15 ประเด็นน่ารู้ก่อนไปดู The Hunger Games: Mockingjay Part 1 + เกร็ดน่ารู้จากหนัง

เปิดเรื่องราวอย่างเข้มข้นในภาคแรก The Hunger Games ก่อนจะกระหน่ำความเข้มข้นถึงจุดเดือดอีกครั้งใน The Hunger Games: Catching Fire มาครั้งนี้ผลงานภาคสุดท้ายที่ถูกหั่นออกเป็น 2 ตอน กำลังจะเผยโฉมความยิ่งใหญ่ให้แฟนได้ตื่นเต้นกันแล้วกับ The Hunger Games: Mockingjay Part 1 ที่มีกำหนดเปิดตัว 20 พฤศจิกายนในบ้านเรา และเปิดฉายในอเมริกา 21 พฤศจิกายน ก่อนหน้านั้นเรามาทราบประเด็นน่าสนใจจากหนังภาคนี้กันก่อนดีกว่า

สำหรับใครที่สนใจอ่าน  “50 ประเด็นน่ารู้ก่อนไปดู The Hunger Games”  ทั้ง 2 ตอน ที่ผมเคยสรุปลงบล็อก ไปอ่านกันได้เลยครับ
ตอนแรก > http://mckmarvel.wordpress.com/2012/03/20/50things-of-thehungergames/
ตอนจบ > http://mckmarvel.wordpress.com/2012/03/21/50things-of-thehungergames-2/
--------------------------------------------------


***********************
ประเด็นน่ารู้ก่อนไปดู The Hunger Games: Mockingjay Part 1 ที่นำมาให้อ่านกันนี้ ผมสรุปมาจากเว็บไซต์นอกหลายแห่ง และบางส่วนก็หยิบมาจากหนังสือเล่ม 3 ที่ผมกำลังอ่านอยู่ พยายามลงเฉพาะประเด็นที่ไม่เปิดเผยเนื้อหาของหนังหรือเปิดเผยน้อยที่สุดครับ ลองอ่านดูนะ
***********************

1. เนื้อหามืดหม่นมากขึ้น


2 ภาคที่ผ่านมาจะนำเสนอการแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 74 และครั้งที่ 75 ซึ่งเนื้อหาจะคล้ายๆกันคือการเอาชีวิตรอดในเกม แต่สำหรับในภาคนี้จะไม่มีการแข่งขันอีกต่อไป เนื้อหาจะสมจริงมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น และมืดหม่นมากขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านๆมา นักแสดง เจฟฟรีย์ ไรท์ ผู้รับบท บีที ในหนังกล่าวไว้ว่าหนังภาคนี้นำเสนอตัวอย่างของสังคมที่อยู่ท่ามกลางสงคราม

2. แคทนิส กลายเป็นตัวละครที่ถูกกระทำมากกว่าครั้งไหนๆ


แคทนิสเคยเป็นสาวน้อยผู้มากับไฟ ที่มีความมุ่งมั่นในการอยู่รอดสูง พยายามเอาชนะทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา แต่ในภาคนี้เธอจะกลายเป็นตัวละครที่จิตใจบอบช้ำ หลังจากในภาคที่แล้วเธอระเบิดสนามพลังและถูกกองกำลังกบฏจับตัวมา โดยพีต้าและบรรณาการอีกหลายคนถูกจับตัวไปโดยแคปิตอล เธอได้กลายเป็นคนหวาดกลัว และถูกทำให้เป็น “ม็อกกิ้งเจย์” สัญลักษณ์ในการต่อต้านแคปิตอลที่เขต 13 ใช้เธอเป็นเครื่องมือ

3. จูลี่แอนน์ มัวร์ รับบทเป็น อัลม่า คอยน์


ก่อนที่จะคัดเลือกนักแสดงให้เข้ามารับบทนี้ เหล่าบรรดาแฟนคลับได้นำเสนอว่า นักแสดงอย่าง ทิลด้า สวินตัน หรือโจดี้ ฟอสเตอร์ ดูจะเหมาะสมสำหรับตัวละครนี้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานได้เลือกให้ จูลี่แอนน์ มัวร์ ให้เข้ามารับบท อัลม่า คอยน์ ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ที่มีอิทธิพลและสำคัญมากในภาคนี้ เธอเป็นประธานาธิบดีของเขต 13 ที่เข้าใจกันว่าหายสาบสูญไปแล้ว เป็นคนที่เข้าใจยากและไม่ค่อยชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่ในใจ มีความซับซ้อน มีอำนาจในมือจนแคทนิสอาจไว้ใจไม่ได้

4. เกล มีบทบาทมากขึ้น


หลังจากที่ 2 ภาคก่อน ตัวละครเกลที่รับบทโดย เลียม เฮล์มเวิร์ธ จะไม่ค่อยมีบทบาทในหนัง แต่ในภาคนี้เกลจะมีบทบาทมากขึ้น เพราะไม่มีวันเก็บเกี่ยว ไม่มีทัวร์ผู้พิชิตที่แคทนิสต้องไปเข้าร่วม และพีต้าก็โดนแคปิตอลจับตัวไป ทำให้มุมมองการเล่าเรื่องที่มีแคทนิสเป็นศูนย์กลาง มีเรื่องราวของเกลมากกว่าเดิม เนื่องจากแคทนิสอาศัยหลบภัยในเขต 13 ที่มีเกลเป็นกองกำลังสำคัญในนั้นด้วย

5. พีต้า ยังคงสำคัญอยู่เช่นเดิม


แม้ว่าตัวละครเกลจะมีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้น แต่ตัวละครที่มีความสำคัญมาแล้วทั้ง 2 ภาคอย่างพีต้าที่รับบทโดย จอช ฮัทเชอร์สัน จะยังคงมีความสำคัญในภาคนี้ ซึ่งในเวอร์ชั่นหนังสือตัวละครพีต้าจะลดความสำคัญลงบ้าง แต่สำหรับเวอร์ชั่นหนังเราจะได้เห็นการเล่าเรื่องจากมุมมองตัวละครพีต้าที่ถูกแคปิตอลจับตัวไป ซึ่งมีการเพิ่มตัวละครที่ไม่มีในหนังสือขึ้นมาด้วย

6. มีตัวละครใหม่ๆเพิ่มเข้ามา


นอกจาก อัลม่า คอยน์ ที่ได้นักแสดงมากฝีมือ จูลี่แอนน์ มัวร์ มารับบท หนังภาคนี้ยังมีตัวละครใหม่อีกหลายตัว ซึ่งได้แก่ เครสสิด้า (นาตาลี ดอร์เมอร์) มือกำกับโฆษณาชวนเชื่อ, บ็อกก์ส (มาเฮอร์ชาลา อาลี) มือขวาประธานาธิบดีคอยน์ที่กลายเป็นผู้คุมกันของแคทนิสใน Squad 451, พอลลักซ์ (เอลเดน เฮนสัน) ตากล้องโฆษณาชวนเชื่อผู้ที่เคยเป็นอะว็อกซ์มาก่อน, เมสซาลล่า (อีวาน รอสส์) หนึ่งในทีมงานโฆษณาชวนเชื่อ, แคสเตอร์ (เวส ชาแธม) ตากล้องอีกคนในทีมงานโฆษณาชวนเชื่อ นอกจากนี้ยังมีตัวละครใหม่อีกหลายตัวในเขต 13

7. ฉากหลังเปลี่ยนไป


สองภาคที่ผ่านมามีเสียงพร่ำบ่นกันว่าเนื้อหาเหมือนกัน เริ่มเรื่องในเขต 12 แคทนิสและพีต้าถูกเลือกให้เล่นเกม ขึ้นรถไฟไปแคปิตอล และหลังจากนั้นก็เข้าสู่เกมการแข่งขันฆ่ากันจนตาย ซึ่งเล่ามาทั้งสองภาค แต่สำหรับภาคนี้เรื่องราวจะแตกต่างจากเดิม ซึ่งทำให้ฉากหลังเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย ฉากส่วนใหญ่ในภาคนี้จะเกิดขึ้นในเขต 13 ซึ่งฝังอยู่ใต้ดิน ดังนั้นลบภาพเดิมๆของหนังสองภาคก่อนทิ้งไปได้เลย เพราะจะไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว

8. แคทนิส ไม่ใช่ตัวละครเดียวที่มีความสำคัญ


ทั้งเวอร์ชั่นหนังสือและหนังจะถูกเล่าด้วยมุมมองของตัวละครแคทนิส ซึ่งในสองภาคที่ผ่านมา แคทนิสจะมีบทบาทสำคัญมากที่สุดของเรื่อง ซึ่งความสำคัญของแคทนิสก็ยังคงสำคัญในหนังภาคนี้เช่นกัน แต่ตัวละครรายล้อมทั้งหลายมีความสำคัญเทียบเท่าแคทนิส หรืออาจมองว่าสำคัญกว่าแคทนิสเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่แคทนิสเป็นในหนังภาคนี้ คือการถูกขอร้องแกมบังคับให้เป็น “ม็อกกิ้งเจย์” เพื่อทำให้พลเมืองในพาเน็มเห็นว่าพวกเขาต่อสู้ไปเพื่ออะไร

9. การแสดงครั้งสุดท้ายของ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน


สร้างความตกใจและเศร้าสลดเมื่อนักแสดงมากฝีมือ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน เสียชีวิตลงเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ผลงาน The Hunger Games: Mockingjay Part 1 กลายเป็นผลงานสุดท้ายในเครดิตการแสดง ซึ่งฮอฟฟ์แมนถ่ายทำฉากของตัวละคร พลูตาร์ช เฮฟเว่นสบี ใน Part 1 ครบหมดแล้วก่อนเสียชีวิต ส่วนใน Part 2 จะมี 2 ซีนพร้อมบทพูดที่ยังไม่ได้ถ่ายทำ ซึ่งในครั้งแรกทีมงานจะใช้ CG มาแทนที่ แต่สุดท้ายผู้กำกับ ฟรานซิส ลอวเรนซ์ และทีมงานเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงบทเล็กน้อย โดยเขากล่าวว่า   “ผมคิดว่าการที่ใช้สิ่งอื่นมาแทนที่ความสามารถของเขา ดูจะเป็นสิ่งที่ร้ายแรง (ต่อความรู้สึก) และผมไม่อยากทำอย่างนั้น”

10. เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของ ฟินนิค โอแดร์


ใน Catching Fire ตัวละครฟินนิคเป็นที่สงสัยใคร่รู้สำหรับแคทนิส ว่าเธอจะเชื่อใจเขาได้มากน้อยแค่ไหน และจะดึงเข้ามาเป็นพันธมิตรในเกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 ดีหรือไม่ แม้ว่าเฮย์มิตช์จะบอกว่าเขาเป็นฝ่ายพันธมิตร แต่ตลอดเวลาในเกมการแข่งขัน แคทนิสก็ยังคงสงสัยอยู่เช่นเดิม สุดท้ายแล้วจากฉากจบของ Catching Fire และเนื้อหาต่อเนื่องใน Mockingjay แคทนิสได้รู้เรื่องราวของฟินนิคมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับ แอนนี่ เครสต้า (สเตฟ ดอว์สัน) คนรักของเขาที่เคยกล่าวถึงใน Catching Fire

ต่อในความเห็น 1 และ 2 (ตัวอักษรเกินครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่