
competed in the main competition section of the 64th Berlin International Film Festival
A++
“เรื่องราวต่างๆที่ผ่านพ้นเราไปนั้นอาจทำให้เรายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ อาลัยอาวรณ์ หรือแม้กระทั่งสิ้นหวัง แต่สิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นตัวทำให้เรานั้นเติบโตขึ้น และเรียนรู้ที่จะเดินอย่างไรต่อไป”
การที่ทีมงานหนึ่งๆ จะถ่ายหนังซักเรื่องโดยใช้ตัวละครเดิมเป็นเวลากว่าสิบสองปี แน่นอนว่าคงไม่ง่ายนักที่จะทำออกมาได้ดี (นั่นคือไม่ถูกคนด่า) และแน่นอนว่าความต่อเนื่องของหนังก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ประเด็นของหนังจะไม่ถูกบิดเบือนระหว่างการถ่ายทำ บทบาท คาแรกเตอร์ การแสดงของนักแสดงก็ต้องส่งเสริมบท ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นการท้าทายขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเทียบกับความพยายามของพี่น้องตระกูลไรท์ที่อยากจะบินเลยก็ว่าได้

เท่าที่เราพูดมาก็ดูซับซ้อน ชุลมุนวุ่นวาย ชวนปวดหัวน่าดู แต่ลิงก์เลเทอร์สามารถเล่ามหากาพย์ภาพยนตร์ชีวิตเรื่องนี้ออกมาได้อย่างเรียบง่ายซึ่งในสายตาของเรา หลายๆ ฉากก็ธรรมดามากๆ ไม่ได้ซับซ้อนจนต้องปีนบันไดเพื่อเข้าใจ เพราะเราก็ต่างเคยผ่านพ้นช่วงนั้นของชีวิตมาแล้ว
หนังเรื่องนี้ได้ทลายกำแพงและให้ความหมายใหม่ เพราะเอาจริงๆ หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือในการบันทึกเรื่องราว กิจวัตร แฟชั่น ดนตรี และอีกหลายสิ่งหลายอย่างในยุคสมัยต่างๆ นี่เองเราจึงอาจเรียกได้ว่า Boyhood ได้แสดงให้เราเห็นถึงอำนาจของภาพยนตร์ในอีกมิติ ไม่ใช่เพียงแค่นำเสนอประเด็นตลาดทั่วไปในหนังหนังแนวข้ามพ้นวัยอย่าง ครอบครัว รักในวัยเรียน หรือการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต

จริงๆแล้วถ้าหนังเรื่องนี้ถือเป็นความบังเอิญ หรือพูดอีกอย่างมันคือการทดลองของตัวผู้กำกับ เราว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ต่างอะไรจากการค้นพบยาเพนนิซิลินของเซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งดีๆนี่เอง หรือในทางตรงกันข้าม นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎต่อหน้าเรานั้นได้ถูกทำให้เกิดขึ้นอย่างจงใจ มีการจัดระบบระเบียบ วางแผนไว้อย่างดี ซึ่งอย่างหลังดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่า และสร้างคุณค่าให้กับหนังอย่างเหลือเชื่อ
"จงอย่ากลัวเข็มเวลาที่กำลังเดิน แต่จึงนึกว่ายังเหลืออะไรที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตนเอง"
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Boyhood {Richard Linklater}, 2014
competed in the main competition section of the 64th Berlin International Film Festival
A++
“เรื่องราวต่างๆที่ผ่านพ้นเราไปนั้นอาจทำให้เรายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ อาลัยอาวรณ์ หรือแม้กระทั่งสิ้นหวัง แต่สิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นตัวทำให้เรานั้นเติบโตขึ้น และเรียนรู้ที่จะเดินอย่างไรต่อไป”
การที่ทีมงานหนึ่งๆ จะถ่ายหนังซักเรื่องโดยใช้ตัวละครเดิมเป็นเวลากว่าสิบสองปี แน่นอนว่าคงไม่ง่ายนักที่จะทำออกมาได้ดี (นั่นคือไม่ถูกคนด่า) และแน่นอนว่าความต่อเนื่องของหนังก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ประเด็นของหนังจะไม่ถูกบิดเบือนระหว่างการถ่ายทำ บทบาท คาแรกเตอร์ การแสดงของนักแสดงก็ต้องส่งเสริมบท ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นการท้าทายขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเทียบกับความพยายามของพี่น้องตระกูลไรท์ที่อยากจะบินเลยก็ว่าได้
เท่าที่เราพูดมาก็ดูซับซ้อน ชุลมุนวุ่นวาย ชวนปวดหัวน่าดู แต่ลิงก์เลเทอร์สามารถเล่ามหากาพย์ภาพยนตร์ชีวิตเรื่องนี้ออกมาได้อย่างเรียบง่ายซึ่งในสายตาของเรา หลายๆ ฉากก็ธรรมดามากๆ ไม่ได้ซับซ้อนจนต้องปีนบันไดเพื่อเข้าใจ เพราะเราก็ต่างเคยผ่านพ้นช่วงนั้นของชีวิตมาแล้ว
หนังเรื่องนี้ได้ทลายกำแพงและให้ความหมายใหม่ เพราะเอาจริงๆ หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือในการบันทึกเรื่องราว กิจวัตร แฟชั่น ดนตรี และอีกหลายสิ่งหลายอย่างในยุคสมัยต่างๆ นี่เองเราจึงอาจเรียกได้ว่า Boyhood ได้แสดงให้เราเห็นถึงอำนาจของภาพยนตร์ในอีกมิติ ไม่ใช่เพียงแค่นำเสนอประเด็นตลาดทั่วไปในหนังหนังแนวข้ามพ้นวัยอย่าง ครอบครัว รักในวัยเรียน หรือการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต
จริงๆแล้วถ้าหนังเรื่องนี้ถือเป็นความบังเอิญ หรือพูดอีกอย่างมันคือการทดลองของตัวผู้กำกับ เราว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ต่างอะไรจากการค้นพบยาเพนนิซิลินของเซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งดีๆนี่เอง หรือในทางตรงกันข้าม นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎต่อหน้าเรานั้นได้ถูกทำให้เกิดขึ้นอย่างจงใจ มีการจัดระบบระเบียบ วางแผนไว้อย่างดี ซึ่งอย่างหลังดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่า และสร้างคุณค่าให้กับหนังอย่างเหลือเชื่อ
"จงอย่ากลัวเข็มเวลาที่กำลังเดิน แต่จึงนึกว่ายังเหลืออะไรที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตนเอง"
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king