าง (ไม่ต้องไลน์หาใคร ไม่ต้องสนใจเฟซ อินสตาแกรม ไม่ต้องรับโทรศัพท์ ไม่รับรู้อะไรที่เมืองไทย เพราะโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย) เลยได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ท่องเที่ยวกับคนที่รัก มีความสุขอย่างแท้จริง ...เวิ่นเนาะ ประทับใจมาก ไว้มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีก ไว้จะทยอยเอารูปมาลงให้ดูเรื่อยๆ ให้หายคิดถึงเมืองนี้กันนะคะ...
[CR] รีวิวท่องเที่ยว “พุกาม” ไม่เน้นเที่ยวเยอะ แต่การันตีคุณภาพ
เริ่มตั้งแต่การจองตั๋วเดินทาง บอกเลยเต็มแทบทุกไฟลท์ คุณพระ! นึกว่าไปญี่ปุ่นช่วงดูซากุระ แสดงว่าที่หมายที่เราไปมันเจ๋งสินะ กว่าจะลงตัวให้ได้ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะมีในตอนนั้น เราใช้เวลา 4 วัน แต่วันกลับเดินทางกลับเช้าตรู่ เป้าหมายเราคือ “พุกาม” แต่แอบแวะมัณฑะเลย์ด้วย
เดินทางไปลงมัณฑะเลย์ ถึงสนามบินก็เกือบบ่ายแล้วหาอะไรกินง่ายๆ แล้วไปต่อ เริ่มด้วย วิหารชเวนันดอร์ สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ลวดลายวิจิตร งดงามมากจริงๆ เน้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ และพระพุทธเจ้า งดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ ๆ เดินทางต่อไปยังเนินเขามัณฑะเลย์ ซึ่งทางขึ้นเป็นบันไดที่มีหลังคาทอดตัวขึ้นสู่ยอดเขาทั้งหมด 1,729 ขั้น และ มีศาลเล็กๆ ตั้งอยู่เป็นระยะๆ บอกตรงๆ เราถึงแม้จะห่างไกลพุทธศาสนามากจริงๆ ยังรู้สึกถึงความงดงาม จากที่นี่สามารถเห็นทัศนียภาพและตัวเมืองมัณฑะเลย์ทั้งเมือง สวยงามโดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตก ด้วยความพิรี้พิไร มัวชมนกชมไม้อยู่นั้นเราก็เลยจบแค่ที่เดียว แต่บอกเลยว่ามันคุ้มมากกับความสวยงาม
อีกวันเราก็ต้องเดินทางไปพุกามดินแดนอันเป้าหมายของเราแล้ว เดินทางแต่เช้าตรู่ ซึ่งไม่ค่อยคุ้นเลย แต่จะเที่ยวต้องอดทน ไปถึงพุกามประมาณ 9 โมงเช้า กว่าจะหอบหิ้วสัมภาระถึงที่พักเตรียมตัวไปต่อก็เกือบ 11 โมงละ เป้าหมายที่แรก ที่ทุกคนควรจะต้องไปเมื่อมาที่นี่ เจดีย์ชเวสิกอง พระเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพุกาม ซึ่งเป็นสถูปของพม่าโดยแท้ มีลักษณะเป็นสีทองขนาดใหญ่ ที่เชื่อว่าภายในเป็นพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า เพื่อนเราบอกมาว่าที่นี่ถือเป็น 1 ใน 5 วัดศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องไปสักการะเลยทีเดียว แล้วจากนั้นก็เที่ยวชมวัดอนันดา ซึ่งวิหารแห่งนี้นับได้ว่าเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพุกาม เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถือว่าต้นแบบของสถาปัตยกรรมพม่าในยุคต้นของพุกาม สิ่งที่น่าประทับใจคือมีแสงสว่างเข้าไปในวิหาร ตรงองค์พระประธาน ยิ่งดูขลังก์มาก ต่อด้วยชมวัดมนุหา และวัดกุบยางกี ที่เคยดูในรีวิวว่ามีภาพจิตกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดในพุกาม ซึ่งก็จริงอย่างที่เค้าว่าไว้เลย กะว่าจะไปเจดีย์สัพพัญูญต่อแต่แอบเพลียอ่ะ ปกติอยู่ออฟฟิศแอร์เย็น เลยพักชิลๆ แถวนี้ก่อน เก็บแรงไว้ก่อน เรามีจองตั๋วโชว์เอาไว้ตอนเย็น กลัวไปนั่งหลับเดี๋ยวพลาด อิอิ
หลังจากโอ้เอ้อยู่พักใหญ่ เราก็นั่งรถม้าชมเมือง และไหนๆ ก็ต้องไปชมโชว์ที่พระราชวังทองพุกามแล้ว เราก็เลยแวะไปเที่ยวที่นี่ก่อน เสร็จแล้วจะได้ดูโชว์เลย พระราชวังทองพุกาม จริงแล้วที่นั่นเรียก Bagan Golden Palace สวยยยมากกกก จริงงง บอกเลย จนติดอันดับ 1 ใน 3 พระราชวัง ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องเดินทางมาเยี่ยมชมให้ได้ แค่นี้ก็ว่าประทับใจแล้ว รอดูโชว์แบบไม่แน่ใจพม่าจะโชว์อะไรให้เราดูหว่า ดูทีเซอร์ทาง YouTube มาเราว่ามันเจ๋งดี Production จะสู้ไทยเราได้มั้ยน๊อ ถึงเวลาเข้าชมแล้วตื่นเต้นจัง วันที่เรามาชมมีรัฐมนตรีของพม่ามาชมด้วย กระทรวงอะไรซักอย่าง พอเข้าไปชม แค่บรรยากาศก็มาละ งานกลางแจ้งจ้า แต่เสมือนอยู่ในโรงละครที่มีแบ็คกราวด์เป็นพระราชวัง แสง เสียง โปรดักชั่น ทำขนลุก ดูขลังก์มาก และก็สนุกด้วย เป็นการเล่าเรื่องราวจากรุ่นปู่ให้หลานฟัง ถึงเรื่องราวความรุ่นเรื่อง สงคราม อารยธรรมในอดีตถึงปัจจุบัน เราอาจไม่อินกับเรื่องราวของเค้านะ แต่เราอินกับการแสดง การละเล่น ของเค้า มีนักแสดงเด็กๆ ด้วยน่ารักมาก โดยรวมถือว่ายอดเยี่ยม เราเป็นคนละครอยู่แล้ว ชอบดูโชว์อยู่แล้ว ตอนจบเราปรบมือให้เสียงดังมาก...จำได้ เราเพิ่งรู้ว่าเพิ่งมีการแสดงแบบนี้เป็นปีแรก และจะมีเฉพาะช่วงไฮซีซั่นคือ พ.ย.-มี.ค. นี้เท่านั้น โชคดีมากที่เรามาช่วงนี้ ได้ดูด้วย สรุปคืนนี้ก็ฟินกันไปตามๆ กัน พรุ่งค่อยลุยกันต่อ
รุ่งเช้าตื่นมาตีสี่ เพื่อ? เช้าไป๊ แต่ก็เตรียมไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปกันที่บากัน ทาวเวอร์ เห็นเจดีย์น้อยใหญ่จำนวนมาก นี่ก็คงเป็นที่มา “ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์” วันนี้ขอชิล สวยๆ นั่งรถม้าชมเมืองอีกรอบ ตกเย็นล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกในแม่น้ำอิรวดี บรรยากาศยามเย็นได้เห็นวิถีวิถีชีวิตของชาวอิรวดี ที่ใช้ชีวิตพึ่งพาแม่น้ำสายนี้เพื่อความอยู่รอด บรรยากาศเหมือนหนัง period บ้านเราซักเรื่องหนึ่ง
เราไม่ได้เที่ยวเยอะมาก แต่เราได้สัมผัสกับสถานที่แต่ละที่แบบลึกซึ้ง และรู้สึกว่าเวลาที่นี่เดินช้ามาก ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ไม่เหมือนตอนเราอยู่กรุงเทพฯ ทำให้อยู่กับตัวเอง ธรรมชาติ ตัดโลกภายนอกไปบ้าง (ไม่ต้องไลน์หาใคร ไม่ต้องสนใจเฟซ อินสตาแกรม ไม่ต้องรับโทรศัพท์ ไม่รับรู้อะไรที่เมืองไทย เพราะโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย) เลยได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ท่องเที่ยวกับคนที่รัก มีความสุขอย่างแท้จริง ...เวิ่นเนาะ ประทับใจมาก ไว้มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีก ไว้จะทยอยเอารูปมาลงให้ดูเรื่อยๆ ให้หายคิดถึงเมืองนี้กันนะคะ...