[บทความพิเศษ] ยุบคณะ “นิเทศฯ-วารสารฯ-สื่อสารมวลชน” กันดีไหม?

กระทู้คำถาม
[บทความพิเศษ] ยุบคณะ “นิเทศฯ-วารสารฯ-สื่อสารมวลชน” กันดีไหม?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
.
จั่วหัวเสียแรงแบบนี้ ผู้อ่านคงคิดว่าผมอยากประชดอะไรสักอย่างหรือเปล่า? จะว่าไปแล้วอาจมองว่าประชดก็ได้ ไม่ประชดก็ได้ เพราะสิ่งที่จะเขียน (พิมพ์) ต่อไปนี้ เชื่อว่ามันคงเป็นความจริงไม่น้อย และขออภัยบรรดาคนที่ทำ “สื่อหลัก” อยู่แล้วบังเอิญได้มาอ่านบทความนี้
.
ใช่ครับ..บอกกันอย่างตรงไปตรงมา!!!
.
สื่อหลักตายแน่..ขึ้นอยู่กับช้าหรือเร็วเท่านั้น!!!
.
บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้แช่งคนที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชนกระแสหลักแบบลอยๆ แต่ต้องยอมรับว่า ในความเป็นจริง วงการนี้มาถึง “ทางตัน” เสียแล้ว และเป็นกันทั่วโลกไม่ว่าสื่อไทยหรือสื่อต่างชาติ แม้กระทั่งสื่อยักษ์ใหญ่ของตะวันตกก็เจอผลกระทบนี้ไม่ต่างกัน
.
ทำไมผมถึงกล้าพูดเช่นนี้?..ก่อนอื่นเราลองมาดูวิวัฒนาการของอาชีพสื่อสารมวลชนกันเสียหน่อย หลายคนคงจะได้ยินมาบ้าง ว่าสื่อยุคแรกๆ เกิดขึ้นในสงครามยุโรป ยุคที่เป็นรอยต่อระหว่างอัศวินสวมเกราะและการเข้ามาของปืนไฟ ในยุคนั้นมีคนหัวใสไปสังเกตการณ์การสู้รบ ( บางคนอาจจะสงสัยว่าเขาได้ไปสนามรบจริงไหม? ) แล้วกลับมาเล่าให้คนในเมืองฟัง คิดค่าข่าว 1 เหรียญ 1 อัฐ อะไรก็ว่ากันไป
.
นี่คือจุดเริ่มต้น ต่อมาก็อย่างที่ทราบกัน พอมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ หนังสือพิมพ์ก็กระจายไปทั่วโลก ต่อมามิวิทยุ มีโทรทัศน์ เทคโนโลยีของสื่อก็ก้าวหน้าไปตามลำดับ
.
แต่ถามว่าวิธีการทำงานของสื่อหลักเปลี่ยนไปไหม?..คำตอบคือ “ไม่มีอะไรเปลี่ยน”!!!
.
ท่านไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่ทำงานสื่อกระแสหลักก็รู้ข้อนี้ได้ ขอเพียงเสพสื่อหลักบ่อยๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ จะเห็นเหมือนกันอย่างหนึ่งไม่ว่าสื่อไทยหรือสื่อนอก นั่นคือ Pattern เดิมๆ ของการผลิตข่าว ซึ่งก็คือการตระเวนสัมภาษณ์คนนี้ที คนนั้นที ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง หนุนบ้าง ค้านบ้าง มานำเสนอ...ลองหาหนังสือพิมพ์เก่าๆ สัก 20 ปีก่อน หรือนานกว่านั้นก็ได้มาอ่านสิครับ หรือถ้าใครอายุเยอะหน่อย ลองนึกถึงข่าวโทรทัศน์ยุคเก่าๆ ก็จะพบว่าไม่ต่างจากกรอบที่ผมว่ามานี้เท่าไร
.
แล้วทำไมสมัยก่อนสื่อหลักถึงได้รับความนิยมละ?
.
ก็ขอให้กลับไปดูต้นกำเนิดของสื่อที่ผมเขียนไว้ข้างต้น แต่เดิมนั้นสื่อทำหน้าที่เหมือน “ตัวแทน” ของคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้ ไปหาเรื่องราวต่างๆ มานำเสนอ ดังนั้นการแข่งขัน จึงอยู่ที่รูปแบบการนำเสนอว่าจะเป็นอย่างไร บางช่องบางฉบับอาจใช้ภาษาที่ดุเดือด ก็จะมีฐานผู้รับสื่อกลุ่มหนึ่ง บางช่องบางฉบับอาจเน้นไปที่ข้อมูลวิชาการ ก็จะมีฐานผู้รับสื่ออีกกลุ่มหนึ่ง..แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กรอบการนำเสนอ ก็ไม่พ้นการสัมภาษณ์แบบเดิมๆ มาเป็นสิบเป็นร้อยปี และส่วนใหญ่ตัวละครหลักของสื่อหลัก ก็จะหนีไม่พ้นบรรดาบุคคลสำคัญทั้งหลาย เช่น นายกฯ รัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายตำรวจใหญ่ๆ นายทุนมหาเศรษฐี หรือดารา เป็นต้น แต่ไม่มีอะไรลึกไปกว่านี้
.
เว้นแต่บางกรณี คนทำสื่อบางคนบางกลุ่ม อาจมีความสามารถด้าน “สืบสวน-ข่าวกรอง” นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สามารถนำข่าวเชิงลึก ที่แม้แต่ฉบับอื่นช่องอื่นไม่มี มานำเสนอได้!!!
.
แต่นั่นก็เป็น “ความสามารถเฉพาะตัว” ของคนทำสื่อรายนั้น หรือกลุ่มนั้นเอง ไม่ได้มีสอนในหลักสูตรอย่างเป็นทางการของสถาบันสื่อไหนทั้งสิ้น!!!
.
และไม่ได้มีกันบ่อยๆ!!!
.
เราจึงเห็นสื่อหลักทำงานแบบนี้มาเป็นเวลานาน แม้กระทั่งภาพยนตร์ฝรั่งบางเรื่อง ก็ยังเอาวิธีการทำงานแบบนี้ไปล้อเลียน ว่าเมื่อเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้น นักข่าวทั้งหลายก็กรูไปสัมภาษณ์ตำรวจ A ผู้ว่าการเมือง B ชาวบ้านในเหตุการณ์ C นักวิเคราะห์ D นายกฯ หรือประธานาธิบดี E ฯลฯ บลาบลาบลา จากนั้นก็จบไป แล้วก็ไปเล่นข่าวอื่นต่อ วนไปวนมาแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าจะมีอะไรที่ต่างกันไปบ้าง ก็คือรูปแบบการนำเสนออย่างที่กล่าวไปข้างต้น เช่น รายการข่าวบางรายการ เรียกเรตติ้งด้วยการเล่าข่าวของพิธีกรที่ฟังแล้วตื่นเต้นสะเทือนใจ ขณะที่รายการบางรายการ ใช้วิธีการเล่าเรื่องคล้ายกับภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวน พาให้ผู้ชมคิดไปว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์จริง
.
แต่ย้ำอีกรอบ นั่นเป็นเพียงแค่ “เทคนิค” ในการเล่าเรื่องเท่านั้น แต่การไปค้นหาข้อมูล ก็ยังไม่พ้น Routine การตระเวนนัดสัมภาษณ์คนนั้นคนนี้อยู่ดี!!!
.
แต่นั่นเลยทำให้คนทำสื่อ ถูกคาดหวังว่าจะ “รู้มาก-รู้ลึก” กว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานอาชีพนี้โดยตรง เพราะเข้าถึงตัวละครต่างๆ หรือศัพท์ในวงการว่า “แหล่งข่าว” ได้มากกว่าคนอื่นๆ!!!
.
ทว่า Pattern การทำงานแบบนี้ กำลังถูกท้าทายด้วย “สื่อใหม่” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “โลกออนไลน์” นี่แหละครับ นับตั้งแต่อินเตอร์เน็ตและฮาร์ดแวร์-ซอฟท์แวร์ที่ใช้เข้าถึงระบบนี้ กลายเป็นเทคโนโลยีประหยัดที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ เมื่อนั้นโลกก็เปลี่ยนไปทันที เพราะวันนี้ “ใครๆ ก็ทำสื่อได้” ข่าวจริง ข่าวเท็จ แม้แต่การปั่นกระแสเพื่อหวังผลบางอย่าง เป็นเรื่องที่ยากจะตรวจสอบ
.
เช่นไม่นานนี้ สื่อทั่วโลกโดนหลอกกรณีคลิปเด็กชายวิ่งฝ่าดงกระสุนปืนไปช่วยเด็กหญิง คลิปนี้สื่อหลักพากันนำไปขยายต่อว่าน่าจะมาจากสถานการณ์สู้รบในซีเรีย แล้วก็ลงข่าวกันใหญ่โต กระทั่งในเวลาต่อมา คนทำคลิปดังกล่าวได้ออกมาเปิดเผยว่า จริงๆ แล้วเป็นหนังสั้นที่ถ่ายทำกันในละตินอเมริกา
.
เงิบไหมครับ?
.
แล้วเชื่อผมหรือไม่? เรื่องหลายเรื่องแม้แต่สื่อเองก็ไม่ทราบ เช่น บ่อยครั้งที่มีคนถ่ายรูปตัวเอง อวดว่ามีปืนหลายกระบอก ผมว่ามีคนทำสื่อนับหัวได้เลย ที่มองดูรูปแล้วสามารถแยกแยะได้ว่านั่นปืนจริงหรือปืนอัดลมบีบีกัน หรือช่วงหนึ่งที่มีคนเตือนภัยว่ามีคนนำสาหร่ายปลอมมาจำหน่าย ถามว่าตัวสื่อเองแยกออกไหมว่าอันไหนสาหร่ายจริงหรือปลอม ก็นับหัวคนที่แยกได้เช่นกัน ( เคยเห็นสื่อบางช่องไปถามนักวิชาการ ยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิมอีก เพราะมีทั้งของปลอม ขณะที่ของจริงก็มีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์แทบจะเหมือนของปลอมอีกต่างหาก )
.
ฉะนั้นสื่อหลักจึงวนเวียนอยู่กับการทำงานแบบเก่าๆ เดิมๆ ด้วยการที่เบื้องต้นนำข่าวสารบนโลกออนไลน์ไปรายงานก่อน จากนั้นค่อยตามหารายละเอียดอื่นๆ อีกทีหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของคนทำสื่อด้วยว่าจะตามได้แค่ไหน?
.
ก็ไม่ต่างจากสมัยก่อน ที่เวลาไปนั่งตามร้านอาหาร ร้านน้ำชา เจอข่าวลืออะไรหนาหูหน่อย ก็เอามารายงานเบื้องต้นได้แล้ว แล้วค่อยไปสอบถามผู้เกี่ยวข้องอีกที!!!
.
แต่สมัยนี้ไม่ใช่อีกต่อไป..โลกออนไลน์ได้ก่อให้เกิดสังคมใหม่ ชุมชนใหม่ที่เปิดกว้าง และเผลอๆ ก็เป็นบรรดา “คนวงใน” ที่บางทีสื่อหลักตามตัวไม่ได้ หรือไม่ประสงค์จะให้ข่าวกับสื่อหลัก ( ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ) นี่เอง ที่เป็นคนนำข้อมูลมาเปิดเผย ขณะเดียวกัน พลเมืองบนโลกออนไลน์มาจากกลุ่มคนที่หลากหลาย เป็นใครก็ได้ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมถึงได้รายละเอียดเชิงลึกชนิดที่บ่อยครั้งสื่อหลักที่ไหนก็คงไม่รู้มาก่อนว่ามีข้อมูลนี้ด้วย
.
ก็เพราะทุกคน “เต็มใจ” มาให้ข้อมูล-ความเห็นกันแบบนี้ ถึงจะมี “เท็จบ้าง-จริงบ้าง” แต่ไม่กี่อึดใจ หากเป็นข้อมูลที่ “ไร้ประโยชน์” ก็สามารถถูกหักล้างได้ทันที!!!
.
ข้อสรุปบนโลกออนไลน์ จึงค่อนข้าง “ชัดเจน-ครอบคลุม” กว่าสื่อหลักเป็นธรรมดา!!!
.
สิ่งเหล่านี้..เป็นจุดอ่อนสำคัญที่ไม่ว่าสื่อหลักสำนักไหนก็ยังเอาชนะไม่ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า การระดมสมองของคนทำสื่อ ก็มีแต่คนทำสื่อคุยกันเองเท่านั้น ไม่ได้มีสารพัด "ผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน" (Specialist) เหมือนโลกออนไลน์ ที่คนมาแสดงความเห็น บ่อยครั้งเป็นผู้ชำนาญการพิเศษในเรื่องนั้นๆ เอง ( เช่น แพทย์ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ ) ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่สื่อหลักจะได้ข้อมูลลึกๆ และรอบด้านเท่ากับประชาคมโลกออนไลน์
.
นี่คือธรรมชาติการทำงานที่แตกต่างกัน..สื่ออาจอยากไปสัมภาษณ์กับนาย A นาย B นาย C แต่ 3 คนนี้ อาจไม่อยากให้ข้อมูลกับสื่อหลักก็ได้ หรืออาจมาให้ข้อมูลไม่ครบทุกคนก็ได้ แต่โลกออนไลน์ แม้เป็นคนที่อยู่สุดขอบโลก ห่างไกลจนไม่น่ามีใครตามไปสัมภาษณ์ได้ ถ้าเขาอยากให้ข้อมูล แค่ต่ออินเตอร์เน็ตก็ทำได้ทันที
.
เมื่อสื่อหลักไม่สามารถเอาชนะข้อจำกัดดังกล่าว แถมเป็นยุคที่ใครๆ ก็เข้าถึงเทคโนโลยีได้เช่นนี้ การแข่งขันของสื่อหลักด้วยกัน จึงหันไปยึดหลักเกณฑ์ “เร็วเข้าว่า” มีควันมีไฟที่ไหนต้องรายงานไปก่อน จากนั้นค่อยว่ากันด้วยรายละเอียด จนบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องตลกให้ประชาคมออนไลน์หัวเราะเยาะไป เพราะรายละเอียดต่อมากกลับกลายเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
.
แต่ครั้นจะไปฝังตัว หาข้อมูลเชิงลึกเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ ตรวจสอบทุกแง่มุมก่อนสรุปและนำเสนอ เหมือนงานข่าวกรองตำรวจ-ทหาร ก็ทำไม่ได้อีก เพราะสื่อมีการแข่งขันกันเอง ถ้าช่องอื่นสำนักอื่นเล่นข่าวนี้ แล้วสื่อที่เหลือไม่เล่น ผลคือเรตติ้งตก สปอนเซอร์ลด คนทำสื่อก็รายได้ลด หรืออาจต้องปิดตัวลง แต่พอเล่นข่าวเร็วไป แล้วมีอะไรผิดพลาด แม้จะมีการรายงานเพิ่มเติมที่มาที่ไป แต่ก็เท่านั้น เพราะสังคมมองไปก่อนแล้ว และพร้อมจะทับถมให้จมดินกันไป เข้าทำนอง “หวังมาก-เจ็บมาก” คิดว่าคนทำสื่อต้องรู้มากกว่าชาวบ้านเขา แต่จริงๆ ก็ไม่ต่างกัน เผลอๆ ชาวบ้านทั่วไปที่เป็นสมาชิกประชาคมโลกออนไลน์ อาจจะรู้มากกว่าสื่อหลักเสียด้วยซ้ำ
.
ก็ไม่ต่างจากคนที่มีเพื่อนฝูงเป็นข้าราชการ ทำงานอยู่วงในทั้งหลาย บางทีก็มีข้อมูลหลุดออกมาให้คนนอก “เม้ามอย” กันแต่อย่างใด!!!
.
กล่าวโดยสรุป..จากทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่ายุคนี้สมัยนี้ “สื่อหลัก” อาจไม่จำเป็นต่อสังคมปัจจุบันและอนาคตอีกแล้วก็ได้ เพราะจากเดิมที่ช่องทางมีไม่มาก การทำสื่อ การให้ข้อมูลเป็นสิ่งที่ต้องลงทุน ดังนั้นสังคมจึงยอมให้มีคนกลุ่มหนึ่ง เรียกพวกเขาว่า “สื่อมวลชน” มาทำหน้าที่แทน แต่ทุกวันนี้ เมื่อการทำสื่อแทบไม่ต้องลงทุน ในยุคที่ค่าอินเตอร์เน็ตหรือราคาโทรศัพท์ที่ทำได้ทั้งถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอระดับ HD และเป็นคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ราคาถูกจนใครๆ ก็ใช้ได้ แถมเมื่อมีการเปิดประเด็น คนอีกมากมายที่เป็นสารพัดผู้ชำนาญการเฉพาะทาง ก็จะกรูกันเข้ามาให้ข้อมูลกันแบบลึกๆ และมีการถกเถียงหักล้างจนได้ข้อสรุป ตามสำนวนการ์ตูนนักสืบบางเรื่องที่ว่า “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว”
.
การรวบรวมคนมหาศาลเช่นนี้มาให้ข้อมูล..เชื่อเถอะว่าไม่มีสื่อหลักสำนักไหนที่ทำได้!!!
.
อย่าว่าแต่สื่อเลย..แม้แต่หน่วยงานของรัฐเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้!!!
.
ผมถึงได้บอกว่า “สื่อหลักใกล้ตายแล้ว อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น” ไม่ต่างจากอีกหลายอาชีพในอดีต ที่ยุคหนึ่งมีความสำคัญ เพราะคนทั่วไปไม่สามารถทำได้ แต่ในยุคต่อมาที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าเพียงพอ จนใครๆ ก็ทำกิจกรรมนั้นได้ด้วยตนเอง อาชีพนั้นๆ ก็สูญหาย เสื่อมความนิยมไปเพราะหมดความจำเป็นต่อสังคม
.
ดังนั้นแล้ว..คงไม่ผิดที่ผมจะบอกว่า ยุบไปเถอะครับ คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ หรือสื่อสารมวลชน เพราะถึงอย่างไร ที่ได้เรียนก็มีแต่เพียงเทคนิคการทำสื่อ ประกอบกับจรรยาบรรณเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ท้ายที่สุด การหาข้อมูลที่ลึกและละเอียด ก็คงไม่มีทางเทียบเท่าประชาคมออนไลน์แน่นอน ด้วยข้อจำกัดทั้งหมดที่ผมกล่าวมา
.
เด็กรุ่นต่อๆ ไป จะได้ไม่ต้องโชคร้าย เลือกเรียนคณะเหล่านี้เพราะมันเท่ดี โก้ดี แต่จบมาแล้วเสี่ยงต่อการตกงาน
.
เพราะดันมาอยู่ในยุคที่ “ไม่มีใครต้องการ” อีกแล้ว!!!
.
..................................
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
นิเทศศาสตร์คือศาสตร์ของการสื่อสาร ตราบใดที่มนุษย์ยังสื่อสารกัน มันไม่ตายหรอกค่ะ
สื่อเก่าอย่างโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สื่อบางอย่างอาจจะหายไปตามเวลา
สื่อใหม่ก็จะเข้ามาแทนเป็นเรื่องธรรมดา

แหม่ จั่วหัวมาซะแรงเว่อ แต่แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคณะนิเทศจริงๆเลย
ความคิดเห็นที่ 9
นักข่าวที่ดี สื่อที่ดี มีจรรยาบรรณเสมอ
สิ่งที่นักข่าวพลเมืองไม่ค่อยตระหนักถึง คือ จรรยาบรรณค่ะ
(ลองดูพวกคลิปที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลง่ายๆ ที่โด่งดังสิ)

สิ่งที่คิดว่ามาทำให้จรรยาบรรณสื่อหายไปคือ "ทุนนิยม" มากกว่า
จะค่าโฆษณาหรืออะไรก็ว่าไป ที่มากำหนดและบังคับให้นำเสนอข้อมูลเรียกเรตติ้งเพื่อปากท้องอยู่รอดของคนทำงาน

และสุดท้าย สั้นๆ ง่ายๆ คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ สื่อสารมวลชนอะไรที่คุณกล่าวถึง
ไม่ใช่คณะสำหรับผลิตนักข่าว ผู้สื่อข่าว ทีมข่าว เพียงอย่างเดียวค่ะ
กว่า(หรือเกิน)ครึ่งของคนที่เรียนจบมา จบโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การแสดง ภาพยนตร์ ฯลฯ
ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำข่าวเลย เราไม่เถียงว่าเราไม่ได้เรียนเรื่องการทำข่าวหรือเสนอข่าว แต่เราหลายคนก็ไม่ได้เรียนจบอยู่ในวงการหรือทำงานด้านนั้นโดยตรง

ปล. จั่วหัวแรง แต่เนื้อในไม่เข้ากันนะคะ ไม่ต่างจาก นสพ. บางฉบับเลย เปิดอ่านเนื้อข่าวปุ๊บ คนละเรื่อง
ความคิดเห็นที่ 12
มันตลกตรงที่คุณพูดแต่เรื่อง "สื่อหลักเช่น ข่าว" ทั้ง ๆ ที่สายนิเทศศาสตร์ยิ้มมีอย่างอื่นอีกตั้งเยอะ
ทั้งหนัง ละคร ละครเวที โฆษณา ลูกค้าสัมพันธ์ ประชาสัมพันธ์ นิตยสาร วารสาร หนังสือต่าง ๆ รายการโทรทัศน์ สารคดี รายการกีฬา รายการบันเทิง วิทยุกระจายเสียง และอีกหลายอย่างที่เกี่ยวกับ "นิเทศศาสตร์"

ผมบอกเลยนะ "ตราบใดที่คุณยังมีการสื่อสารอยู่" เรื่องสื่อเค้าไม่มีวันตายหรอกครับ แล้วก็นะ ...

"ถ้าวันหนึ่งคุณเดินออกจากบ้านไป คุณไม่มีข่าวการจราจร การพยากรณ์อากาศ หนังสือพิมพ์ให้อ่าน ไม่มีคนมารายงานข่าว แม้แต่เปิดจากเน็ตก็ไม่มีแล้ว ในโลกแบบนี้คุณคิดว่าคุณจะทำยังไง"

ผมหมายถึงว่าถ้ายุบไปแล้ว ไม่มีรุ่นหลังอีกแล้ว ยุคหลัง ๆ ก็จะไม่มีคนมาทำต่อ สำนักข่าวใหญ่ที่คุณคิดว่าเจ๋งก็ไม่มีคนมาทำต่อ รายการโทรทัศน์ดี ละครหนังที่คุณชอบก็ไม่มีคนมาทำต่อสร้างต่อ สินค้าขายของต่าง ๆ ก็จะไม่มีใครมาทำโฆษณาให้อีก ประชาสัมพันธ์ให้อีกแล้ว เพราะได้ยุบคณะเหล่านี้ไปหมดแล้ว หรือแม้แต่หนังสือดี ๆ วารสารดี ๆ ก็จะไม่มีอีกแล้ว งานสัปดาห์หนังสือก็จะไม่มีอีกแล้ว อย่างมากก็แค่เอาหนังสือเก่ามาขาย ไม่มีหนังสือ เพราะไม่มีคนทำในด้านสำนักพิมพ์หรือองค์กรเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์นี้อีกต่อไป คุณอยากได้แบบนี้มั้ยละ ?

ถ้าคุณคิดว่ามันดีแล้วก็ทำไปครับ ในอนาคตคงมีคนที่เก่งและฉลาดพอที่จะทำเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง สื่อสารกันเอง โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้อีก ผมเห็นด้วยกับเรื่องจรรยาบรรณสื่อที่หลาย ๆ ครั้งก็ใช้แหล่งข่าวที่ไม่ดี เน้นความรวดเร็วเป็นหลัก ทำให้มันไม่เหลือคุณค่าของข่าวที่นำเสนอมา แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกอาชีพที่เกี่ยวกับ "สื่อสารมวลชน" หรือ "นิเทศศาสตร์" จะเป็นแบบนี้ทั้งหมดนะครับ ทุกอย่างมันมีจรรยาบรรณของสื่อ และมีอะไรที่ได้เรียนมากกว่าการทำสื่ออีกด้วย

ดังนั้น "อย่าเอาความรู้ที่เห็นเพียงภายนอกมาตัดสินคนที่เค้าเรียนเค้าทำอยู่ภายในนะครับ" และนิเทศศาสตร์เค้าไม่ได้เรียนเพื่อเอาเท่ แต่เค้าเรียนเพื่อจบไปเป็น "นักนิเทศศาสตร์และสื่อสารมวชนที่ดี" ที่จะมาทำสื่อให้พวกคุณได้ดูนั่นแหละครับ

ปล.ขนาดหัวเรื่องของคุณกับเนื้อหาของคุณ มันยังไม่ไปทางเดียวกันเลยครับ บอกจะให้ยุบคณะเพราะสื่อหลักไร้จรรยาบรรณ แต่มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่คุณออกมาตัดสินเอาเองทั้งนั้น สื่ออื่น ๆ ในสายสื่อสารมวลชน วารสารศาสตร์และนิเทศศาสตร์ ทำไมคุณไม่พูดถึงด้วยละครับ พูดแต่เรื่องสื่อข่าวอย่างเดียว แถวบ้านผมเรียกว่า "มีความรู้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งแล้วยังจะวิจารณ์คนอื่นนะครับ" คราวหลังก็ตั้งกระทู้ประมาณว่า "สื่อหลักไร้จรรยาบรรณ คนรุ่นใหม่ควรพัฒนาศักยภาพให้ดีกว่าเดิม" อะไรอย่างนี้ มันจะยังสร้างสรรค์กว่าเลยนะครับ ... คุณเจ้าของกระทู้ ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่