เปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม AEC

ในช่วงนี้เราคงได้ยินใครต่อใครพูดถึง "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" หรือ AEC กันอยู่บ่อยๆ จนหลายคนอาจเกิดคำถามขึ้นว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมันคืออะไร ? แล้วมันสำคัญกับประเทศเราอย่างไร ? ในที่นี้เรามีคำตอบ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนคือ องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) ที่จะจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2558 เพื่อสร้างความเป็นเสรีในการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานฝีมือระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน แต่การเปิดเสรีในลักษณะดังกล่าว ความแตกต่างของฐานะเศรษฐกิจระหว่างประเทศในกลุ่มเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงอย่างสูง เพราะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กกว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ เหมือนที่กำลังเกิดปัญหากับหลายประเทศในสหภาพยุโรป ดังนั้นเราจึงได้นำข้อมูลเบื้องต้นของ AEC และฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอาเซียนมาเปรียบเทียบให้เห็น ติดตามรายละเอียดได้จากที่นี่
   "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (Association of South East Asian Nations) หรือ "อาเซียน" (ASEAN) คือองค์กรแม่ของ "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" (ASEAN Economic Community : AEC) แนวคิดในการจัดตั้ง AEC ได้ตกผลึกจากการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2545 ที่ประเทศกัมพูชา โดยประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ คือ ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, บรูไน, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และพม่า ได้ตกลงกันที่จะจัดตั้ง "ประชาคมอาเซียน" (ASEAN Community) ขึ้น ซึ่งมีลักษณะความร่วมมือระหว่างประเทศคล้ายกับ "สหภาพยุโรป" (European Union : EU)
   ประชาคมอาเซียนนี้มี 3 เสาหลัก ประกอบไปด้วย ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน, ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และประชาคมความมั่นคงอาเซียน ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 พ.ศ.2546 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ขึ้นก่อนภายในปี 2563 โดยอาเซียนได้ทำพิมพ์เขียวในการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ซึ่งมียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ประการ ดังนี้

การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกัน
การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก

   เมื่อทุกเหรียญมีสองด้าน การร่วมมือทางเศรษฐกิจลักษณะดังกล่าวที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ ก็ย่อมมีโทษแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เกษตรกรไทยอาจต้องประสบปัญหาเมื่อสินค้าเกษตรบางชนิดจะถูกตีตลาดโดยสินค้าราคาต่ำกว่าซึ่งนำเข้ามาอย่างเสรี แรงงานฝีมือของไทยจะไหลออกไปทำงานต่างประเทศเพื่อรับค่าจ้างที่สูงกว่า ส่วนแรงงานค่าจ้างต่ำจากเพื่อนบ้านจะไหลเข้ามาแย่งงานกับแรงงานชาวไทย เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่อง AEC ให้กับประชาชนทุกคน จึงจะสามารถปรับตัวเตรียมรับกับสถานการณ์การเปิดเสรีในหลายๆ ด้านที่กำลังจะมาถึงในอีก 3 ปีนี้ได้
   นอกจากนั้นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในกลุ่มความร่วมมือ ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนจะกลายเป็นเหยื่อของประเทศที่ร่ำรวยกว่า ในขณะเดียวกันประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนก็ยังเป็นภาระให้กับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มที่ต้องคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ฉุดดึงกันล้มไปทั้งกลุ่มด้วย
   ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ A มีฐานะทางเศรษฐกิจแข็งแกร่ง มีความพร้อมสำหรับการเปิดเสรี, ประเทศ B มีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจระดับปานกลาง และประเทศ C เป็นประเทศฐานะยากจน แต่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกันขึ้น เงินทุนจากประเทศ A จะไหลอย่างเสรีเข้ามาถลุงใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ C จนไม่เหลือซาก และเมื่อประเทศ C ทำท่าจะล้มลง ประเทศ B ก็จำต้องยื่นมาเข้าไปช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจนมาดึงประเทศ B ให้ล้มตามไปด้วย เท่ากับว่า ประเทศ A ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ ได้ประโยชน์จากทรัพยากรของทั้งประเทศ B และ C ความสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวนี้กำลังเกิดขึ้นจริงที่สหภาพยุโรป โดยเฉพาะวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศกรีซซึ่งอาจจะดึงให้ประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปต้องพลอยล้มตามไปด้วย
   ตัวเลขสถิติที่แสดงฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่า ประเทศใดมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและมีแนวโน้มที่จะได้เปรียบจากการเปิดเสรีของ AEC ดังตารางต่อไปนี้

   จากตารางที่ 1 แม้ประเทศอินโดนีเซียจะมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศซึ่งปรับความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อแล้ว (GDP purchasing power parity : PPP) สูงกว่า 1,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่หากหารด้วยจำนวนประชากรแล้ว ชาวสิงคโปร์จะมีอำนาจในการซื้อสูงสุด คือ รายละ 59,900 ดอลล่าร์สหรัฐ ในขณะที่ประเทศในเมื่อปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของ real GDP ต่ำที่สุดในกลุ่ม หรือเพียง 0.1% เท่านั้น

   จากตารางที่ 2 จะเห็นว่า ประเทศอินโดนีเซียมีรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลสูงมาก ทิ้งห่างประเทศไทยซึ่งอยู่ในอันดับ 2 กว่าเท่าตัว แต่ประเทศอินโดนีเซียก็มีงบประมาณขาดดุลสูงถึง 9,900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และยังมีหนี้ต่างประเทศเป็นมูลค่าสูงที่สุดในกลุ่มด้วย ดังนั้นฐานะการคลังของประเทศอินโดนีเซียจึงยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร ประเทศที่มีฐานะการคลังแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม คือ ประเทศสิงคโปร์ เป็นเพียงประเทศเดียวที่มีงบประมาณเกินดุล มีหนี้ต่างประเทศน้อยมาก และมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในกลุ่ม ส่วนประเทศไทยของเราแม้จะมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่ม แต่ก็มีหนี้ต่างประเทศเป็นมูลค่าใกล้เคียงกัน และมากเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มด้วย

   จากตารางที่ 3 อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมนุษย์มากที่สุดในกลุ่ม ด้วยจำนวนประชากรที่เกิน 200 ล้านคน และกำลังแรงงานที่เกิน 100 ล้านคน ต่างกันอย่างลิบลับกับประเทศบรูไนที่มีกำลังแรงงานเพียง 2 แสนคนเท่านั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหลังเปิดเสรี แรงงานต่างประเทศจำนวนมากจะทะลักเข้าสู่ประเทศบรูไน สำหรับประเทศไทยของเรา แม้มีจำนวนประชากรน้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์ แต่อัตราการว่างงานของประเทศไทยที่ต่ำมากจนติดอันดับต้นๆ ของโลก จึงทำให้เรามีกำลังแรงงานมากกว่าประเทศฟิลิปปินส์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่