ต่างคน ก็ต่างมุมมอง จะไปห้ามความคิดใคร ก็คงไม่ได้
“เขาว่าเรา เราอย่าโกรธ ลงโทษเขา
ในเมื่อเรา นี้ไม่เป็น เช่นเขาว่า
หากเราเป็น จริงจัง ดังวาจา
เมื่อเขาว่า อย่าโกรธเขา เราเป็นจริง”
CR. วิธีละความโกรธ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ววว.kanlayanatam.com/sara/sara21.เอชทีเอ็ม
มันคงเป็นเวรเป็นกรรมของพวกเราเองแหละ คิดแบบนี้ก็สบายใจ
ชาติก่อนติดค้างกันอย่างไร ขออโหสิกรรมในชาตินี้
หากล่วงเกินด้วยคำพูด ข้อความ ในชาตินี้ก็ขออโหสิกรรมด้วยเถอะ จะให้ไม่ไห้ก็แล้วแต่เน๊อะ
และสิ่งที่เราเองก็ถูกกระทำก็ไม่ถือสาอะไรค่ะ
(ซึ่งพวกเขาก็ไม่ยอมรับหรอกว่าทำอะไรกับเราบ้าง เขาคงคิดว่าเราเป็นคนทำเขาฝ่ายเดียว ถ้าเขาจะคิดแบบนั้นก็คงเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้หรอก) เพราะทุกอย่างไม่อยากผูกเวร ผูกกรรมใด เพราะมันผิดที่พวกเรา..เอง ก็ต้องโทษตัวเองแหละค่ะ
ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ เมื่อวันที่ 11/11/2014 เรายอมรับนะคะว่าโกรธมาก โมโหมาก
และทนไม่ได้ อยากจะด่า อยากจะว่า อยากจะโวยวาย ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราก็ไม่ได้ทำนะ
เราก็แค่เขียนระบายความรู้สึกไปให้พวกเขาได้อ่าน แสดงออกว่า.. เนี่ย! สิ่งที่เธอทำ มันทำให้เราไม่พอใจรู้มั้ย
เราเดือดร้อน ช่วยรับผิดชอบหน่อย........ยยย
อารมณ์นั้นคือ เขียนได้หยาบคาย และจากนั้นเราก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกเลย
และพวกเขาก็ไม่มาพูดอะไรเลย แม้แต่จะเขียนอะไรมาก็ไม่มีเลย จนวันที่เกิดเรื่อง คืน คืนวันเสาร์ ที่ 15 นี้(ซึ่งจะเล่า ในลำดับต่อไปค่ะ)
เอาเป็นว่า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับ รักสามเศร้าเลยสักนี๊ด...........ดดดเดียวค่ะ
เรื่องมันก็เลือนลาง เพราะเราเป็นคนความจำสั้น ไม่ค่อยจำอะไรจริงๆ ถ้าคนรู้จักเราจริงๆ จะรู้ดีเลยค่ะ
เรื่องมันเริ่มต้นช่วงเมษา พฤษภา ปีนี้ค่ะ คือปกติเราจะอยู่บ้านกับเพื่อนสนิทกันสองคน
ตอนนั้นก็ได้คุยๆ กันกับหลานผู้ชาย
(ก็คือพ่อของหลานผู้ชาย มีศักดิ์เป็นอาของเพื่อนสนิทเรา
หรือพ่อของเพื่อนสนิทเรา มีศักดิ์เป็นลุงของหลานผู้ชาย เอิ่ม..ประมาณนี้แหละค่ะ)
เพราะเห็นว่าเขาว่างงานอยู่ ก็เลยแนะนำว่าที่บริษัทฯ ที่เราทำงาน
(ณ ตอนนั้น ซึ่งตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ)
กำลังรับสมัครพนักงานฝ่ายปฏิบัติการอยู่ ถ้าอยากทำก็ไปสมัครได้
และหลานผู้ชายก็เข้าไปสมัคร และได้เริ่มงานวันที่ 2 พฤษภาคม
(ที่เราจำได้ เพราะวันที่ 1 เป็นวันแรงงาน ทางบริษัทฯ เลยให้มาทำงานในวันที่ 2)
ตอนนั้นก็เห็นเขาบอกว่าค้างจ่ายค่าหอ ซึ่งก็รอเงินเดือนของเดือนพฤษภาคม
ที่จะได้รับในวันที่ 5 มิถุนายน ไปเครียค่าหอ และหอนั้นเขาก็เช่าอยู่กับแฟนของเขา
ซึ่งตรงนี้เราก็จำไม่ได้ว่า ช่วงนั้นเราแนะนำเขาว่า
1. ทำไมไม่มาหาเช่าหอพักใกล้ที่ทำงานหละ เพราะเห็นว่าเดินทางค่อนข้างไกล
2. เราก็อาจจะเป็นคนชวนเขามาอยู่ที่บ้านเราเอง เพราะบ้านเราใกล้ที่ทำงานของเรากับหลานผู้ชาย
(ก็ตอนนั้นทำงานที่เดียวกันเน๊อะ)
อันนี้เราจำไม่ได้จริงๆ คล้ายๆว่าตอนนั้น มันน่าจะใกล้ถึงวันที่ 5 มิถุนายน แล้วหละค่ะ
ก็เห็นเพื่อนสนิทเรา บอกว่าหลานผู้ชายจะขนของที่หอมาฝากไว้ที่บ้านเราก่อน รอหาหอพักได้
ซึ่งเพื่อนสนิทเราก็ยังพาหลานผู้ชายไปหาหอพักแถวๆ ที่ทำงานของหลานผู้ชายเลยค่ะ
แต่พอเงินเดือนออกวันที่ 5 ก็จ่ายหมดไปกับอะไร เราก็ไม่รู้นะคะ จำไม่ได้
แต่เห็นหลานผู้ชายบอกว่า เงินไม่พอไปจ่ายมัดจำค่าหอ
สรุปคือตรงนี้แหละ ที่เราแน่ใจว่าเราเป็นคนพูดเองว่า "งั้นอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ก่อนก็ได้ รอหาหอพักได้ค่อยย้ายออกไป"
ซึ่งหลานผู้ชายกับแฟนของเขา ก็เข้ามาอยู่ที่บ้านเราพร้อมกับสุนัขตัวหนึ่ง
ตั้งแต่วันที่..ไม่น่าจะเกิน 5 มิถุนายน ที่ขนของทุกอย่างออกมาหมดจากหอนั้น
เพราะจำได้ว่า หลานผู้ชายนัดเคลียค่าใช้จ่ายกับเจ้าของหอ น่าจะวันที่ 5 แต่เจ้าของหอก็ขนของที่เหลือมากองไว้หน้าห้องซะแล้ว..
ขอนอกเรื่องอธิบายลักษณะบ้านที่เราอยู่ก่อนนะคะ จะได้นึกภาพออกนะคะ
เนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่ 3 งาน ยอมรับว่าเป็นที่ดินเปล่าหญ้าขึ้นรกส่วนหนึ่ง กับเป็นตัวบ้านส่วนหนึ่ง
บ้านใหญ่จะเป็นบ้านเล่นระดับ 4 ชั้น 1.ชั้นใต้ดินที่ปูพื้นกระเบื้อง 2.ชั้นทางเข้าบ้าน จะมีห้องครัว ปูพื้นหินอ่อน
3.ชั้นห้องโถงรับแขก จะปูพื้นไม้ปาเก้
(และเราก็นอนชั้นนี้ด้วยค่ะ)
4.ชั้นบนบ้าน เป็นพื้นไม้กระดาน จะมี 2 ห้องนอนและห้องพระ
(ซึ่งเราให้หลานผู้ชายอยู่ห้องนอนใหญ่ไปก่อน เพราะเตียงในห้องนี้มันใหญ่ค่ะ
คือแฟนของหลานผู้ชายเป็นผู้หญิงอ้วน จะให้นอนห้องนอนเล็กที่มีเตียง 3 ฟุตครึ่ง ก็..คงจะไม่น่าจะนอนได้)
บ้านเล็กหรือบ้านที่ให้คนทำงานบ้านนอน จะมี 2 ห้องติดกัน ห้องขนาดประมาณ 3.5 x 4 เมตร ห้องน้ำใช้ร่วมกัน(ตอนนั้นเราเอาไว้เก็บของค่ะ)
ก็พวกเขามีน้องหมาตัวนึง เอาตรงๆ คือเขาเอาหมามาเลี้ยงในบ้านเลยน่ะค่ะ
แล้วน้องหมาก็สร้างความเดือดร้อน ก็ตามธรรมชาติของหมาแหละค่ะ เรื่องอึ เรื่องฉี่
อาจจะผิดที่เราเอง ที่ไม่ได้ว่าพวกเขาตั้งแต่แรก ว่าไม่ให้เอาหมาเข้ามาเลี้ยงในบ้าน
ตรงจุดนี้ เรายอมเลยค่ะ เพราะเราไม่ได้บอกพวกเขาเอง เป็นความสะเพร่าของเราเอง
แต่..พอเวลาหมามันออกมาจากห้อง แล้ววิ่งมาฉี่ที่พื้นชั้น 2 เราก็บอกพวกเขานะคะว่าช่วยดูแลด้วย
ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เหมือนจะเคยออกคำสั่งเลยว่า ห้ามให้หมาวิ่งลงมาข้างล่างเด็ดขาด
และเราจำได้นะคะ ว่าน่ะถามพวกเขาแล้ว ว่าหมามันฉี่พื้นบ้านรึป่าว (ในห้องที่เขาอยู่กัน)
เขาก็บอกว่าฝึกมันแล้ว มันจะออกไปฉี่ตอนเช้าที่ระเบียงดาดฟ้า
เราก็.. ไม่ได้ขึ้นไปเช็ค ขึ้นไปยุ่งอะไรกับพวกเขาหรอกค่ะ จะได้ขึ้นไปก็เมื่อวันที่ 11 นี้เอง ที่เราเห็นแล้วโมโหสุดพลัง
ยอมรับเลยว่าคิดผิดจริงๆ เรื่องไม่ห้ามเขาไปตรงๆ ว่าห้ามเอาหมาอยู่ในบ้านเด็ดขาด
เนี่ยแหละ ที่พวกเขาถึงโยนความผิดมาให้เรารับผิดชอบเรื่องที่หมาของพวกเขาทำเสียหาย
แต่.. เราไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมพวกเขาไม่คิดบ้างว่า คงไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาทำให้พื้นบ้านเสียหายหรอก
คือถ้าเรารู้ เราก็ไม่ให้อยู่ด้วยหรอก จะกลับคำตั้งแต่เดือนแรกนั้นเลย
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
ปล. ถ้าพวกเขาได้เข้ามาอ่าน จะเม้นท์มาเลยก็ได้ค่ะว่าเรื่องไหนจริงๆ ไม่จริง
แต่ที่แน่ๆ เราไม่เคยพูดว่า "เอาเลยจ้า เอาหมามาอึ มาฉี่ในบ้านได้ตามสบาย" สาบาน!!
ถ้าย้อนเวลาได้ ก็ขอไม่ยุ่งเรื่องของชาวบ้านจะดีกว่า (กระทู้นี้ มีข้อความที่หยาบคายมากๆ ในบางข้อความ)
“เขาว่าเรา เราอย่าโกรธ ลงโทษเขา
ในเมื่อเรา นี้ไม่เป็น เช่นเขาว่า
หากเราเป็น จริงจัง ดังวาจา
เมื่อเขาว่า อย่าโกรธเขา เราเป็นจริง”
CR. วิธีละความโกรธ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มันคงเป็นเวรเป็นกรรมของพวกเราเองแหละ คิดแบบนี้ก็สบายใจ
ชาติก่อนติดค้างกันอย่างไร ขออโหสิกรรมในชาตินี้
หากล่วงเกินด้วยคำพูด ข้อความ ในชาตินี้ก็ขออโหสิกรรมด้วยเถอะ จะให้ไม่ไห้ก็แล้วแต่เน๊อะ
และสิ่งที่เราเองก็ถูกกระทำก็ไม่ถือสาอะไรค่ะ
(ซึ่งพวกเขาก็ไม่ยอมรับหรอกว่าทำอะไรกับเราบ้าง เขาคงคิดว่าเราเป็นคนทำเขาฝ่ายเดียว ถ้าเขาจะคิดแบบนั้นก็คงเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้หรอก) เพราะทุกอย่างไม่อยากผูกเวร ผูกกรรมใด เพราะมันผิดที่พวกเรา..เอง ก็ต้องโทษตัวเองแหละค่ะ
ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ เมื่อวันที่ 11/11/2014 เรายอมรับนะคะว่าโกรธมาก โมโหมาก
และทนไม่ได้ อยากจะด่า อยากจะว่า อยากจะโวยวาย ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราก็ไม่ได้ทำนะ
เราก็แค่เขียนระบายความรู้สึกไปให้พวกเขาได้อ่าน แสดงออกว่า.. เนี่ย! สิ่งที่เธอทำ มันทำให้เราไม่พอใจรู้มั้ย
เราเดือดร้อน ช่วยรับผิดชอบหน่อย........ยยย
อารมณ์นั้นคือ เขียนได้หยาบคาย และจากนั้นเราก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกเลย
และพวกเขาก็ไม่มาพูดอะไรเลย แม้แต่จะเขียนอะไรมาก็ไม่มีเลย จนวันที่เกิดเรื่อง คืน คืนวันเสาร์ ที่ 15 นี้(ซึ่งจะเล่า ในลำดับต่อไปค่ะ)
เอาเป็นว่า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับ รักสามเศร้าเลยสักนี๊ด...........ดดดเดียวค่ะ
เรื่องมันก็เลือนลาง เพราะเราเป็นคนความจำสั้น ไม่ค่อยจำอะไรจริงๆ ถ้าคนรู้จักเราจริงๆ จะรู้ดีเลยค่ะ
เรื่องมันเริ่มต้นช่วงเมษา พฤษภา ปีนี้ค่ะ คือปกติเราจะอยู่บ้านกับเพื่อนสนิทกันสองคน
ตอนนั้นก็ได้คุยๆ กันกับหลานผู้ชาย (ก็คือพ่อของหลานผู้ชาย มีศักดิ์เป็นอาของเพื่อนสนิทเรา
หรือพ่อของเพื่อนสนิทเรา มีศักดิ์เป็นลุงของหลานผู้ชาย เอิ่ม..ประมาณนี้แหละค่ะ)
เพราะเห็นว่าเขาว่างงานอยู่ ก็เลยแนะนำว่าที่บริษัทฯ ที่เราทำงาน (ณ ตอนนั้น ซึ่งตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ)
กำลังรับสมัครพนักงานฝ่ายปฏิบัติการอยู่ ถ้าอยากทำก็ไปสมัครได้
และหลานผู้ชายก็เข้าไปสมัคร และได้เริ่มงานวันที่ 2 พฤษภาคม (ที่เราจำได้ เพราะวันที่ 1 เป็นวันแรงงาน ทางบริษัทฯ เลยให้มาทำงานในวันที่ 2)
ตอนนั้นก็เห็นเขาบอกว่าค้างจ่ายค่าหอ ซึ่งก็รอเงินเดือนของเดือนพฤษภาคม
ที่จะได้รับในวันที่ 5 มิถุนายน ไปเครียค่าหอ และหอนั้นเขาก็เช่าอยู่กับแฟนของเขา
ซึ่งตรงนี้เราก็จำไม่ได้ว่า ช่วงนั้นเราแนะนำเขาว่า
1. ทำไมไม่มาหาเช่าหอพักใกล้ที่ทำงานหละ เพราะเห็นว่าเดินทางค่อนข้างไกล
2. เราก็อาจจะเป็นคนชวนเขามาอยู่ที่บ้านเราเอง เพราะบ้านเราใกล้ที่ทำงานของเรากับหลานผู้ชาย(ก็ตอนนั้นทำงานที่เดียวกันเน๊อะ)
อันนี้เราจำไม่ได้จริงๆ คล้ายๆว่าตอนนั้น มันน่าจะใกล้ถึงวันที่ 5 มิถุนายน แล้วหละค่ะ
ก็เห็นเพื่อนสนิทเรา บอกว่าหลานผู้ชายจะขนของที่หอมาฝากไว้ที่บ้านเราก่อน รอหาหอพักได้
ซึ่งเพื่อนสนิทเราก็ยังพาหลานผู้ชายไปหาหอพักแถวๆ ที่ทำงานของหลานผู้ชายเลยค่ะ
แต่พอเงินเดือนออกวันที่ 5 ก็จ่ายหมดไปกับอะไร เราก็ไม่รู้นะคะ จำไม่ได้
แต่เห็นหลานผู้ชายบอกว่า เงินไม่พอไปจ่ายมัดจำค่าหอ
สรุปคือตรงนี้แหละ ที่เราแน่ใจว่าเราเป็นคนพูดเองว่า "งั้นอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ก่อนก็ได้ รอหาหอพักได้ค่อยย้ายออกไป"
ซึ่งหลานผู้ชายกับแฟนของเขา ก็เข้ามาอยู่ที่บ้านเราพร้อมกับสุนัขตัวหนึ่ง
ตั้งแต่วันที่..ไม่น่าจะเกิน 5 มิถุนายน ที่ขนของทุกอย่างออกมาหมดจากหอนั้น
เพราะจำได้ว่า หลานผู้ชายนัดเคลียค่าใช้จ่ายกับเจ้าของหอ น่าจะวันที่ 5 แต่เจ้าของหอก็ขนของที่เหลือมากองไว้หน้าห้องซะแล้ว..
ขอนอกเรื่องอธิบายลักษณะบ้านที่เราอยู่ก่อนนะคะ จะได้นึกภาพออกนะคะ
เนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่ 3 งาน ยอมรับว่าเป็นที่ดินเปล่าหญ้าขึ้นรกส่วนหนึ่ง กับเป็นตัวบ้านส่วนหนึ่ง
บ้านใหญ่จะเป็นบ้านเล่นระดับ 4 ชั้น 1.ชั้นใต้ดินที่ปูพื้นกระเบื้อง 2.ชั้นทางเข้าบ้าน จะมีห้องครัว ปูพื้นหินอ่อน
3.ชั้นห้องโถงรับแขก จะปูพื้นไม้ปาเก้ (และเราก็นอนชั้นนี้ด้วยค่ะ)
4.ชั้นบนบ้าน เป็นพื้นไม้กระดาน จะมี 2 ห้องนอนและห้องพระ (ซึ่งเราให้หลานผู้ชายอยู่ห้องนอนใหญ่ไปก่อน เพราะเตียงในห้องนี้มันใหญ่ค่ะ
คือแฟนของหลานผู้ชายเป็นผู้หญิงอ้วน จะให้นอนห้องนอนเล็กที่มีเตียง 3 ฟุตครึ่ง ก็..คงจะไม่น่าจะนอนได้)
บ้านเล็กหรือบ้านที่ให้คนทำงานบ้านนอน จะมี 2 ห้องติดกัน ห้องขนาดประมาณ 3.5 x 4 เมตร ห้องน้ำใช้ร่วมกัน(ตอนนั้นเราเอาไว้เก็บของค่ะ)
ก็พวกเขามีน้องหมาตัวนึง เอาตรงๆ คือเขาเอาหมามาเลี้ยงในบ้านเลยน่ะค่ะ
แล้วน้องหมาก็สร้างความเดือดร้อน ก็ตามธรรมชาติของหมาแหละค่ะ เรื่องอึ เรื่องฉี่
อาจจะผิดที่เราเอง ที่ไม่ได้ว่าพวกเขาตั้งแต่แรก ว่าไม่ให้เอาหมาเข้ามาเลี้ยงในบ้าน
ตรงจุดนี้ เรายอมเลยค่ะ เพราะเราไม่ได้บอกพวกเขาเอง เป็นความสะเพร่าของเราเอง
แต่..พอเวลาหมามันออกมาจากห้อง แล้ววิ่งมาฉี่ที่พื้นชั้น 2 เราก็บอกพวกเขานะคะว่าช่วยดูแลด้วย
ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เหมือนจะเคยออกคำสั่งเลยว่า ห้ามให้หมาวิ่งลงมาข้างล่างเด็ดขาด
และเราจำได้นะคะ ว่าน่ะถามพวกเขาแล้ว ว่าหมามันฉี่พื้นบ้านรึป่าว (ในห้องที่เขาอยู่กัน)
เขาก็บอกว่าฝึกมันแล้ว มันจะออกไปฉี่ตอนเช้าที่ระเบียงดาดฟ้า
เราก็.. ไม่ได้ขึ้นไปเช็ค ขึ้นไปยุ่งอะไรกับพวกเขาหรอกค่ะ จะได้ขึ้นไปก็เมื่อวันที่ 11 นี้เอง ที่เราเห็นแล้วโมโหสุดพลัง
ยอมรับเลยว่าคิดผิดจริงๆ เรื่องไม่ห้ามเขาไปตรงๆ ว่าห้ามเอาหมาอยู่ในบ้านเด็ดขาด
เนี่ยแหละ ที่พวกเขาถึงโยนความผิดมาให้เรารับผิดชอบเรื่องที่หมาของพวกเขาทำเสียหาย
แต่.. เราไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมพวกเขาไม่คิดบ้างว่า คงไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาทำให้พื้นบ้านเสียหายหรอก
คือถ้าเรารู้ เราก็ไม่ให้อยู่ด้วยหรอก จะกลับคำตั้งแต่เดือนแรกนั้นเลย
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
ปล. ถ้าพวกเขาได้เข้ามาอ่าน จะเม้นท์มาเลยก็ได้ค่ะว่าเรื่องไหนจริงๆ ไม่จริง
แต่ที่แน่ๆ เราไม่เคยพูดว่า "เอาเลยจ้า เอาหมามาอึ มาฉี่ในบ้านได้ตามสบาย" สาบาน!!