12 ประเด็นที่น่าสนใจหลังจากชม INTERSTELLAR [รีวิวนี้มีทั้งแบบสปอยส์และไม่สปอยส์ เลือกอ่านได้ตามสะดวก]



No.42

จั่วหัว : ที่สุดของหนังไซไฟวิทยาศาสตร์ปรัชญาของยุคนี้ เป็นหนังพล๊อตมหากาฬสุดล้ำในรอบทศวรรษที่ยังไม่มีใครไปถึงมาก่อน แต่เรื่องนี้เอาธงไปปักได้สำเร็จได้อย่างงดงาม

INTERSTELLAR : ทะยานดาวกู้โลก

คมนิด จี๊ดเลย : พลังของความรักนั้นยิ่งใหญ่ อยู่เหนือเหตุผลและกฏเกณฑ์ใดๆในจักรวาล

Napat's Rating : (A+) , 10/10


Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans


- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -


OVERVIEW (No Spoiled) : หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทะเยอทะยานทางการเล่าเรื่องมากที่สุดของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งเทพเจ้าแห่งยุค



ซึ่งตัวหนังนั้นแทบจะไม่เอาใจคนดูเลยแม้แต่น้อย ปูด้วยองค์แรกที่ออกจะเนิบและเต็มไปด้วยทฤษฎีวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าสมาธิไม่อยู่กับตัวหรือกำลังเพลียๆนี่ มีสิทธิ์หลับได้เลย

กระนั้นสิ่งที่หนังปูให้ในช่วงแรก มันจะเริ่มต่อยอดส่งพลังต่อให้กับช่วงองค์สองที่เป็นกลางเรื่อง ซึ่งเริ่มดำเนินเรื่องได้สนุกขึ้น และน่าติดตามมากขึ้น และเมื่อมาถึงช่วงท้ายๆของเรื่อง หนังมันได้ยกระดับขึ้นไปอีกเท่าตัวของความเหนือชั้นชนิดที่ว่า ฉากตีลังกาตลบหัวในInceptionกลายเป็นขี้ฝุ่นไปเลย อีกทั้งเนื้อเรื่องที่สานต่อกันมาทั้งเรื่องได้ถูกคลี่คลายได้อย่างน่าทึ่ง

เสมือนกับรอบนี้โนแลนได้สร้างเขาวงกตชั้นใหญ่ที่สุด หรือถ้าเรียกสนุกๆคือ "วงกตอวกาศ" ที่สามารถถอดรหัสตอนจบให้เราไปเจอจุดเริ่มต้นด้วยเส้นบางๆที่เรามองไม่เห็นได้อย่างแยบยลและเฉียบขาด และทั้งเรื่องก็เต็มไปด้วยข้อคิดทางปรัชญามากมายที่น่าสนใจ ทำให้มองข้ามช่องโหว่เรื่องบทที่บางคนย้อนแย้งหรือจังหวะหนังในบางส่วนไปได้โดยปริยาย

ต้องบอกว่าหนังฉลาดนี่มันฉลาดจริงๆ ฉลาดไม่พอ แถมยังทะเยอทะยาน ช่างกล้าเอาสิ่งนี้มาเสนอคนดูซึ่งถือว่าเสี่ยงมาก ผลก็อย่างที่เห็นคือมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าใครที่เข้าถึงหนังได้นี่ รู้เรื่องแน่นอนสำหรับเรื่องนี้ การแสดงของนักแสดงนี่เรียกได้ว่าท๊อปฟอร์มและอาจเรียกน้ำตาได้ในบางซีนแบบไม่รู้ตัว

ฮานส์ ซิมเมอร์ รอบนี้ไม่โฉ่งฉ่างด้านดนตรีประกอบแบบเก่า แทนที่จะโหมดนตรีกลับมีลูกเล่นค่อยๆพีคขึ้นไปช้าๆซึ่งถือเป็นเสน่ห์อีกแบบ รวมถึงการกล้าตัดสินใจทำให้ฉากบางฉากในอวกาศไม่มีเสียงเลยด้วย ในเรื่องของมุมภาพก็ถือว่าใช้ได้ แต่ยังไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก ที่แปลกใหม่และดูดีคือโปรดักชั่นดีไซน์ ตัวฉากต่างๆทำออกมาได้ดีมาก และเอฟเฟคต่างๆถือว่าทำได้สมจริงและดูดีมากๆ

และที่สำคัญ การดูเรื่องนี้ด้วย IMAX 70 MM ถือเป็นความคุ้มค่าแบบจัดเต็มเท่าที่หนังเรื่องนึงจะมอบให้ได้ เพราะฉากส่วนที่ถูกขยายนั้น เพิ่มอรรถรสในการชมเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งเสียงกระหึ่มต่างๆ ทำให้เรารู้สึกประหนึ่งได้อยู่บนนอกโลกจริงๆ



เรื่องนี้หลายคนเชื่อว่าถ้าไม่ชอบก็เกลียดเลย สำหรับคนที่เกลียดมีถึงขนาดตั้งกระทู้ด่าว่าเป็นหนังห่วยแห่งปีมาแล้ว แต่คนที่ชอบก็ถึงขั้นบอกว่าให้เตรียมซื้อแผ่นมาตั้งบนหิ้งแล้วบูชากราบสามทีได้เลย ส่วนตัวผม ชอบในประเด็นต่างๆที่หนังต้องการจะสื่อมากครับ แม้จะเล่นกับอารมณ์น้อยไปนิด แต่เชื่อไหม ความที่ไม่ต้องพยายามพีคอารมณ์แบบนี้แหละมันทำให้เราอินแบบไม่รู้ตัว ร็อีกทีการเดินทางที่ยิ่งใหญ่และยาวนานนับชั่วอายุคนซึ่งได้กินเวลาเกือบสามชั่วโมง ก็จบลงแบบห้วนๆตามสไตล์โนแลนซะแล้ว

และนี่คือหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี2014 ถือเป็นงานหนังไซไฟของคนรุ่นใหม่ที่ต้องยกขึ้นหิ้งจดจำกล่าวขานไปอีกยาวนาน นับว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานเลยทีเดียวครับกับInterstellarเรื่องนี้ สมควรดูในโรงภาพยนตร์อย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะในโรงIMAX PARAGON [ที่ฉายด้วยฟิล์ม70 MMเรื่องสุดท้ายของโลก]



.

.

.




REVIEW (Spoiled) :

12 ประเด็นที่จะกล่าวถึงในรีวิวนี้ในมุมมองที่อยากแชร์ ลองดูกันครับ [อาจมีสปอยส์]

1.โลกนี้กำลังหมดอายุ
หนังได้มีการเปิดเรื่องให้เห็นถึงสภาวะเสื่อมถอยของโลกมนุษย์ที่ได้เบียดเบียนธรรมชาติมาอย่างยาวนาน จนทำให้ทรัพยากรร่อยหรอ พืชพรรณเริ่มตายและโลกกำลังจะขาดออกซิเจน เห็นได้จากภาวะที่มีแต่ฝุ่นละอองเต็มไปทั่วทั้งเมือง นี่คือสัญญาณเริ่มต้นที่บอกกับเรากลายๆว่า "ถึงเวลาหาบ้านใหม่แล้วนะ"

เพราะในสมัยก่อนเราอาจแหงนหน้าไปมองท้องฟ้าว่าเราอยู่ที่ไหนในหมู่ดาว คราวนี้ถึงเวลาที่เราต้องห่วงตัวเอง มองลงมายังกองดินว่าสภาพเราตอนนี้กำลังจะเป็นเช่นใด?




2. นักสำรวจในร่างของชาวไร่
มีครอบครัวนึง เป็นเจ้าของไร่ข้าวโพดใหญ่โต เขาคือนักวิทยาศาสตร์ที่เคยนักบินทำงานในนาซ่า แต่กลับไม่มีโอกาสได้ใช้วิชาของตัวเองทั้งๆที่ตัวก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย อาจเพราะอุบัติเหตุฝังใจจากเหตุเครื่องบินตก แต่เขาได้รอดชีวิตมา

แต่แล้ววันนึงก็เขาและลูกสาวก็ได้ไปพบกับนาซ่าโดยบังเอิญด้วยพิกัดที่พวกเขาถอดรหัสมาได้จากปริศนาในห้องสมุดซึ่งลูกสาวก็ทึกทักเอาว่ามีผีมาบอกปริศนา นาซ่าขอร้องให้คูปเปอร์เป็นผู้ขับยานออกไปสำรวจอวกาศ ซึ่งมีดร.แบรนด์เป็นตัวตั้งตัวตี นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เขาจะได้ช่วยเหลือคนอีกเป็นพันล้านครอบครัว และได้ทำสิ่งที่รักที่เขามีความสามารถไปในเวลาเดียวกัน กระนั้นมันก็มีสิ่งที่เขาต้องแลกไป นั่นคือครอบครัวของเขาเอง




3. คำสัญญาก่อนก้าวไปข้างหน้า และทิ้งบางสิ่งไว้ข้างหลัง
- I'm Coming back
เมิร์ฟ ลูกสาวคนเล็กของเขารู้สึกโกรธที่พ่อจะทิ้งตนไป เธอพยายามห้ามพ่อแต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดความตั้งใจของคูปเปอร์ได้ จึงได้ให้สัญญากับลูกสาวพร้อมให้นาฬิกาเป็นของขวัญเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ในวันนึงเวลาของทั้งสองอาจเท่ากัน พ่อลูกอาจมีอายุเท่ากันก็ได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเวลา ในฉากที่พ่อจำต้องลาเมิร์ฟและครอบครัวออกมา ระหว่างที่เขาขับรถออกมาช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกินกับการที่ต้องฝืนใจตัวเอง ยอมเจ็บปวดหัวใจในวันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในวันข้างหน้าของโลกและครอบครัวของเขาเองด้วย ซึ่งเหตุผลนี้อาจมากเกินกว่าที่ลูกของเขาจะเข้าใจในช่วงเวลานั้น เขาได้แต่บอกลูกเพียงว่า "พ่อแม่ได้เกิดมาเป็นความทรงจำของลูก ในอนาคตพ่อก็คือผีนั่นเอง"




4. (เพราะมนุษย์)เราหาทางได้ เราหาได้เสมอ
ในวันที่โลกเริ่มถึงจุดวิกฤติ จึงต้องมีขบวนการสำรวจโลกใหม่ มีประโยคนึงที่ชอบมากๆคือประโยคที่มาจากพระเอกที่คุยกับดร.แบรนด์คนพ่อ ซึ่งเริ่มคุยจากประเด็นวิกฤติบนโลกที่ไร้ซึ่งทางออก แต่คูปเปอร์ได้พูดประโยคที่น่าสนใจไว้ว่า "เราหาทางได้ เราหาได้เสมอ" มันเป็นคำที่สะท้อนถึงหัวใจของความเป็นนักสำรวจในตัวเขาขนานแท้ เพราะนักสำรวจนั้นล้วนแต่มุ่งเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเพื่อหาทางแก้ หาทางออก และสัญชาติญาณของมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เราก็มักจะมีหนทางในการเอาตัวรอดเสมอไม่ทางใดก็ทางนึง และในยุคนี้ ด้วยวิวัฒนาการที่มีมากขึ้น ก็ถึงเวลาที่เราจะไปตายเอาดาบหน้าบนห้วงอวกาศที่เราไม่รู้จักเลยสักครั้ง




5. ฉันมาไกลแล้ว แต่ยังไกลไม่พอ
เมื่อได้ผ่านด่านห้วงอวกาศ รวมถึงพบเจอกับการเดินทางทะลุรูหนอนอย่างยากลำบากแล้ว ภารกิจของพวกเขาคือต้องสำรวจดาวดวงใหม่ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้บางคนเริ่มมีปากเสียงกัน บางครั้งพวกเขาก็คิดว่าเราอาจผ่านเส้นทางอะไรมามากมาย แต่จริงๆแล้วแทบจะยังไม่ได้เริ่มต้นภารกิจเสียด้วยซ้ำ แล้วยังต้องมาเจอกับความผิดพลาดที่จะสร้างบทเรียนครั้งใหญ่ให้จดจำอีก ดังนั้นต่อให้เดินทางมาไกล แต่ถ้าหากยังไม่ถึงจุดหมายมันก็ยังไม่ถือว่าสำเร็จ แม้จะเริ่มเข้าใกล้ แต่ถ้ามันยังไม่ถึงเส้นชัยก็แปลว่ายังไม่ถึงอยู่ดี ดังนั้นต้องไปให้ไกลกว่า..




6. ชีวิตจริง ไม่เก๋แบบในทฤษฎี
เมื่อออกภารกิจบนดาวมิลเลอร์ ปัญหาอุปสรรคนั้นก็ถาโถมเข้ามา และเราก็ไม่สามารถลืมได้เลยว่าชีวิตเรามีเทคเดียว ถ้าพลาดก็แปลว่าจบเห่ได้เลย การตัดสินใจที่ช่วงเวลาที่จำกัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่สำคัญคือต่อให้ทฤษฎีเราแม่นแค่ไหน ในสนามจริง ถ้าเราไม่รู้จักกระบวนการรับมือให้ถูกวิธี เราก็อาจดับได้ ซึ่งนั่นทำให้ดร.แบรนด์คนลูกหรือนางเอกของเรื่องได้บทเรียนที่ดีเลยทีเดียว




7. "เวลา"ที่ไม่เท่ากัน
สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจเลี่ยงได้จากการเดินทางสำรวจครั้งนี้ คือ"เวลา"ในแต่ละพื้นที่นั้นล้วนมีไม่เท่ากัน บางที่เวลาเดินช้ากว่าโลกยาวนาน บางที่เร็วกว่า สถานะของเรา ตัวตนของเรา และคนรอบข้างเราสามารถแปรเปลี่ยนไปได้เป็นสิบๆปีทั้งที่เวลาเราเพิ่งจะเดินหน้าไปไม่กี่ชั่วโมง นั่นจึงเป็นเหตุขัดแย้งที่ตัวละครต่างขัดแย้งในภารกิจกัน เนื่องมาจากคนนึงกำลังห่วงคนที่อยู่ในเบื้องหลัง ส่วนอีกคนกำลังห่วงกับสิ่งที่อยู่ตรงข้างหน้า ซึ่งทั้งสองอย่างมีเวลามาคั่นกลางและเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดภารกิจนี้ เพราะเวลานั้น มีค่าและจำกัดเหลือเกิน ทุกวินาทีล้วนมีความหมายต่อมนุษยชาติ ถ้าเราทุกคนสามารถคิดได้แบบนี้ เราอาจจะพบว่าเวลาที่ผ่านไป อาจไม่ได้เสียเปล่าก็เป็นได้ ถ้าว่านั่นมาจากแรงพยายามที่เรากำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ เพื่อที่จะทำให้มันสำเร็จในสักวันหนึ่ง




8. แผนลวงโลกและมวยอวกาศ
ขณะที่ทีมสำรวจกำลังสำรวจอยู่บนดาวอันไกลโพ้น แต่แล้วความจริงก็หลุดออกจากปากดร.แบรนด์คนพ่อ ที่ว่าสิ่งที่เขาทำทุกอย่างที่จะทำให้นักสำรวจเหล่านั้นกลับมาช่วยโลกนั้นเป็นเรื่องโกหก แผนเอที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้สำเร็จกลายเป็นปฏิบัติหน้าม่านซะงั้น ซึ่งปฏิบัติการจริงของเขาคือแผนบี ที่จะนำดีเอ็นเอทางพันธุกรรมไปแพร่พันธุ์ให้เกิดสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์ดวงอื่นนั่นเอง ทำให้เกิดความช๊อคโลกขึ้นอันเนื่องมาจากดร.แบรนด์ต้องใช้เวลาปกปิดแผนการณ์ที่แท้จริงมาทั้งชีวิต ยอมให้ตัวเองโดนด่า แต่ใจของแกมีอุดมการณ์ที่จะมองอนาคตเพื่อมนุษยชาติ แต่เมิร์ฟในวัยสาวไม่ได้คิดเช่นนั้นเสียแล้ว เพราะเวลาในชีวิตของเมิร์ฟเองมันตรงกับช่วงอายุที่พ่อเธอได้จากไปแล้ว คำสัญญานั้นอาจเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆงั้นหรือ?



ขณะเดียวกันทีมนักสำรวจก็ได้ไปพบกับดร.แมน นักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจที่เคยถูกส่งออกมาสำรวจดาวมาก่อน และกำลังส่งสัญญาณต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งพบว่าสุดท้ายมันเป็นแค่กลหลอกลวงที่เขาต้องการจะมาควบคุมอำนาจที่จะทะเยอทะยานไปต่อยอดเป้าหมายของเขาเสียเอง จึงเกิดมวยอวกาศขึ้นซึ่งฉากนี้ทำได้ดีมากๆ แสดงให้เห็นถึงว่ามนุษย์อยู่ที่ไหน สันดานในตัวมนุษย์ กิเลสต่างๆ ก็ยังตามไปได้อยู่ดี สุดท้ายก็เป็นการเอาชนะกัน ซึ่งท้ายที่สุด ธรรมชาติก็จะคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกายหรือสติปัญญา ใครมีสูงกว่าผู้นั้นก็มักจะเป็นฝ่ายที่รอด





รออ่านต่อในความเห็นที่หนึ่งนะครับ ค่อนข้างยาวพอสมควรกับหนังเรื่องนี้

Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่