9 ข้อคิดชีวิตที่ผมได้เรียนรู้ผ่านการทำงานหนัก

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่อยู่ในระบบเป็นเวลานาน เป็น Freelance รวมถึงเป็นนักลงทุน (เม่า) และอื่นๆ ซึ่งงานหนึ่งในนั้นคือการเป็นนักเขียนและพนักงานอยู่ที่เวปไซด์ www.AomMoney.com


ก่อนที่จะเป็นนักเขียนนั้น... อยู่มาวันหนึ่งผมเกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา เลยลองตั้ง Facebook Page กวนประสาทที่ชื่อว่า Mr.GraymanV2 (https://www.facebook.com/MrGraymanV2) เพื่อต้องการแชร์แนวคิดและเรื่องราวต่างๆในภาษาประหลาดของตัวเอง เพราะรังเกียจความคิดที่ว่า "คนฟังเพราะผู้พูดเป็นใคร มากกว่าคนฟังว่าคนพูดพูดอะไร"


คุณเชื่อไหมครับว่า ตั้งแต่ทำเพจกากๆเกรียนๆเพจนี้ขึ้นมา มีสิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจมากๆ คือ ผมได้รับรู้เรื่องราวต่างๆของคนทีต้องการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ใครสักคนฟัง มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความเศร้า และปัญหาชีวิตมากมายเสียจนผมต้องหันหลังกลับมามองว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน


ผมเลยตั้งใจรวบรวมประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ญาติสนิทมิตรสหาย คนรู้จัก และแฟนเพจหลายต่อหลายคน ออกมาเป็นบทความ "9 ข้อคิดชีวิตที่ผมได้เรียนรู้ผ่านการทำงานหนัก" และตั้งใจที่จะโพสลงพันทิปเป็นครั้งแรก (ขอยืมล็อกอินน้องที่ออฟฟิศมาโพส) เพื่อแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้ออกไปให้มากที่สุด

และเรื่องราวทั้งหมดมีดังนี้.....






บทความนี้เป็นบทความแรกที่ผมเขียนขึ้นผ่านมุมมองและประสบการณ์จากการทำงานหนักของตัวเอง นับตั้งแต่วันแรกของการทำงานจนถึงวันนี้ มี 9 เรื่องนี้ที่ผมเน้นย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้ คือ "สิ่งที่ผมได้รับจากการทำงานหนัก"

ผมหวังไว้ว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่ได้ผ่านมาอ่านทุกๆคน
โดยเฉพาะคนที่ "คิดว่า" ตัวเองทำงานหนัก
และคนที่อาจจะเจอกับการ “ทำงานหนัก” ในอนาคต

_______________________________________________________________________________________________________

ผมเชื่อว่า ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า "งานหนักไม่เคยฆ่าคน"  แต่บางคนได้ยินแล้วคงจะรู้สึกว่า "นี่กรุกำลังจะตายเพราะงานแล้วไงสัส" แต่ไม่ว่างานในวันนี้จะหนักแค่ไหน คุณต้องไม่ลืมมองเข้าไปให้ถึง “อนาคต” ข้างหน้าด้วย เพราะถ้าหากคุณไม่ตายจากการทำงานหนักในวันนี้ ผมกล้าบอกเลยว่าสิ่งที่คุณจะได้รับในอนาคตนั้นมันช่างมีค่าเหลือคณานับ และทั้งหมดคือ 9 ข้อคิดที่ผมได้รับจากการทำงานหนัก ในสไตล์เกรย์แมน


1. หยุดคาดหวัง “ความยุติธรรม” จากการทำงานหนัก

ก่อนอื่นผมขอบอกเลยว่า ในการทำงานทุกประเภท จงเลิกคาดหวังที่จะพบคำว่า "ความยุติธรรม" จากสังคมการทำงานเป็นลำดับแรก และถ้าหากคุณมองว่าตัวเองเป็น "คนทำงานหนัก" คุณจงถามตัวเองต่อไปว่า "แล้วผลของงานที่ได้รับจากการทำงาน" นั้นเกิดจากการทุ่มเทแรงใจแรงกายอย่างเต็มที่ หรือ เป็นแค่ข้ออ้างของการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน เลยทำให้คุณต้อง "ทำงานหนัก" เพราะ “ใช้เวลา” มากกว่าคนอื่นๆ


บางครั้ง คุณอาจจะมองเห็นคนหลายคนในที่ทำงาน หรือคนที่ทำงานประเภทเดียวกันกับคุณ ดูสบายๆ ใช้เวลาหรือความทุ่มเทในการทำงานน้อยกว่าแต่ทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่า หรือไม่ก็ได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าคุณ


นั่นแหละครับ!!  มันคือสิ่งที่สะท้อนกลับมาถามคุณว่า "ทำไมเราถึงไม่สามารถทำได้อย่างเขา" หรืออย่างน้อยลองถามตัวเองก่อนละกันว่า "เรามีข้อเสียอะไรบ้าง” ที่ทำให้ต้องทำงานหนักอย่างขาดประสิทธิภาพแบบนี้


ถ้าหากมันเป็นความผิดพลาดของคุณเอง จงอย่าร้องเรียกหา “ความยุติธรรม” ที่เกิดขึ้น เพราะการเรียกหาความยุดติธรรมจากความผิดพลาด มันก็เหมือนกับเด็กอนุบาลที่ทำของเล่นพังแล้วร้องไห้ให้พ่อแม่ซื้อใหม่ เพราะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด


สิ่งเหล่านี้มันคือการแสดงให้เห็นว่า
ตัวคุณนั้นยอมรับความผิดพลาด
และความลำบากในชีวิตอย่างไรต่างหาก

ยิ่งร้องแรกแหกกระเชิงหาความเห็นใจ
ตอนที่ตัวเองทำผิดพลาด
คุณจะเป็นได้แค่ตัวประหลาดในออฟฟิศเท่านั้น



เมื่อเกิด “ความผิดพลาด” อย่ามัวเสียเวลาหาคำตอบที่เข้าข้างตัวเอง เพราะยิ่งคุณหาคำตอบเพื่อให้ตัวเอง “สบายใจ” มากขึ้นเท่าไร ความห่างไกลที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับความสำเร็จมันจะยิ่งไกลออกไปทุกทีๆ


เพราะชีวิตจริงไม่มีคำว่า “ยุติธรรม”
มีแต่คุณต้องรีบ “ทำ” เพื่อให้ปัญหามัน “ยุติ”



แต่ถ้าหากคุณเป็นคนทำงานหนักที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่กลับโดนมองข้ามอย่างไม่เหลียวแล จงอย่าหวังให้หัวหน้ามองเห็นความดีหรือประสิทธิภาพ อย่าฝันให้หัวหน้าเปลี่ยนใจจากการมองคนที่ “ปาก” มาเป็นการมองที่ “หัวใจ” เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร แถมคุณจะหมดกำลังในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณมีความสามารถขนาดนั้น ผมว่าเอาเวลาไปสร้างสรรค์งานให้ดีขึ้น หรือ หาองค์กรใหม่ที่เหมาะสมกับตัวคุณจะดีกว่า


สุดท้ายแล้ว...
ความยุติธรรมนั้นหันหน้าให้กับผู้ชนะเสมอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่