http://ireport.cnn.com/docs/DOC-985267
บทความต่อไปนี้คือบทความที่แปลมาจาก สำนักข่าว CNN -ลิงค์ข้างบนค่ะ- เป็นความในใจของครูเจ้าของภาษาคนหนึ่งที่ระบายความในใจหลังจาก มีประสพการณ์สอนในไทย และนี้คือความรู้สึกที่ต้องหิ้วกลับบ้านและในที่สุดครูเจ้าของภาษาบางคนถึงกับเปลี่ยนใจไปสอนที่อื่นแทน
เค้าเขียนว่า...
ระบบการศึกษาในประเทศไทยนับว่าเป็นระบบการศึกษาที่แย่ที่สุดในแถบเอเชีย และจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ทุกๆปี สำหรับตัวเองได้มีโอกาสสอนในประเทศไทยติดต่อกัน 3 ปี เป็นระยะเวลาที่ไม่ยากเลยที่จะเรียนรู้และเข้าใจว่าระบบการศึกษาไทยนั้น 'แย่มาก'
{ พอแปลมาถึงตรงนี้รู้สึกท้อเพราะคำก็แย่สองคำก็แย่ ......? }
ทั้งงบก็มีจำนวนจำกัดมาก ห้องเรียนมีจำนวนนักเรียนเกินขนาดต่อจำนวนครูหนึ่งคน
( เท่าที่สังเกตุ ห้องหนึ่งมีนักเรียนมากกว่า 50 คน ) ระบบการฝึกอบรมครู ไม่ต้องพูดถึง 'แย่' ไปตามๆกัน นักเรียน ขี้-เกียจ-เรียน-มาก แถมมีระบบไม่ซ้ำชั้นเรียนอีกต่างหาก คือการศึกษาไทยคงไม่มีความหวังอะไรมากและคงไม่ต้องหวังที่จะพัฒนาระบบอะไรให้ดีขึ้น
{ คือตอนที่เขียนคงเจ็บกับเมืองไทยมาก }
จากประสพการณ์ส่วนตัว ได้เข้ามามีโอกาสสอนในโรงเรียนสอนภาษา จึงมีโอกาสที่จะคลุกคลีกับโรงเรียนรัฐบาลน้อยมาก ถึงกระนั้นก็ตาม ทางโรงเรียนสอนภาษาเองต้องอยู่ภายใต้การดูแลและการจัดการของกระทรวง ซึ่งในความคิด หลักการทำงานของกระทรวงเอง ทางโรงเรียนสอนภาษาต้องปฏิบัติตามนั้นเป็นระบบที่ล้าสมัยและไม่มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง { @&$!? }
กฎต่างๆเปลี่ยนทุกๆเทอม แนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่ๆ ถูกยื่นให้ครูแต่ล่ะคนเพื่อปรับบทเรียน แผนการสอน แบบทดสอบ จิปาถะ ให้เข้ากับแนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่ ทุกเทอม
{อีกนั้นแหล่ะตอนที่เขียนคงท้อเพราะ มีแต่งานเอกสาร !!!}
ครูเองต้องจำนนให้นักเรียน 'ต้องผ่าน' ทั้งๆที่ผลออกมา 'ไม่ผ่าน' แต่ต้องปิดหูปิดตาให้เกรดกันทุกๆปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำเอาความคิดใหม่ๆ มาปรับเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตรงนี้รวมไปถึงการให้ครูเจ้าของภาษาเข้าอบรมเพื่อให้เข้าถึงวัฒนธรรมไทย
-----คือมันจะเกี่ยวกับเด็กผ่านหรือไม่ผ่านยังไง ??? -----
ถึงแม้ว่ามีครูเจ้าของภาษาหลายคน ได้อยู่เมืองไทยมานานหลายปีแล้วก็ตาม ด้วยเหตุผลของการต่อใบอนุญาติการสอนภาษาที่เมืองไทย ครูเจ้าของภาษาทุกคนต้องเข้าอบรมคอร์สตัวนี้ ราคาคอร์สตกอยู่ที่ $110-$300 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,000-10,000 บาท ซึ่งตัวครูเองต้องเป็นคนจ่าย
{ คือตรงนี้แหล่ะสำคัญ ทางกระทรวงบังคับให้เข้าอบรมแต่ ครูเจ้าของภาษาต้องเป็นคนจ่าย มันยังไงๆอยู่นา... }
ด้วยเหตุนี้เมืองไทยได้สูญเสียครูฝีมือดีๆไปแล้วสองคน ให้กับประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น
หากเปรียบเทียบแล้ว ประเทศอื่นในแถบเอเชียใต้ ' เค้า ' จ่ายค่าตอบแทนให้กับครูที่เป็นเจ้าของภาษาสูงกว่าไทยเยอะ พร้อมทั้งเรื่องจัดทำวีซ่านั้นง่ายกว่ากันเยอะมาก และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเองมีทัศนคติที่กว้างไกลกว่า ส
อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ก็ได้ที่อนาคต การเรียนภาษาของไทยน่าจะมีปัญหาในด้านการจัดสรรหาครูเจ้าของภาษาที่มีคุณภาพ
ในการบังคับให้ครูเจ้าของภาษา เข้าคอร์สฝึกอบรม การเข้าใจศิลปะวัฒนธรรมไทย เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นั้น หากบทบังคับนี้ออกมาอย่างชัดเจน จะมีครูเจ้าของภาษาที่ฝีมือดีหลายคน ตัดสินใจเดินออก จากประเทศไทยอย่างที่จะไม่คิดเดินกลับมาอีกเลย
**ประโยคด้านล่างไม่แปลให้อ่านและแปลกันเอาเอง**
In most countries, government organizations are known to not be particularly effective. The Ministry of Education in Thailand though, is the worst government organization I have ever dealt with.
ตอนที่สอนใน ร.ร. สอนภาษา ได้มีโอกาสแน่ะภาษาอังกฤษให้กับครูไทยที่สอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งครูคนนี้ได้ขอคำแน่ะนำ คำกล่าววันแม่ที่เป็นภาษาอังกฤษ หลังจากได้รับคำแน่ะมาจากตัวแทนรัฐมนตรีของกระทรวงมาแล้ว เพื่อความถูกต้องจึงขอความเห็นจากเจ้าของภาษา สำหรับตัวแทนรัฐมนตรีคนนี้ มีหน้าที่รับส่งเอกสารใบสมัครหรือติดต่อกับครูเจ้าของภาษาโดยตรง ในการใช้ภาษาอังกฤษน่าจะมีความเชื่อถือมากกว่า ครูคอมพิวเตอร์ แต่ขอความคิดเห็นจากเจ้าของภาษาอีกรอบคงไม่แปลก
ส่วนตัวเห็นคำกล่าวที่ตัวแทนของรัฐมนตรีที่แก้ให้มา นับว่า เป็นการเขียนภาษาอังกฤษที่ไม่พึ้งหลักไวยากรณ์เลย ชึ่งทำให้คนที่เป็นเจ้าของภาษาอ่านแล้ว !!! ไม่เข้าใจ !!! จำเป็นต้องแก้ ภายหลังได้แสดงบางประโยคให้กับหัวหน้าใน ร.ร. สอนภาษาดู ทุกประโยคที่ยื่นให้ต้องถูกขยำแล้วทิ้งลงถังขยะเนื่องจากมัน unintelligent !!!
Thailand is now facing a crisis in education. ***คิดว่าทุกคนคงแปลได้***
เนื่องจากนักเรียนไม่ได้ถูกสอนให้คิดเป็น วิเคราะห์เป็น ทักษะการคิดไม่มีอยู่ในระบบการเรียนการสอน หากจำนวนนักเรียนในห้องมี มากกว่า 50 คนและถือว่าเป็นเรื่องปกตินั้นการเรียนการสอนของไทยจะคงที่ คืออีกคำพูดหนึ่ง คือไม่ก้าวหน้า
จะมีนักเรียนมากกว่าครึ่งห้องนั่งหลับ ครูเองคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีนักเรียนนั่งหลับขณะสอนเพราะจำนวนนักเรียนเยอะ อุปกรณ์การเรียนการสอนมีไม่ครบ เช่น หนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ อุปกรณ์การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีไม่พร้อมในหลายๆโรง และครูที่เป็นเจ้าของภาษาในโรงเรียรัฐบาลส่วนมากจะขี้เหล้า .... ??? ....
ในเมื่อทาง ร.ร.รัฐบาล จ่ายไม่ถึง $750 ต่อเดือน (คือ 20,000- 25,000 บาท) ครูฝรั่งขี้เหล้าจึงเป็นมาตราฐานของราคาถูก คือไม่จบมอปลาย ( college ) และจุดประสงค์หลักของการมาอยู่เมืองไทยคือ 'เอาเมียไทย' อีกเหตุผลหนึ่งคือ ของที่เมืองไทยถูก หากอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของครูฝรั่งขี้เหล้าเองคงไม่มีใครจ้างเพราะแกแก่แล้ว และหากจะถูกจ้างงานที่ได้คงมีไม่กี่งาน
ส่วนตัวแนวทางในการกำจัดครูฝรั่งขี้เมาที่ไม่มีคุณวุฒินั้น ให้ลองพิจารณาถึงการปรับเปลี่ยนระบบการขอ Working วีซ่าทำให้ง่ายขึ้น เพราะครูฝรั่งขี้เมาพวกนี้ไม่สามารถขอ working วีซ่าได้ เพราะไม่มีคุณสมบัติ ดังนั้นขั้นตอนนี้จะสแกนนักท่องเที่ยวที่มาแค่เที่ยวก็จะมีแค่หน้าที่เที่ยว และวีซ่าที่เที่ยวได้นานที่สุดคือ วีซ่าท่องเที่ยว 3 เดือน แต่ตอนนี้ การต่อวีซ่า 3 เดือนหลายๆรอบ เริ่มที่จะเข้มงวดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายถึง ครูฝรั่งขี้เมาบางคนจะไม่ยอมแหกกฎ เพราะเค้าเคยทำผิดมาเค้าก็อยู่ในเมืองไทยแบบแหกวีซ่า นั้นมันก็ไม่แปลก
ในประเทศเวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ต่างก็มีการพัฒนาการเรียนการสอนอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพวกเค้ามีระยะเวลาพัฒนาระบบการศึกษาเท่าๆกับไทย
ทางรัฐมนตรีและสถาบันการเรียนการสอนของเค้าให้ความสำคัญมากในด้านการจัดสรรหาครูสอนภาษที่มีคุณภาพ ใช่จะหยิบใครมาสอนอังกฤษก็ได้ ขอแค่เป็นเจ้าของภาษาก็พอ
ทางด้านประเทศเพื่อนบ้านต่างก็สนับสนุนทางด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ ปรับความเปลี่ยนแปลงของระบบให้เข้ากับความสามารถของนักเรียน แต่ไทยนั้นยังงมแก้ปัญหาเดิมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐมนตรีต่างมุ่งไปที่ แนวความคิดใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งมันไม่ works แทนที่จะแก้ให้ตรงกับปัญหา ในด้านการขาดงบประมาณ และมุ่งไปที่ ฝึกให้เด็กคิดและแก้ปัญหาให้เป็น
{ ส่วนตัวน่ะการวัดผลโดยใช้คะแนนเป็นการสอนให้เด็กเกิดการแข่งขันซึ่งเป็นการสอนให้เด็กทำข้อสอบเพื่อเอาชนะ นั้นหมายถึงสอดแสร้งความรู้สึกอิจฉาเข้าไปนั้นเอง หากเป็นไปได้การวัดผลควรเป็น ผ่านกับไม่ผ่าน แล้วแนบเกณฑ์มาตราฐานของการผ่านว่ามีอะไรบ้าง ดังนั้นจะส่งผลให้การออกแบบทดสอบเป็นการสนับสนุนให้เด็กตอบคำถามเอง แทนที่จะเลือกตอบ เพราะการเลือกตอบนั้นมีคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้ว }
ส่วนที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ ในการคัดครูเจ้าของภาษาให้เข้าสอนควรเน้นให้ครูคนนั้น มีคุณวุฒิของการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เรียกว่า TEFL หรือ TESOL ใช่รับสุ่มสี่สุมห้า ตรงนี้คงจะทำให้ครูฝรั่งขี้เมาหมดไป เนื่องจากเมื่อครูจอมปลอมพวกนี้ไม่มีวุฒิพร้อมมากับคุณภาพขี้เหล้า การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาของไทย คงไม่เดินหน้า
อีกข้อที่สำคัญคือ เพิ่มค่าตอบแทนให้กับครูเจ้าของภาษา เพราะเชื่อว่าเมื่อค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ เอื้อต่อครูเจ้าของภาษานั้น จะมีครูที่มีฝีมือดีย้ายมาอยู่เมืองไทยกันมากขึ้น เพราะเมืองไทยคือเมืองที่ยิ้มง่ายและคนไทยมีน้ำใจ เมื่อคุณภาพของระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพ เด็กๆก็จะมีความสุขในการเรียน ไม่นั่งหลับในห้อง
{ จุดนี้ขอบอกว่า ครูบางคนที่มีคุณวุฒิ อาจสอนไม่เป็น.... อืมน่าคิด ...... }
ความเป็นจริงแล้วตอนนี้ก็ไม่แตกต่างจากตอนที่มาสอนเมื่อ 5 ปีที่แล้วเลย เพราะ
ค่าจ้างเท่าเดิม ราคาของเพิ่มมากขึ้นกว่า 20% ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ แต่เงินเดือนไม่ขึ้นไม่ลง เท่าเดิม !!! { Oops ! ฟังแล้วทำไมคล้ายๆ ชีวิตครูไทย !!! }
และแนวคิดอันสุดท้ายคือ หากอยากได้ครูเจ้าของภาษาที่มีคุณภาพนั้นต้องจัดแจงระบบขั้นตอนของการขอ working วีซ่าให้มีระบบมากขึ้น
สำหรับเหตุการณ์ ณ ตอนนี้ ประเทศที่ดูแลและใหสวัสดิการดีกว่าไทย คือ Korea, China, Singapore, Hong Kong, Malaysia and Japan
ในความเป็นจริงแล้วเมืองไทยคงไม่เปลี่ยนง่ายๆหรอก ::: เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่รักษาหน้าตาเพื่อให้ดูดี รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคงไม่มานั่งฟัง เรื่องของครูๆว่า อะไรดีต่อการเรียนรู้ของเด็ก หรือ ทางโรงเรียนต้องการอะไรมากที่สุด เพราะนั้นจะเป็นการเสียเวลาอันมีค่าของรัฐมนตรีเอง
สิ่งที่จำเป็นสำหรับโรงเรียนคือ ขอให้เด็กดูฉลาด แต่สมองไม่คิดตามก็พอ
ความคิดแบบนี้ถึงทำให้ระบบการศึกษาไทยไปไม่ถึงไหน และไม่สามารถเทียบกับมาตราฐานการศึกษาของเพื่อนบ้านได้ และสิ่งที่น่าคิดคือ ระบบรักษาหน้าของสังคมไทยจะขับไล่ครูเจ้าของภาษาที่มีฝีมือดีๆๆ ออกไป
But hey, who cares, at least the kids look cute when they're all parading around in their Scouts uniforms. Just a pity less than 10% can actually speak more than 20 words of English correctly and a lot of them aren't very good at Thai either.
บทสรุปอ่านเองค่ะ น่าคิดน่ะค่ะว่า ระบบสังคมไทยเองส่งผลกระทบทางการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก เราๆพูดกันอยู่ร่ำไป ว่าเมืองไทยใช้ หลักการทำงานแบบผักชีโรยหน้า แต่ลืมคิดถึงเด็กที่คอยสังเกตุและทำตาม
ไม่ได้เป็นนักแปลหรอกค่ะ แต่พอเจอบทความนี้แล้วรู้สึกว่าหากแปลเท่าที่ดิฉันทำได้ อาจทำให้สังคมเราปรับเพื่อความสงบสุขและความเจริญของบ้านเมือง
ถึงเวลาแล้วหรือยังค่ะ ที่เราๆจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น !!!
แค่ฝรั่งที่พูดภาษาไทยคำอังกฤษคำยังดูออกเลยค่ะ แล้วทั้งสังคมเราจะดูไม่ออกหรือค่ะ.
นี้บ้านของเราน่ะค่ะ แล่ะเหล่านี้คือเด็กๆของเราด้วย หากพวกเราไม่ช่วยกันดูแล ใครจะมาดูแลให้เราล่ะค่ะ !!!!!!
ความในใจของครูเจ้าของภาษาคนหนึ่ง !!!!!
บทความต่อไปนี้คือบทความที่แปลมาจาก สำนักข่าว CNN -ลิงค์ข้างบนค่ะ- เป็นความในใจของครูเจ้าของภาษาคนหนึ่งที่ระบายความในใจหลังจาก มีประสพการณ์สอนในไทย และนี้คือความรู้สึกที่ต้องหิ้วกลับบ้านและในที่สุดครูเจ้าของภาษาบางคนถึงกับเปลี่ยนใจไปสอนที่อื่นแทน
เค้าเขียนว่า...
ระบบการศึกษาในประเทศไทยนับว่าเป็นระบบการศึกษาที่แย่ที่สุดในแถบเอเชีย และจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ทุกๆปี สำหรับตัวเองได้มีโอกาสสอนในประเทศไทยติดต่อกัน 3 ปี เป็นระยะเวลาที่ไม่ยากเลยที่จะเรียนรู้และเข้าใจว่าระบบการศึกษาไทยนั้น 'แย่มาก'
{ พอแปลมาถึงตรงนี้รู้สึกท้อเพราะคำก็แย่สองคำก็แย่ ......? }
ทั้งงบก็มีจำนวนจำกัดมาก ห้องเรียนมีจำนวนนักเรียนเกินขนาดต่อจำนวนครูหนึ่งคน
( เท่าที่สังเกตุ ห้องหนึ่งมีนักเรียนมากกว่า 50 คน ) ระบบการฝึกอบรมครู ไม่ต้องพูดถึง 'แย่' ไปตามๆกัน นักเรียน ขี้-เกียจ-เรียน-มาก แถมมีระบบไม่ซ้ำชั้นเรียนอีกต่างหาก คือการศึกษาไทยคงไม่มีความหวังอะไรมากและคงไม่ต้องหวังที่จะพัฒนาระบบอะไรให้ดีขึ้น
{ คือตอนที่เขียนคงเจ็บกับเมืองไทยมาก }
จากประสพการณ์ส่วนตัว ได้เข้ามามีโอกาสสอนในโรงเรียนสอนภาษา จึงมีโอกาสที่จะคลุกคลีกับโรงเรียนรัฐบาลน้อยมาก ถึงกระนั้นก็ตาม ทางโรงเรียนสอนภาษาเองต้องอยู่ภายใต้การดูแลและการจัดการของกระทรวง ซึ่งในความคิด หลักการทำงานของกระทรวงเอง ทางโรงเรียนสอนภาษาต้องปฏิบัติตามนั้นเป็นระบบที่ล้าสมัยและไม่มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง { @&$!? }
กฎต่างๆเปลี่ยนทุกๆเทอม แนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่ๆ ถูกยื่นให้ครูแต่ล่ะคนเพื่อปรับบทเรียน แผนการสอน แบบทดสอบ จิปาถะ ให้เข้ากับแนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่ ทุกเทอม
{อีกนั้นแหล่ะตอนที่เขียนคงท้อเพราะ มีแต่งานเอกสาร !!!}
ครูเองต้องจำนนให้นักเรียน 'ต้องผ่าน' ทั้งๆที่ผลออกมา 'ไม่ผ่าน' แต่ต้องปิดหูปิดตาให้เกรดกันทุกๆปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำเอาความคิดใหม่ๆ มาปรับเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตรงนี้รวมไปถึงการให้ครูเจ้าของภาษาเข้าอบรมเพื่อให้เข้าถึงวัฒนธรรมไทย
-----คือมันจะเกี่ยวกับเด็กผ่านหรือไม่ผ่านยังไง ??? -----
ถึงแม้ว่ามีครูเจ้าของภาษาหลายคน ได้อยู่เมืองไทยมานานหลายปีแล้วก็ตาม ด้วยเหตุผลของการต่อใบอนุญาติการสอนภาษาที่เมืองไทย ครูเจ้าของภาษาทุกคนต้องเข้าอบรมคอร์สตัวนี้ ราคาคอร์สตกอยู่ที่ $110-$300 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,000-10,000 บาท ซึ่งตัวครูเองต้องเป็นคนจ่าย
{ คือตรงนี้แหล่ะสำคัญ ทางกระทรวงบังคับให้เข้าอบรมแต่ ครูเจ้าของภาษาต้องเป็นคนจ่าย มันยังไงๆอยู่นา... }
ด้วยเหตุนี้เมืองไทยได้สูญเสียครูฝีมือดีๆไปแล้วสองคน ให้กับประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น
หากเปรียบเทียบแล้ว ประเทศอื่นในแถบเอเชียใต้ ' เค้า ' จ่ายค่าตอบแทนให้กับครูที่เป็นเจ้าของภาษาสูงกว่าไทยเยอะ พร้อมทั้งเรื่องจัดทำวีซ่านั้นง่ายกว่ากันเยอะมาก และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเองมีทัศนคติที่กว้างไกลกว่า ส
อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ก็ได้ที่อนาคต การเรียนภาษาของไทยน่าจะมีปัญหาในด้านการจัดสรรหาครูเจ้าของภาษาที่มีคุณภาพ
ในการบังคับให้ครูเจ้าของภาษา เข้าคอร์สฝึกอบรม การเข้าใจศิลปะวัฒนธรรมไทย เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นั้น หากบทบังคับนี้ออกมาอย่างชัดเจน จะมีครูเจ้าของภาษาที่ฝีมือดีหลายคน ตัดสินใจเดินออก จากประเทศไทยอย่างที่จะไม่คิดเดินกลับมาอีกเลย
**ประโยคด้านล่างไม่แปลให้อ่านและแปลกันเอาเอง**
In most countries, government organizations are known to not be particularly effective. The Ministry of Education in Thailand though, is the worst government organization I have ever dealt with.
ตอนที่สอนใน ร.ร. สอนภาษา ได้มีโอกาสแน่ะภาษาอังกฤษให้กับครูไทยที่สอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งครูคนนี้ได้ขอคำแน่ะนำ คำกล่าววันแม่ที่เป็นภาษาอังกฤษ หลังจากได้รับคำแน่ะมาจากตัวแทนรัฐมนตรีของกระทรวงมาแล้ว เพื่อความถูกต้องจึงขอความเห็นจากเจ้าของภาษา สำหรับตัวแทนรัฐมนตรีคนนี้ มีหน้าที่รับส่งเอกสารใบสมัครหรือติดต่อกับครูเจ้าของภาษาโดยตรง ในการใช้ภาษาอังกฤษน่าจะมีความเชื่อถือมากกว่า ครูคอมพิวเตอร์ แต่ขอความคิดเห็นจากเจ้าของภาษาอีกรอบคงไม่แปลก
ส่วนตัวเห็นคำกล่าวที่ตัวแทนของรัฐมนตรีที่แก้ให้มา นับว่า เป็นการเขียนภาษาอังกฤษที่ไม่พึ้งหลักไวยากรณ์เลย ชึ่งทำให้คนที่เป็นเจ้าของภาษาอ่านแล้ว !!! ไม่เข้าใจ !!! จำเป็นต้องแก้ ภายหลังได้แสดงบางประโยคให้กับหัวหน้าใน ร.ร. สอนภาษาดู ทุกประโยคที่ยื่นให้ต้องถูกขยำแล้วทิ้งลงถังขยะเนื่องจากมัน unintelligent !!!
Thailand is now facing a crisis in education. ***คิดว่าทุกคนคงแปลได้***
เนื่องจากนักเรียนไม่ได้ถูกสอนให้คิดเป็น วิเคราะห์เป็น ทักษะการคิดไม่มีอยู่ในระบบการเรียนการสอน หากจำนวนนักเรียนในห้องมี มากกว่า 50 คนและถือว่าเป็นเรื่องปกตินั้นการเรียนการสอนของไทยจะคงที่ คืออีกคำพูดหนึ่ง คือไม่ก้าวหน้า
จะมีนักเรียนมากกว่าครึ่งห้องนั่งหลับ ครูเองคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีนักเรียนนั่งหลับขณะสอนเพราะจำนวนนักเรียนเยอะ อุปกรณ์การเรียนการสอนมีไม่ครบ เช่น หนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ อุปกรณ์การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีไม่พร้อมในหลายๆโรง และครูที่เป็นเจ้าของภาษาในโรงเรียรัฐบาลส่วนมากจะขี้เหล้า .... ??? ....
ในเมื่อทาง ร.ร.รัฐบาล จ่ายไม่ถึง $750 ต่อเดือน (คือ 20,000- 25,000 บาท) ครูฝรั่งขี้เหล้าจึงเป็นมาตราฐานของราคาถูก คือไม่จบมอปลาย ( college ) และจุดประสงค์หลักของการมาอยู่เมืองไทยคือ 'เอาเมียไทย' อีกเหตุผลหนึ่งคือ ของที่เมืองไทยถูก หากอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของครูฝรั่งขี้เหล้าเองคงไม่มีใครจ้างเพราะแกแก่แล้ว และหากจะถูกจ้างงานที่ได้คงมีไม่กี่งาน
ส่วนตัวแนวทางในการกำจัดครูฝรั่งขี้เมาที่ไม่มีคุณวุฒินั้น ให้ลองพิจารณาถึงการปรับเปลี่ยนระบบการขอ Working วีซ่าทำให้ง่ายขึ้น เพราะครูฝรั่งขี้เมาพวกนี้ไม่สามารถขอ working วีซ่าได้ เพราะไม่มีคุณสมบัติ ดังนั้นขั้นตอนนี้จะสแกนนักท่องเที่ยวที่มาแค่เที่ยวก็จะมีแค่หน้าที่เที่ยว และวีซ่าที่เที่ยวได้นานที่สุดคือ วีซ่าท่องเที่ยว 3 เดือน แต่ตอนนี้ การต่อวีซ่า 3 เดือนหลายๆรอบ เริ่มที่จะเข้มงวดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายถึง ครูฝรั่งขี้เมาบางคนจะไม่ยอมแหกกฎ เพราะเค้าเคยทำผิดมาเค้าก็อยู่ในเมืองไทยแบบแหกวีซ่า นั้นมันก็ไม่แปลก
ในประเทศเวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ต่างก็มีการพัฒนาการเรียนการสอนอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพวกเค้ามีระยะเวลาพัฒนาระบบการศึกษาเท่าๆกับไทย
ทางรัฐมนตรีและสถาบันการเรียนการสอนของเค้าให้ความสำคัญมากในด้านการจัดสรรหาครูสอนภาษที่มีคุณภาพ ใช่จะหยิบใครมาสอนอังกฤษก็ได้ ขอแค่เป็นเจ้าของภาษาก็พอ
ทางด้านประเทศเพื่อนบ้านต่างก็สนับสนุนทางด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ ปรับความเปลี่ยนแปลงของระบบให้เข้ากับความสามารถของนักเรียน แต่ไทยนั้นยังงมแก้ปัญหาเดิมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐมนตรีต่างมุ่งไปที่ แนวความคิดใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งมันไม่ works แทนที่จะแก้ให้ตรงกับปัญหา ในด้านการขาดงบประมาณ และมุ่งไปที่ ฝึกให้เด็กคิดและแก้ปัญหาให้เป็น
{ ส่วนตัวน่ะการวัดผลโดยใช้คะแนนเป็นการสอนให้เด็กเกิดการแข่งขันซึ่งเป็นการสอนให้เด็กทำข้อสอบเพื่อเอาชนะ นั้นหมายถึงสอดแสร้งความรู้สึกอิจฉาเข้าไปนั้นเอง หากเป็นไปได้การวัดผลควรเป็น ผ่านกับไม่ผ่าน แล้วแนบเกณฑ์มาตราฐานของการผ่านว่ามีอะไรบ้าง ดังนั้นจะส่งผลให้การออกแบบทดสอบเป็นการสนับสนุนให้เด็กตอบคำถามเอง แทนที่จะเลือกตอบ เพราะการเลือกตอบนั้นมีคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้ว }
ส่วนที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ ในการคัดครูเจ้าของภาษาให้เข้าสอนควรเน้นให้ครูคนนั้น มีคุณวุฒิของการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เรียกว่า TEFL หรือ TESOL ใช่รับสุ่มสี่สุมห้า ตรงนี้คงจะทำให้ครูฝรั่งขี้เมาหมดไป เนื่องจากเมื่อครูจอมปลอมพวกนี้ไม่มีวุฒิพร้อมมากับคุณภาพขี้เหล้า การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาของไทย คงไม่เดินหน้า
อีกข้อที่สำคัญคือ เพิ่มค่าตอบแทนให้กับครูเจ้าของภาษา เพราะเชื่อว่าเมื่อค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ เอื้อต่อครูเจ้าของภาษานั้น จะมีครูที่มีฝีมือดีย้ายมาอยู่เมืองไทยกันมากขึ้น เพราะเมืองไทยคือเมืองที่ยิ้มง่ายและคนไทยมีน้ำใจ เมื่อคุณภาพของระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพ เด็กๆก็จะมีความสุขในการเรียน ไม่นั่งหลับในห้อง
{ จุดนี้ขอบอกว่า ครูบางคนที่มีคุณวุฒิ อาจสอนไม่เป็น.... อืมน่าคิด ...... }
ความเป็นจริงแล้วตอนนี้ก็ไม่แตกต่างจากตอนที่มาสอนเมื่อ 5 ปีที่แล้วเลย เพราะ
ค่าจ้างเท่าเดิม ราคาของเพิ่มมากขึ้นกว่า 20% ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ แต่เงินเดือนไม่ขึ้นไม่ลง เท่าเดิม !!! { Oops ! ฟังแล้วทำไมคล้ายๆ ชีวิตครูไทย !!! }
และแนวคิดอันสุดท้ายคือ หากอยากได้ครูเจ้าของภาษาที่มีคุณภาพนั้นต้องจัดแจงระบบขั้นตอนของการขอ working วีซ่าให้มีระบบมากขึ้น
สำหรับเหตุการณ์ ณ ตอนนี้ ประเทศที่ดูแลและใหสวัสดิการดีกว่าไทย คือ Korea, China, Singapore, Hong Kong, Malaysia and Japan
ในความเป็นจริงแล้วเมืองไทยคงไม่เปลี่ยนง่ายๆหรอก ::: เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่รักษาหน้าตาเพื่อให้ดูดี รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคงไม่มานั่งฟัง เรื่องของครูๆว่า อะไรดีต่อการเรียนรู้ของเด็ก หรือ ทางโรงเรียนต้องการอะไรมากที่สุด เพราะนั้นจะเป็นการเสียเวลาอันมีค่าของรัฐมนตรีเอง
สิ่งที่จำเป็นสำหรับโรงเรียนคือ ขอให้เด็กดูฉลาด แต่สมองไม่คิดตามก็พอ
ความคิดแบบนี้ถึงทำให้ระบบการศึกษาไทยไปไม่ถึงไหน และไม่สามารถเทียบกับมาตราฐานการศึกษาของเพื่อนบ้านได้ และสิ่งที่น่าคิดคือ ระบบรักษาหน้าของสังคมไทยจะขับไล่ครูเจ้าของภาษาที่มีฝีมือดีๆๆ ออกไป
But hey, who cares, at least the kids look cute when they're all parading around in their Scouts uniforms. Just a pity less than 10% can actually speak more than 20 words of English correctly and a lot of them aren't very good at Thai either.
บทสรุปอ่านเองค่ะ น่าคิดน่ะค่ะว่า ระบบสังคมไทยเองส่งผลกระทบทางการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก เราๆพูดกันอยู่ร่ำไป ว่าเมืองไทยใช้ หลักการทำงานแบบผักชีโรยหน้า แต่ลืมคิดถึงเด็กที่คอยสังเกตุและทำตาม
ไม่ได้เป็นนักแปลหรอกค่ะ แต่พอเจอบทความนี้แล้วรู้สึกว่าหากแปลเท่าที่ดิฉันทำได้ อาจทำให้สังคมเราปรับเพื่อความสงบสุขและความเจริญของบ้านเมือง
ถึงเวลาแล้วหรือยังค่ะ ที่เราๆจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น !!!
แค่ฝรั่งที่พูดภาษาไทยคำอังกฤษคำยังดูออกเลยค่ะ แล้วทั้งสังคมเราจะดูไม่ออกหรือค่ะ.
นี้บ้านของเราน่ะค่ะ แล่ะเหล่านี้คือเด็กๆของเราด้วย หากพวกเราไม่ช่วยกันดูแล ใครจะมาดูแลให้เราล่ะค่ะ !!!!!!